ตอนที่ 6
แต่ก่อนที่จะเผามันจนกลายเป็นเถ้าธุลี หลู่ อวิ๋นเซียงก็คิดวิธีหยามเกียรติคนตายมาได้หนึ่งวิธี ในเมื่อมันตายแล้วแต่ทำให้ความรักของนางกับมู่หรงจิ่งร้าวฉาน เช่นนั้นนางก็จะทำให้ดวงวิญญาณของหลู่อวี้หลิงได้เห็นนางกับบุรุษที่มันรักนักรักหนาร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนถึงพริกถึงขิงที่ข้างโลงบรรจุศพของมันเสียเลย
เช่นนี้ไม่เรียกว่าถึงมันตายเป็นผีไปแล้ว นางก็ไม่คิดให้ดวงวิญญาณของมันได้สงบสุขหรอกหรือ แต่หากจะขอความร่วมมือกับมู่หรงจิ่ง ไม่ใช่เพียงยาก แต่คาดว่ามิอาจเป็นไปได้เลยมากกว่า ยิ่งช่วงหลังมานี้เขาดูเหมือนจะไม่อยากมองหน้าของนางด้วยซ้ำ หากนางเดินไปชักชวนเขาทำเรื่องบัดสีเช่นนั้นนอกจากไม่คิดทำตาม เกรงว่ามู่หรงจิ่งจะยิ่งมองนางไปในด้านลบเพิ่มขึ้นเสียอีกด้วย
ดังนั้นคงมีเพียงวางยาปลุกกำหนัดจนมู่หรงจิ่งขาดสติเท่านั้นแผนร่วมรักข้างโลงของนางจึงจะสำเร็จ พอคิดแผนชั่วช้าราวกับมิใช่คนออกมาได้เป็นฉากๆ เป็นขั้นเป็นตอนแล้ว หลู่อวิ๋นเซียงก็อดทนรอเวลาอยู่อีกหลายวันนางจึงมีโอกาสลงมือ ราตรีนี้ทุกคนที่เฝ้าอยู่โถงบรรพชนสกุลหลู่นั้นล้วนถูกวางยานอนหลับจนหมด ยกเว้นแต่มู่หรงจิ่งที่หลู่อวิ๋นเซียงไม่วางยานอนหลับเขาแน่นอน แต่เลือกจะวางยาปลุกกำหนัดเขาแทน
แน่นอนว่าในจวนจิ้งหนานโหวคือถิ่นของนาง มีแต่คนของนางกับมารดา ดังนั้นทุกแผนจึงสำเร็จราบรื่น ราตรีนี้นางก็จะสมใจได้ทำการร่วมรักข้างโลงศพของนังพี่สาวตัวดี รอเวลาไม่นานยาปลุกกำหนัดออกฤทธิ์ มู่หรงจิ่งก็กลายเป็นดังสัตว์ร้ายกระหายการผสมพันธุ์ มิใช่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งบังเกิดอารมณ์กำหนัดทั่วไป
แควก! แควก! แควก!
เสียงอาภรณ์ถูกฉีกขาดดังบาดหูแต่กลับไม่บาดเนื้อหนังของผู้ถูกกระทำ ถึงจะเจ็บ ถึงจะปวด แต่หลู่ อวิ๋นเซียงก็ไม่ใส่ใจ นางสนใจเพียงตนเองได้สมใจแล้ว นางได้หยามเกียรติเหยียบหัวใจของคนที่ตายไปแล้ว สาแก่ใจนางยิ่งนัก!
ยิ่งมู่หรงจิ่งกระทำต่อนางรุนแรงเพียงใดหลู่ อวิ๋นเซียงกลับยิ่งกรีดร้องครวญครางเสียงดังทุกจังหวะหยาบโลนที่มู่หรงจิ่งสาดซัดตัวตนเข้ามาหานางรองรับเอาไว้ทั้งหมด ยิ่งนางกรีดร้องสันดานดิบของบุรุษที่ถูกวางยาจนจำไม่ได้แม้แต่ตัวเองก็ยิ่งสำแดง และยิ่งเขารุนแรงหลู่อวิ๋นเซียงนั้นก็ยิ่งกรีดร้อง และเร่งเร้า ในขณะที่ร่วมรักราวกับสัตว์ตัวผู้และตัวเมียอยู่นั้นดวงตาของนางกลับไม่เคยละจากโลงศพไปได้นาน เพราะนางรู้สึกสาแก่ใจ รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชนะ!
แต่ที่หลู่อวิ๋นเซียงคงไม่ทราบก็คือ มู่หรงจิ่งนั้นถึงเขาจะถูกฤทธิ์ยารุนแรงจนควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ก็จริง แต่เขามิได้ขาดสติจนจำอันใดมิได้ ตรง กันข้ามเขากลับจำได้ และชาตินี้ถึงตายไปแล้วเขาจะลืมเหตุการณ์อัปยศอดสูและบัดสีในครั้งนี้ได้หรือไม่ก็ตอบได้ยากยิ่ง
และเพราะมู่หรงจิ่งนั้นจำได้ จากที่เคยเหลือเยื่อใยกับหลู่อวิ๋นเซียงอยู่บ้าง จนเขาคิดเอาไว้ว่าหลังจบงานศพของหลู่อวี้หลิงแล้วรอสักหลายเดือนหน่อยก็จะรับคุณหนูสามหลู่เข้าจวนเฉินกั๋วกงในฐานะอนุภรรยาผู้หนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าตนเองยังตัดใจในรักระหว่างพี่สาวของหลู่อวิ๋นเซียงมิได้ จนต้องรับน้องสาวมาทดแทนพี่สาว แค่นี้ผู้คนก็จะไม่ตำหนิเขาได้แล้ว
แต่พอเจอฤทธิ์เจอเดชของหลู่อวิ๋นเซียงเช่นนี้ มู่หรงจิ่งตัดใจในทันใด อย่างไรตนเองก็จะไม่มีวันนำสตรีจิตใจโสมมเช่นนี้เข้าจวนเฉินกั๋วกงเด็ดขาด ไร้มโนธรรม จิตใจหยาบช้า คิดแค้นแม้แต่คนที่ตายไปแล้วกลับไม่ยอมให้ดวงวิญญาณไปอย่างสงบ สตรีเช่นนี้แต่งเข้าไปสุดท้ายอาจเป็นตัวเขาและคนสกุลมู่หรงที่จะวิบัติฉิบหายเท่านั้น
และพอคิดได้ดังนั้นมู่หรงจิ่งก็หวนย้อนไปถึงหลู่อวี้หลิง ต้องเป้นสตรีเช่นนั้นจึงคู่ควรจะเป็นภรรยา เป็นมารดา และเป็นสะใภ้แสนประเสริฐ แต่กลับเป็นเขาเองที่รู้ตัวว่าสูญเสียของล้ำค่าไปก็ในวันที่สายเสียแล้ว เจ็บใจเหลือเกิน...
ความในใจของมู่หรงจิ่งนั้นจะคิดอันใดแน่นอนว่าเจี่ยอวี้หลันย่อมไม่รู้แจ้งและไม่คิดจะอยากรู้อีกด้วย แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นจวนจิ้งหนานโหวและจวนเฉินกั๋วกงนางกลับได้รับรู้จนสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฉากร่วมรักด้านหลังโลงศพแสนร้อนแรงอย่างถึงพริกถึงขิง
หรือหลังจากนั้นที่โถงบรรพชนสกุลหลู่เกิดเพลิงไหม้ แต่เพลิงนั้นกลับเผาไหม้เพียงโลงศพและข้าวของใกล้เคียงเท่านั้น แค่ฟังอย่างคนนอกยังสงสัย แล้วเจี่ยอวี้หลันจะคิดไม่ได้หรือ หลู่อวิ๋นเซียงผู้นั้นช่างเป็นสตรีชั่วช้าอย่างถึงแก่นเสียจริง
“น้องสาวของเจ้านี่ดูจะรักพี่สาวเช่นเจ้ามากจริงๆ ขนาดซากศพ นางยังไม่คิดจะให้หลงเหลือเอาไปฝังอย่างสงบ หากใจไม่ผิดปกติ สติปัญญาของนางคงมีปัญหาแน่ หากมู่หรงจิ่งยังจะหน้ามืดตามัวเอานางเข้าจวนก็ไม่สมควรจะเป็นเฉินกั๋วกงแล้ว”
แต่แทนที่เจี่ยอวี้หลันจะแสดงอารมณ์โกรธแค้นออกมา นางกลับยกยิ้มเย็นออกมาหนึ่งสาย ราวกับว่านางฟังเรื่องราวของผู้อื่นมิใช่เรื่องราวของตนเองอย่างไรอย่างนั้น เพราะสำหรับนางแล้วหลู่อวิ๋นเซียงยิ่งแสดงสันดานชั่วช้าออกมาเท่าใด กลับยิ่งส่งผลกับนางมากเท่านั้น
“เหตุใดไม่โกรธ?” ซ่างกวนไท่เอ่ยถามอย่างกังขาจากใจจริง เพราะหากเป็นเขาเองคงไม่แต่ฟังแล้วนิ่งเฉยแน่ดีไม่ดีเขาอาจแล่นไปแล่เนื้อของชายหญิงคู่นั้นแล้วเป็นแน่ เพราะขนาดคนตายไปแล้วใจคอต้องชั่วช้าเพียงใดจึงคิดทำบัดสีเช่นนั้นได้ลงคอ ไม่ใช่คนชั่วโดยสายเลือดคงยากจะทำได้จริงๆ
“เพราะหม่อมฉันทราบดีถึงนิสัยลึกๆ ของบุรุษเช่นมู่หรงจิ่งดีเพคะ คนเช่นเขาถึงจะดูเหมือนใจดีและเข้าใจอันใดง่ายก็จริง หากแต่ความจริงเขามิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ความสัมพันธ์คราวนี้คงมิอาจเหมือนเดิมได้แล้วเป็นแน่ อวิ๋นเซียงลงมือตามใจตนเองคราวนี้นางเองย่อมต้องมีราคาให้จ่ายเพคะ”
เพราะรักมากในอดีตเจี่ยอวี้หลันนั้นจึงใส่ใจในทุกรายละเอียด สองปีจะว่านานก็ไม่เชิงแต่ก็นับว่ามากพอที่นางจะรู้นิสัยใจคอของมู่หรงจิ่งอย่างลึกซึ้งพอสมควร ภายนอกเขาแสดงออกอย่างไร ภายในใจของเขาต้องการอันใดคนที่ใส่ใจเช่นนางย่อมทราบดี ส่วนหลู่อวิ๋นเซียงเพราะมีแต่เป็นฝ่ายให้เฉินกั๋งกงเอาใจ แน่นอนนางย่อมไม่เคยรู้แจ้งถึงนิสัยลึกๆ ของมู่หรงจิ่งเช่นที่เจี่ยอวี้หลันรู้แจ้ง ลงมือคราวนี้นับว่าหลู่อวิ๋นเซียงเป็นผู้ตัดขาดเยื่อใยที่ยังมีระหว่างตนเองกับมู่หรงจิ่งจนไม่เหลือแล้วจริงๆ หึ!
นี่แหละแผนเอาคืนอย่างแนบเนียนของนาง...
ฝ่ายซ่างกวนไท่เขานั้นไม่ใช่คนโง่ได้ฟังดังนั้นเขาย่อมกระจ่าง ชินอ๋องหนุ่มจึงหรี่ดวงตาหงส์ของตนเองมองใบหน้าที่บัดนี้กลับมางดงามอีกครั้งหนึ่งด้วยใบหน้าของซือถูเจินจูมิได้อัปลักษณ์ด้วยรอยแผลขนาดใหญ่กินไปครึ่งแถบนิ่ง ครู่หนึ่งจึงค่อยยิ้มมากเล่ห์ออกมาหนึ่งสาย
“น่าสนใจยิ่งนัก”
การได้มองดูคนมีความแค้นค่อยๆ คิดแผนและเดินไปแก้แค้นทีละก้าวสำหรับเขาช่างน่าสนใจจริงๆ โดยเฉพาะกับเด็กสาวตรงหน้าที่มักชอบทำหน้าตายดูเข้าถึงอารมณ์อื่นใดของนางได้ยากยิ่ง ซ่างกวนไท่ยิ่งรู้สึกว่านางยิ่งน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกหลายส่วน
“คนเช่นหลู่อวิ๋นเซียง หากไร้มารดาเช่นโจวอี้เหนียงก็เป็นได้เพียงสวะน่ารังเกียจเท่านั้น ยังจะมีค่าอันใดได้อีก ที่หม่อมฉันอยากรบกวนชินอ๋องคือเรื่องของจิ้งหนานโหวเพคะ หม่อมฉันอยากทราบถึงอาการป่วยของเขา”
เพราะเช่นไรจิ้งหนานโหว หลู่ฮั่นเหลียง ก็คือบิดาและอาจเป็นสายเลือดแท้ของนางเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ ถึงจะน้อยอกน้อยใจที่ในวันนั้นบิดามิได้เข้ามาช่วยนางและคนของนาง แต่พอผ่านมาถึงวันนี้ เจี่ยอวี้หลันกลับเริ่มสะดุดใจสงสัยบางประการขึ้นมาแล้ว
นับจากที่นางกระโดดหน้าผาบิดาที่เคยแข็งแรงและแข็งแกร่งยิ่งกลับล้มป่วยติดเตียงพูดไม่ได้เดินก็ไม่ได้ ออกจะแปลกไปสักหน่อย แต่เหตุใดคนมากปัญญาเช่นคุณชายหลู่ หลู่ฮ่าวอวี่กลับไม่สงสัย หรือแท้จริงเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วจนบัดนี้จึงไม่สงสัยกันแน่เรื่องนี้เจี่ยอวี้หลันติดใจสงสัยอย่างยิ่ง
“ได้”
ซ่างกวนไท่รับปากง่ายดายเพราะเรื่องแค่สืบข่าวภายในจวนผู้อื่นนั้นแค่เขาพยักหน้าก็ได้แล้ว ต่างจากเจี่ยอวี้หลันเป็นอย่างยิ่ง ที่นางไร้กำลังคนมีแค่สติปัญญาหากคิดจะลงมือทำสิ่งใดออกจะยากเกินความสามารถไปสักหน่อย
“อีกสองเดือนจะถึงงานแต่งแล้วเจ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว”
พอจบเรื่องแก้แค้นของเจี่ยอวี้หลันแล้วต่อไปย่อมเป็นเรื่องงานของเขาบ้าง และงานของซ่างกวนไท่ก็อาจสำคัญเสียยิ่งกว่าการแก้แค้นของนางมากนัก เจี่ยอวี้หลันย่อมมิอาจละเลยได้ ทั้งศึกษาตำรา ทั้งฝึกฝนกิริยามารยาท หนึ่งเดือนที่ผ่านมานับว่าก้าวหน้าไปไม่น้อย
“ยังเหลือชุดแต่งงานเพคะ ชินอ๋องอยากให้หม่อมฉันตัดเย็บและปักลวดลายเสื้อคลุมยาวให้หรือไม่”
ชาวต้าเซี่ยมีธรรมเนียมว่าชุดเจ้าบ่าวนั้นหากเป็นเจ้าสาวตัดเย็บจะนับว่าภายหน้าลูกหลานคนแรกส่วนใหญ่จะเกิดเป็นชายมากกว่าหญิงแต่นางเองไม่ได้สนใจอันใดนักกับความเชื่อดังกล่าว เพราะขนาดงานแต่งของนางกับมู่หรงจิ่งนางตั้งใจทำทุกสิ่งทุกอย่างสุดท้ายงานแต่งก็มิอาจสำเร็จและเป็นการจากตายอย่างที่เห็น
แต่เช่นไรชินอ๋องซ่างกวนไท่เป็นผู้ใด เขามีอำนาจเป็นรองก็เพียงฉางตี้ฮ่องเต้ อาจอยากให้นางเย็บปักเพียงเสื้อคลุมให้หรืออาจอยากให้นางตัดเย็บและปักให้ทั้งหมดรวมถึงรองเท้าก็เป็นไปได้ไม่แปลกอันใดนางมิอาจคิดแทนอีกฝ่ายนอกจากถามเขาให้กระจ่าง
“เช่นไรเจ้าก็ต้องตัดเย็บอยู่แล้วก็ตัดไปทั้งของเปิ่นหวางและของเจ้านั่นแหละ หากคิดว่าจะทำไม่ทันก็บอกกับหงเหลียนหมัวมัว ประเดี๋ยวนางจะจัดการหาคนมาช่วยเจ้าเอง” เจี่ยอวี้หลันคิดว่าตนเองทำถูกต้องแล้วที่ถามออกไป
“เพคะ”
พูดคุยกันอีกครู่ซ่างกวนไท่ก็เอ่ยปากชักชวนเจี่ยอวี้หลันเดินหมาก เพราะหลายวันก่อนนางร่วมเดินกับเขาแล้ว ซ่างกวนไท่ถึงกับพ่ายแพ้ให้นางไปสองกระดาน ในใจของคนที่แม้แต่ฉางตี้ฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายของตนเองยังไม่เคยเอาชนะเขาได้ พอมาพ่ายแพ้ให้สตรีแน่นอนในใจของซ่างกวนไท่จึงยากจะยินยอม วันนี้เช่นไรเขาก็ต้องแก้มือให้ได้!
“จะดีหรือเพคะ?”
สำหรับนางแล้วเจี่ยอวี้หลันคิดว่าไม่ดี เพราะตนเองนั้นดันไปเอาชนะปีศาจขาวโดยไม่ตั้งใจวันนั้น ยังตำหนิตนเองจนถึงวันนี้ หากวันนี้นางเกิดชนะเขาอีก ชีวิตน้อยๆ ของนางอาจไม่รอด แล้วในยามเดินหมากนางมันก็สันดานเสีย แม้แต่บิดานางยังลืมหน้าเอาชนะอยู่บ่อยครั้ง หากครั้งนี้นางลืมตัวอีกจะทำอย่างไรเล่า
“ดีสิ เปิ่นหวางบอกดีใครยังจะกล้าบอกไม่ดี” ปีศาจขาวก็ยังเป็นปีศาจขาว เอาแต่ใจอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นยากจะเปลี่ยน
“แต่หม่อมฉันยุ่งเรื่องเตรียมงานแต่งนะเพคะ” แน่นอนว่าเจี่ยอวี้หลันเองก็ต้องพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างถึงที่สุดเช่นกัน
หลีกได้เจี่ยอวี้หลันย่อมไม่รอรีที่จะหลีก ทว่า...
“เจ้าเป็นเจ้าสาวนะ จะไม่ทำอันใดก็ยังได้” แต่คนเช่นซ่างกวนไท่มีหรือจะยินยอมให้นางบ่ายเบี่ยงโดยง่าย หากยอมง่ายดายยังจะเป็นปีศาจขาวได้อย่างไร
“อ้าว...”
ก็มิใช่เขาบอกให้นางตัดเย็บชุดเจ้าบ่าวให้เขาหรอกหรือ แค่ชุดของนางก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนก็แทบจะทำให้เสร็จอย่างเฉียดฉิว แล้วในยามนี้ยังมีชุดของเขาเพิ่มมาอีก นางมีแค่เพียงสองมือเท่านั้นนะ! ใครมันจะไปทำทันเวลาเล่า
“หรือเจ้ากล้ามีปัญหา”
แต่ใครมันจะไปกล้ามีปัญหากับผู้มีพระคุณ ยิ่งผู้มีพระคุณคือปีศาจขาวแห่งต้าเซี่ยตัวเป็นๆ นามซ่างกวนไท่!
“มิกล้าเพคะ” เจี่ยอวี้หลันตอบออกไปเสียงอ่อน แต่ในใจแทบต่อว่าปีศาจร้ายไปเสียหลายคำทีเดียว
“ก็แค่นั้น ยังจะปฏิเสธให้เปิ่นหวางอารมณ์เสียไปไย”
คนพูดด้วยกิริยาเหนือกว่าจนน่าหมั่นไส้ แต่คิดไปคิดมาเจี่ยอวี้หลันก็ต้องยอมรับว่า คนเช่นซ่างกวนไท่ เขามีอำนาจจริง ต่อให้น่าหมั่นไส้เพียงใด นางก็ต้องเก็บเอาไว้เพียงในใจเท่านั้น
...นี่คือผู้มีพระคุณนะ ผู้มีพระคุณของเจ้าเอง เจ้าจะอยากทุบตีผู้มีพระคุณมิได้โดยเด็ดขาดนะอาเจี่ย!...
เจี่ยอวี้หลันแอบกัดฟันและท่องประโยคเหล่านี้เพื่อเตือนสติตนเอง เอาไว้ ทั้งที่คันมือคันไม้อยากทุบตีคนตรงหน้าแทบตายแล้วก็ตาม นางก็นับว่าเป็นสตรีที่มีความอดทนสูงผู้หนึ่ง แต่เมื่อมาเจอคนเช่นปีศาจขาว บางครั้งเจี่ยอวี้หลันก็รู้สึกว่าเส้นความอดทนของตนเองนั้นเบาบางเสียยิ่งกว่าเส้นด้ายหมดอายุ!!!
ตอนพิเศษวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูกาลยังคงเคลื่อนผ่านไปตามวัฏจักรของโลกา หลังจากวันที่ซ่างกวนไท่จัดการให้เจี่ยอวี้หลันได้นำโลหิตคนชั่วไปเซ่นไหว้หลุมศพของบรรพบุรุษสกุลหลู่ได้สิบห้าวันก็ได้ออกเดินทางไปยังแคว้นอิ๋งโจวทันที เนื่องจากบ้านเมืองไม่สงบสุขชาวประชาย่อมยากจะอยู่เย็น กินอิ่มนอนอุ่นไปได้ โดยการเดินทางนั้น เจี่ยอวี้ หลันนั้นได้ตัดสินใจไม่นำเชลยแค้นทั้งสามไปด้วย นางทอดทิ้งคนชั่วให้ค่อยๆ ตายลงช้าๆ ภายในคุกคุมขังของฉางตี้ฮ่องเต้เพราะนางอยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปล่อยให้พวกมันทุกข์ทรมานกันไป ส่วนนางเลือกจะไปเสวยสุขกับบุรุษของนางแทน ความรู้สึกผิดและติดค้างคนสกุลหลู่ของนางจางหายไปตั้งแต่วันที่นำโลหิตพวกมันไปเซ่นไหว้แล้วทิ้งอดีตอันเจ็บปวดให้ค่อยๆ ตายไปพร้อมกับคนกระทำถูกต้องที่สุดแล้ว...ช่วงแรกที่ไปถึงก็ไม่ได้ทุกข์ยากดังที่ซ่างกวนไท่กล่าวเอาไว้ อยู่ต่อไปอีกห้าเดือน อิ๋งโจวก็ส่งข่าวดีกลับไปที่เสียนหยาง ข่าวดีที่ว่าพระชายาเจี่ยตั้งครรภ์แล้ว ฉางตี้ฮ่องเต้ดีใจอย่างยิ่งจากอิ๋งโจวมาเสียนหยางห่างกันอยู่เจ็ดร้อยลี้ ดังนั้นจากที่แต่แรกซ่างกวนไท่คิดจะรั้งอยู่อิ๋งโจวเพียงสองถึงสามปีก็เปลี่ยนเ
ตอนที่ 35 || ตอนอวสานอีกหลายวันต่อมา หลังจากซ่างกวนไท่จัดการหลายสิ่งหลายอย่างเรียบร้อย เตรียมแต่จะเดินทางไปอิ๋งโจว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะพาเจี่ยอวี้หลันไปพบคนที่ติดค้างนางและครอบครัวสกุลหลู่เสียทีผ่านไปร่วมห้าเดือน คนที่สมควรตายก็ตายไปหมดแล้วคนที่ต้องถูกเนรเทศก็เนรเทศไปจนสิ้น ใครต้องถูกขายไปเป็นทาสไปเป็นนางคณิกาก็ถูกขายไปจนสิ้น แต่ยังคงเหลืออีกสามชีวิตที่ถูกคุมขังมายาวนานร่วมครึ่งปีเงาร่างของบุรุษที่เคยหล่อเหลาปรากฏแก่สายตาของเจี่ยอวี้หลันเป็นคนแรก มอมแมมและซูบผอมอีกทั้งยังเหม็นเน่าจากบาดแผลที่คงถูกทรมานทุกวันจนไม่หลงเหลือสภาพของ เฉินกั๋วกงผู้ทรนงในอดีตแม้สักส่วน แต่นางก็ยังจดจำได้ว่ามันผู้นี้คือใคร“ไม่เจอกันนานเลยนะ มู่หรงจิ่ง”เสียงหวานดังกังวานไปทั่วคุกใต้ดินแห่งนี้ทั้งที่เจี่ยอวี้หลันก็เพียงเอ่ยด้วยโทนเสียงปกติแท้ๆ ไม่นานเสียงโซ่ตรวนก็ดังขึ้นบ้างบ่งบอกว่าเจ้าของร่างที่นอนขดตัวอยู่นั้นรับรู้ถึงการมาของนางแล้ว“ใคร?” ถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง“แย่จริง ไม่พบกันแต่ไม่เท่าไหร่เฉินกั๋วกงก็ลืมเปิ่นหวางเฟยเสียแล้ว”“หลิงเอ๋อร์!”พอมีสติรับรู้ได้มู่หรงจิ่งถึงกับกระชากโซ่ตรวนเพื่อจะพุ่ง
ตอนที่ 34หลังผ่านค่ำคืนวสันต์ของคู่สามีภรรยาไปเพียงสามวัน ซ่างกวนไท่ก็ควบคุมทหารไปอิ๋งโจว เพื่อจับกุมโซ่วอ๋องกับกองกำลังที่ซ่องสุมมากว่าห้าปีโดยเมืองหลวงเป็นฉางตี้ฮ่องเต้กับแม่ทัพจี จีหยวนโจว ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ขององครักษ์ชั้นในปกป้องเสียนหยางเป็นผู้จับกุมเส้นสายของโซ่วอ๋อง แน่นอนว่าต้องมีสกุลมู่หรงกับสกุลหลู่รวมอยู่ด้วย เจี่ยอวี้หลันอยู่ภายในตำหนักชินอ๋องรับฟังอย่างสงบนางรอเพียงซ่างกวนไท่กลับมา เพราะเขารับปากกับนางแล้วว่าจะให้นางลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง เจี่ยอวี้หลันเชื่อเขา นางจึงรออย่างใจเย็น กบฎของโซ่วอ๋องคราวนี้นับเป็นการถอนรากถอนโคนอย่างแท้จริง หากกล่าวว่าเมื่อครั้งกบฎองค์ชายรอง ซากศพ เผาไหม้ร่วมเดือน ครั้งนี้ก็แทบไม่แตกต่างและยิ่งเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงในด้านโหดร้ายของปีศาจดำและขาวจึงยิ่งโด่งดัง ในอดีตเจี่ยอวี้หลันยังเด็ก โลกของนางขณะนั้นมีเพียงสีขาวกับสีดำ จึงมองว่าสองพี่น้องซ่างกวนทั้งเหี้ยมโหดและอำมหิต ทว่าบัดนี้นางผ่านอะไรมามาก จึงไม่ได้ตัดสินเพียงขาวหรือดำ ถูกกับผิด แต่เจี่ยอวี้หลันมองจากมุมมองของความเป็นจริงจึงค่อยเข้าใจ แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นฉางตี้ฮ่องเต้หรือชินอ๋อง พวกเขาล้
ตอนที่ 33กล่าวจบซ่างกวนไท่ก็งอนิ้วชี้เคาะลงไปที่ปลายจมูกโด่งเรียวงามของ ‘ตัวแสบ’ เบาแสนเบา ก่อนที่จะขยับจับร่างแน่งน้อยในอ้อมแขนวางลงบนเตียงด้วยท่วงท่าอ่อนโยน และทะนุถนอมราวกับเจี่ยอวี้หลันนั้นเป็นไข่ในหิน ก็เพราะเขารักนางถึงเพียงนี้ จะไม่ถนอมได้อย่างไรไหว“ข้าจะถนอมเจ้า ให้เจ็บปวดน้อยที่สุด แต่เจ้าก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ดื้อดึงเช่นคราวก่อน”กล่าวพลางคร่อมกายอยู่เหนือร่างแน่งน้อย ตาจ้องตาแสนอ่อนหวาน ราตรีเข้าหออาจผ่านมาเป็นเดือน แต่ราตรีนี้กลับกรุ่นกลิ่นหวานล้ำไม่แตกต่างจากราตรีของคู่วิวาห์ใหม่เลยแม้แต่น้อยทั้งน้ำเสียง สัมผัส และสายตาที่ซ่างกวนไท่ส่งมาให้ทำเอาเจ้าของร่างแน่งน้อย หัวใจเต้นเร็วและแรงจนสะท้านสะเทือนไปทั้งหัวอก นางลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ความใจกล้าที่เคยมีคล้ายจะมลายหายไปกับสายตาเว้าวอนอ่อนหวานเสียแล้ว“พะ...เพคะ”“เด็กดี ราตรีนี้ขอแค่เจ้าปล่อยไปตามอารมณ์กับข้าเป็นผู้นำก็พอ จากนั้นทุกอย่างจะดีเอง” กลีบปากล่างของเจี่ยอวี้หลันเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่าและกังวลอยู่เล็กน้อย“ปล่อยกายและใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลสิ่งใด และอย่าได้เขินอายมากไป เพียงเพราะเจ้าต้องเปลือยกายต่อหน้าข้
ตอนที่ 32รถม้าถึงตำหนักแล้วซ่างกวนไท่เป็นผู้ลงไปก่อน เขารอรับเจี่ยอวี้หลันอยู่ด้านล่าง ส่งนางจนถึงตำหนัก อยู่ร่วมมื้อกลางวันกับนางแล้วจึงบอกให้นางพักผ่อน“มื้อค่ำเจ้ารับไปก่อนได้เลยนะเจี่ยเอ๋อร์ ข้าอาจกลับมาไม่ทัน”“ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวเจี่ยเอ๋อร์ไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกเจ้าพักเถิด”“เพิ่งกินอิ่ม ให้เจี่ยเอ๋อร์เดินไปส่งเถิดเพคะ”“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”ภาพสองสามีภรรยาพูดจาด้วยดี สายตาที่มองกันนั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึง ทุกคนที่รับใช้ชินอ๋องเห็นแล้วต่างตื้นตัน ที่บัดนี้นายท่านของพวกตนนอกจากเหน็ดเหนื่อยและวุ่นวายกับงานราชกิจมากล้น พอกลับถึงตำหนักก็ยังมี ความสุข รอคอยอยู่“อย่าลืมดื่มยานะเจี่ยเอ๋อร์”“เพคะ”มองส่งเรือนกายสูงใหญ่ขึ้นรถม้าจนหายเข้าไปด้านใน เจี่ยอวี้หลันก็ยังคงยืนรอจนรถม้าเคลื่อนพ้นไปจากหน้าประตูตำหนัก นางจึงกลับเข้าสู่ตำหนักมู่หรงจิ่งที่แอบซุ่มดูอยู่ทำได้เพียงกำหมัดกัดฟัน เพราะไม่มีโอกาสจะเข้าใกล้สตรีซึ่งเขามั่นใจว่านางคือหลู่อวี้หลิง อยากได้นางกลับคืนใจแทบขาด ทว่ามิอาจเอื้อมถึง ทำเอาคนที่อยากได้สิ่งใดก็ต้องได้คับแค้นใจยิ่ง“หึ! มีข้าอยู่ ยังจะคิดเพ้อฝัน สมควรตายจริงๆ”มีหรือคนเช่นซ่างก
ตอนที่ 31นางเองก็ตอบรับเขากลับไปทุกคำขอเช่นกัน และที่ตอบรับออกไปนางมั่นใจแล้วทั้งหมดจึงได้อนุญาตเขาออกไป ไม่มีเลยแม้เสี้ยวลมหายใจที่เจี่ยอวี้หลันจะไม่แน่ใจและลังเล“มันจะเจ็บมากนะ”“เพคะ”สิ้นเสียงหวานตอบรับท่อนลำแข็งขึงจึงถูกกดแทรกลงมา เริ่มแรกแค่ตึงก่อนจะเริ่มเจ็บราวกับร่างกายถูกฉีกกระชาก ใบหน้าหวานค่อยๆ เปลี่ยนสีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเม็ดโต แต่นางกลับไม่กรีดร้องออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เจ็บหนักเข้านางจึงเอื้อมมือขึ้นไปดึงลำคอแกร่งให้เขาก้มลงมาจุมพิตนางทันทีเท้าเรียวสองข้างยกขึ้นโอบกอดรอบสะโพกแกร่งแล้วออกแรงกดให้ชายหนุ่มรับรู้ว่านางต้องการให้เขาเดินหน้าเข้ามาให้จบในคราวเดียวปึก!“อื้อ!”“เจี่ยเอ๋อร์!”ซ่างกวนไท่มิคาดคนตัวเล็กจะใจเด็ดถึงเพียงนี้ตัวตนของเขามิใช่ธรรมดาแรกเข้าไปในคราวเดียวเช่นนี้นางบาดเจ็บไม่น้อยแน่นอน“มะ…มิเป็นไรเพคะ เจี่ยเอ๋อร์ทนไหว”เจ็บก็เจ็บมันคราวเดียวไปเลย เจี่ยอวี้หลันคิดเช่นนั้น เพราะนางไร้เดียงสานักยังไม่รู้แจ้งว่ามันไม่ได้จบสิ้นเพียงแค่ตัวตนของซ่างกวนไท่เข้าไปสุดความยาว แต่นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะสิ!“เจ้าตัวโง่งม เจ้าทำตนเองบาดเจ็บด้วยเหตุอันใด”ซ่างกวนไท่กล่าว