เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า
"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน" อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไป ลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล "หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้น มันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสด ไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?" อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว...ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความกังวลที่กรีดลึก “ข้าว่านางอาจได้รับบาดเจ็บ” เขาพึมพำกับตัวเอง ราวกับจะกลั้นเสียงหัวใจไม่ให้เต้นแรงกว่านี้ มือเขากำแน่น ก่อนจะตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในป่า เส้นทางข้างหน้ามีรอยเลอะเป็นทาง...บางหยดห่างกันพอสมควร แสดงว่าเจ้าของเลือดยังมีแรงเดินต่อ “เป็นนีร่าแน่ ๆ” ไอล่ากระซิบ อีธานพยักหน้า แม้ใจหนึ่งเขาจะไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่เขาเคยโอบกอด จะต้องเดินลำพังท่ามกลางป่าเงียบสงัดเช่นนี้ ท่ามกลางอันตรายที่เขาควบคุมไม่ได้ ยิ่งเดินลึก เสียงนกเงียบลง อากาศเย็นลงอย่างน่าประหลาด ก่อนหน้าไม่ไกล พุ่มไม้เคลื่อนไหวบางเบา... เขายกมือให้ทั้งสองหยุด “ได้ยินไหม” เสียงกิ่งไม้หักดังเบา ๆ ราวมีบางอย่าง—หรือบางคน—เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า หัวใจอีธานเต้นถี่ เขาก้าวช้า ๆ ไปยังพุ่มไม้นั้น มือจับดาบที่เหน็บข้างเอวไว้แน่น... ฝีเท้าของอีธานหยุดชะงัก เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าบางอย่างแตะจมูก ไม่ใช่กลิ่นของสัตว์ที่ตายตามธรรมชาติ แต่มันคือกลิ่นเนื้อเน่าผสมกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในอากาศรอบตัว ไอล่าทำท่าจะอาเจียน "พระเจ้า...กลิ่นบ้าอะไรเนี่ย" อีธานชักดาบออกมา เสียงโลหะขูดกับปลอกดังแผ่วในความเงียบ "ตามมาให้เงียบที่สุด" พวกเขาเดินอ้อมพุ่มไม้ไปอีกเพียงไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนชะงัก ในลานหินกว้างกลางป่า มีเสาไม้ท่อนใหญ่ปักเรียงเป็นวงกลม ตรงกลางคือซากศพถูกห้อยหัวลงจากไม้ เสียงแมลงวันบินวนรอบ ๆ ไม่อาจกลบเสียงลมหายใจของทั้งสามที่เริ่มหนักขึ้น "บ้าเอ๊ย..." รัฟเฟอร์พึมพำ พร้อมถอยกรูดโดยไม่รู้ตัว ไอล่าเบือนหน้าหนี มือกำหน้าอกตัวเองแน่นราวกับหัวใจจะหลุดออกมา "ดูนั่น" อีธานชี้ไปยังแท่นหิน ที่มีสัญลักษณ์ประหลาดถูกวาดด้วยเลือดสด ผสมกับถ่านและเศษอวัยวะแห้งๆ ที่ดูเหมือนถูกเซ่นไหว้ "มีคนอยู่ที่นี่..." ไอล่าเสียงสั่น อีธานกำดาบแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบเหลือบมองรอบตัว เสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบเบา ๆ จากทางทิศตะวันตก... ไม่ใช่เสียงของสัตว์ ไม่ใช่ของพวกเขา ทันใดนั้น ร่างหนึ่งโผล่จากเงาไม้ — ผิวหนังของมันซีดคล้ำแตกระแหงเหมือนแห้งกรังจากแสงแดดหลายสิบปี ดวงตาแดงก่ำไร้สติ ร่างกายผ่ายผอมแต่เต็มไปด้วยรอยแผล ราวกับมันไม่เคยตาย ไม่เคยพัก แล้วอีกสองร่างก็ตามออกมา จากนั้นอีกห้า...สิบ... พวกมันค่อย ๆ ล้อมวงเข้ามา ช้า...แต่มั่นคง ราวกับฝูงสัตว์ที่หิวโหยไม่รู้จบ "พวกมัน...ไม่ใช่คน.." รัฟเฟอร์เสียงแหบ ไอล่ากระซิบเสียงสั่น "เผ่ากินคน...ฉันเคยได้ยินเรื่องเล่าในหมู่กะลาสี—คนพวกนี้ถูกสาปจากบาปในอดีต...กินเนื้อคนเป็นอาหาร...ไม่ยอมตายแม้หมดวิญญาณ" อีธานสบถในลำคอ "ถ้าเรื่องเล่านั้นจริง เราไม่มีทางคุยกับพวกมันได้แน่" หนึ่งในพวกนั้นคำรามเสียงต่ำ แล้วพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วเกินคาด! อีธานสะบัดดาบฟันฉับ — เลือดสีดำทะมึนกระเซ็น แต่ร่างนั้นยังไม่ล้ม มันเพียงชะงัก แล้วพุ่งกลับมาอีกครั้งราวกับไม่รู้จักคำว่าเจ็บ "วิ่ง!" เขาตะโกน ทั้งสามพุ่งทะยานเข้าไปในป่าราวพายุ เสียงกรีดร้องไล่หลัง เสียงฝีเท้าหนักลากลากบนพื้นดิน พวกมันไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่หยุดหายใจ "เราต้องหาที่สูง!" ไอล่าตะโกนกลับมา "หรือถ้ำ!" อีธานตอบพลางวิ่งฝ่าพุ่มไม้หนา เขาไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร — แต่เขารู้แค่ว่าเขาต้องรอด...เพื่อนำเรื่องนี้ไปเตือนนีร่า และปกป้องเธอกับน้องสาวจากนรกที่แฝงในเกาะสวรรค์แห่งนี้ เสียงฝีเท้ารัวเร่ง เสียงลมหอบหายใจกลบเสียงธรรมชาติไปสิ้น อีธานวิ่งนำอยู่ข้างหน้า ไอล่ากับรัฟเฟอร์วิ่งตามหลังมาติด ๆ ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาราวม่านกำมะหยี่หนาทึบ กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเหงื่อและความกลัวผสมปะปนกันจนเขารู้สึกคล้ายจะอาเจียนออกมา “ทางนี้!” เขาตะโกน เมื่อเห็นโพรงแคบที่ดูเหมือนจะลอดเข้าไปได้ แต่แล้ว—เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “ไอล่า!” อีธานชะงักเท้า หมุนกลับไปทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่า... ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น—แม้แต่เสียงฝีเท้าหรือลมหายใจ ไม่มีเงาของลูกเรือไม่มีเสียงครวญของไอล่า มีเพียงพุ่มไม้ที่สั่นไหวเล็กน้อย และลมหอบแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ “...ไม่...” อีธานกัดฟัน ดาบในมือแน่นขึ้นจนเส้นเลือดปูดบนหลังมือ “ไอล่า!! รัฟเฟอร์!!” เขาตะโกนลั่น — แต่ป่าตอบกลับเพียงเสียงสะท้อนเงียบงัน และเสียงฝีเท้าเบาบางที่ไม่แน่ใจว่าเป็นของใครหรือของอะไร เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่พุ่มไม้ที่เคยผ่านมา กลับเปลี่ยนไป เหมือนถูกบิดเบือน ราวกับตัวป่ามีชีวิตและเล่นตลกกับเขา "นี่มันบ้าอะไรกัน..." เขากระซิบกับตัวเอง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู แล้วจู่ ๆ เสียงกระซิบก็ดังขึ้นเบา ๆ จากทุกทิศ > “ผู้มาเยือน...ผู้ล่วงล้ำ...เลือดเจ้า...จักเซ่นเรา...” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเดียว แต่เป็นหลายเสียง หลายเพศ หลายวัย แทรกซ้อนกันเหมือนคลื่นเสียงที่ปะทะสมอง อีธานทรุดลงคุกเข่า มือทั้งสองปิดหูไว้แน่น แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกลบยังไง “หยุด...หยุด!!” เขาตะโกนสุดเสียง ทันใดนั้น ความเงียบก็กลับมา...ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น...เขาไม่ได้อยู่ในจุดเดิมแล้ว รอบตัวเขาคือสุสานโบราณกลางป่า ต้นไม้แห้งกรอบล้อมรอบ แท่นหินที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์เลือดและกระดูก นับสิบ นับร้อย วางเรียงคล้ายบทสวดของความตาย ท่ามกลางทั้งหมดนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวช้า ๆ...ใต้เงาไม้...ใต้ดิน หรือ...ใต้ผิวโลกที่แตกร้าว? และภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ มีเศษผ้าขาดรุ่งริ่งติดอยู่—ผ้าของชุดไอล่าแน่นอน อีธานกัดฟัน น้ำตาไม่ได้ไหลออกมา แต่ความเจ็บแสบแผ่ไปทั่วอก เขายืดหลังขึ้น ค่อย ๆ หมุนตัวอย่างระมัดระวัง เพราะตอนนี้...เขารู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว และเงามืดรอบตัว...ไม่ใช่แค่ต้นไม้ยามค่ำคืน – ริมชายฝั่งที่เงียบสงัด คลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินเป็นจังหวะ สายลมเย็นปะทะผิวจนหนาวสะท้าน ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงจ้าเหนือผืนน้ำสีหมึก นีร่ายืนอยู่บนผืนทราย แผลที่แขนยังพันผ้าแน่น แต่เลือดยังซึมออกไม่หยุด ข้างเธอ อีธานยืนเงียบ เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองหน้าเธอราวกับอยากจำทุกรายละเอียดไว้ให้ขึ้นใจ นีร่าหันมามองเขา ดวงตาสองคู่สบกันในความเงียบ “ข้าจะรีบกลับมา” เธอเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงสั่น อีธานพยักหน้า แต่สายตาเขาเต็มไปด้วยห่วง “นานแค่ไหน?” “ข้าไม่รู้…” นีร่ากลืนน้ำลาย “แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด” อีธานถอนหายใจ มือใหญ่ลูบผมเธออย่างแผ่วเบา “เจ้าพูดเหมือนมันจะง่าย” “มันไม่ง่าย” เธอยิ้มจางๆ “แต่ข้าต้องลอง” เขาเงียบไปนาน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งจากเอว ด้ามเป็นเหล็กเรียบเรียง เส้นคมคมกริบ “เอาไว้ป้องกันตัว” นีร่ารับมาไว้ในมือ สายตาเธอเริ่มพร่า เธอขยับเข้าไปใกล้ โอบแขนรอบตัวเขาแน่น “ข้ากลัว…” เธอกระซิบ “กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก” “ข้าก็กลัวเหมือนกัน” เขากอดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม “แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งกว่าใคร ข้าจ
นีร่ายังคงสั่นเทา น้ำตาไหลไม่หยุดอีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองใบหน้าเธอแผ่วเบา“นีร่า…มองข้า…เจ้าอยู่ที่นี่ ปลอดภัยแล้ว”เธอกะพริบตา ถอยหายใจแรงเหมือนจะขาดใจเสียงในคอแหบจนแทบไม่เป็นเสียง“มัน…มันไม่ใช่แค่ฝัน…ข้าเห็นแม่จริงๆ”อีธานกอดเธอไว้แน่นกลิ่นเลือดและเหงื่อยังติดตัวเธอ“แม่ของข้า…ตาเปลี่ยนเป็นสีดำ…”เธอกัดริมฝีปาก มือสั่นจนแทบกำอะไรไม่อยู่“เธอกลายเป็น…สัตว์ประหลาด…พูดว่าข้า…ต้องกลับไป…เป็นเหมือนพวกมัน…”เสียงสะอื้นดังลอดออกมาอีธานค่อยๆ ลูบหลังเธอ“ไม่…เจ้าจะไม่เป็นเหมือนพวกมัน”น้ำเสียงเขาหนักแน่น“ข้าสัญญา”นีร่าเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ“ถ้าแม่ยังมีชีวิต…ข้าต้องหาคำตอบ…ข้าต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น…”“งั้นเราจะไปด้วยกัน”อีธานพูดช้าๆ จ้องตาเธอแน่วแน่“ไม่ว่าต้องไปที่ไหน…เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เสียงคลื่นนอกหน้าต่างยังซัดเข้าฝั่งไฟตะเกียงสั่นไหวเงียบๆในอกนีร่า ความกลัวค่อยๆ แปรเป็นแรงฮึดสู้เธอพยักหน้าช้าๆ“เราจะหาความจริง…ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร…”อีธานกระชับมือเธอแน่นขึ้นและในค่ำคืนที่หนาวเหน็บหัวใจสองดวงก็ผูกพันกันมั่นคงกว่าเดิมสองวันถัดมาแผลบนแขนของนีร่าไม่ดีขึ้น
หัวหน้าเงือกพุ่งใส่อีธานสุดแรงครีบใหญ่หวดอากาศจนเกิดเสียงแตกดัง วืด!อีธานเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายปลายมีดในมือฟาดเฉียงเข้าที่คอด้านข้างของมันฉึก!เสียงเนื้อฉีกดังชัดเลือดสีหมึกกระฉูดราดเต็มตัวเขาหัวหน้าเงือกคำรามลั่นจนพื้นสะเทือนร่างมหึมาสะบัดถอยหลังไปสองก้าวชั่ววินาทีนั้น…ศรเซรีออนในมือนีร่าเปล่งแสงจ้าเหมือนจะปล่อยพลังสุดท้ายออกมาเธอยกศรขึ้น…ริมฝีปากแห้งแตกพึมพำถ้อยคำเวทเสียงแหบจนแทบฟังไม่ออก“…จบสิ้น…อสูร…”ประกายฟ้ารูปวงเวทหมุนรอบตัวเธอพลังเวททะลักขึ้นจนฝนสาดกระจายเป็นวงแสงจากศรสว่างจ้า—แต่ทันใดนั้นร่างเธอก็สั่นแรงแผลลึกบนแขนซ้ายฉีกกว้างกว่าเดิม เลือดพุ่งร้อนวาบเต็มมือนีร่าหอบแรง สายตาพร่าเสียงในหูเธอกลายเป็นเสียงอื้ออึงภาพรอบตัวพร่ามัวเหมือนฝันหัวหน้าเงือกที่บาดเจ็บคอคำรามต่ำมันถอยไปช้า ๆ หยาดเลือดดำหยดตามพื้นสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด…และความเกลียดชังก่อนมันจะพุ่งหนีเข้าความมืดหลังบ้านเรือนพังยับอีธานจะวิ่งตาม—แต่เขาหันมาเห็นนีร่าทรุดลงบนเข่าตัวเองศรเซรีออนร่วงจากมือกระแทกพื้นหิน“นีร่า!”เขาพุ่งเข้าประคองร่างเธอไว้แขนเธออ่อนแรงจนแทบไม่ขยับสายตาคู่สวยค่อย
นีร่าเหวี่ยงศรลงสุดแรงปลายศรเซรีออนเปล่งแสงฟ้าแทงเข้าข้างคอหัวหน้าเงือกฉึก!เสียงเนื้อแตกดังชัดเลือดสีหมึกทะลักออกมาเป็นฝอยดำข้นมันคำรามลั่นทั้งลานบ้านแต่พลังมันยังไม่หมด—เงือกกลายพันธุ์ใช้ครีบหนาฟาดสวนใส่เธอเต็มแรงผัวะ!ร่างนีร่ากระเด็นไถลไปตามพื้นหินเธอรู้สึกเหมือนอากาศในปอดหายไปหมดโลกทั้งโลกหมุนเคว้งอยู่ชั่ววูบเสียงอีธานตะโกน“นีร่า!”เธอพยายามลุก แต่แขนซ้ายชาไปหมดพอเหลือบลงมอง…แผ่นหนังแขนเสื้อขาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลรินตลอดแนวแผลฝนโปรยแรงขึ้นจนทุกอย่างเย็นเฉียบแต่บาดแผลกลับร้อนจี๊ดราวไฟลวกเธอหอบหายใจ สายตาพร่าเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ก้าวมาช้า ๆมันก้มลง แยกเขี้ยวใส่เธอนีร่ากัดฟัน พยายามยันตัวขึ้นแม้แขนซ้ายจะสั่นจนแทบยกไม่ไหวศรเซรีออนสั่นแสงพร่าอยู่ในมือข้างขวาอีธานพุ่งมาคุกเข่าข้างเธอ“อย่าฝืน…! ถอยก่อน!”เธอสบตาเขาแม้เจ็บจนตัวสั่น แต่เสียงเธอยังนิ่ง“ไม่ได้…มันจะฆ่าพวกเขาทุกคน…”บีลาร์กับลุงโทบี้พุ่งเข้ามาขวางตรงหน้าหอกไม้ยกขึ้นพร้อมกัน แม้จะสู้ด้วยแรงที่สั่นระริกนีร่าหอบแรงหนึ่งทีแล้วกัดฟันจนเลือดซึมที่ริมฝีปากเสียงฝีเท้าเงือกกลายพันธุ์ที่กำลังจะก
เสียงกรีดร้องดังสะท้อนมาตามลมทะเลนีร่าชะงัก…มือยังถือถ้วยซุปที่อีธานเพิ่งตักให้เมื่อครู่แววตาเธอเปลี่ยนไปทันที — ความนิ่งสงบกลายเป็นความตื่นตัว“เสียงจากหมู่บ้าน…”เธอกระซิบ เบาแต่หนักแน่นอีธานวางชามลงแทบจะพร้อมกัน“ข้าจะไปด้วย”ไอล่าลุกพรวด“เดี๋ยว! มันอาจเป็นกับดัก—”“ไม่ไปตอนนี้จะไม่มีใครให้ช่วยแล้ว!” นีร่าตอบพลางคว้าศรเซรีออน ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆศรในมือเธอร้อนจัด—เหมือนมัน “เตือน” ว่า ศัตรูอยู่ใกล้---กลางหมู่บ้าน — เปลวไฟลุกโชนร่างของเงือกกลายพันธุ์ 3-4 ตัว กำลังล้อมครอบครัวหนึ่งที่เหลือเพียงพ่อกับลูกสาว พ่อพยายามยื้อไว้ แต่เด็กหญิงร้องไห้เสียงแหบก่อนที่ครีบแหลมจะฟันลงมาที่ร่างพวกเขา—“ฟึ่บ!”เสียงบางอย่างพุ่งผ่านกลางอากาศแสงฟ้ารูปเกลียว ปรากฏขึ้นกลางฝูงเงือกศรเซรีออนแทงทะลุร่างของหนึ่งในพวกมัน ร่างมันกระตุกก่อนระเบิดเป็นเถ้าทะเล“ทางนี้!” เสียงนีร่าตะโกนเธอพุ่งเข้ามาท่ามกลางเปลวเพลิง ผมยาวสยายตามลม ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตาไม่สั่นไหวศรเวทในมือเปล่งแสงจ้า ราวกับรู้หน้าที่ของมันเองอีธานกระโจนตามมา สะบัดมีดคู่แทงเข้าลำตัวเงือกอีกตัวอย่างแม่นยำ เลือดสีดำทะลัก“หนีไปทา
แสงแดดสีทองอ่อนส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามา นีร่ากับไอล่านั่งชิดกันบนพื้นไม้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนาน ต่างคนต่างเงียบราวกับต้องการให้หัวใจได้พักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่บันไดอีธานกลับมาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาช้าๆ ในมือหิ้วตะกร้าที่มีก้อนขนมปังแห้ง ผลไม้ป่า และปลาเค็มสองตัว กลิ่นคาวผสมกลิ่นเค็มทะเลโชยอ่อนๆอีธานวางตะกร้าแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาสบตานีร่า สายตาคู่นั้นอ่อนโยนจนหัวใจเธอสั่นอีธาน (เสียงทุ้มแผ่ว)“พอจะมีอะไรให้พวกเราอิ่มท้องไปถึงเย็น ข้าออกไปไกลหน่อย…คิดว่าไม่น่ามีใครตามรอยมาได้”ไอล่า (น้ำเสียงยังแหบ)“ขอบคุณ…เจ้าลำบากเพราะพวกเรามากแล้ว”อีธานส่ายหน้า เขาหันไปมองนีร่าแวบหนึ่งอีธาน“พวกเจ้าสองคนคือคนสำคัญ…ไม่มีอะไรเรียกว่า ‘ลำบาก’”นีร่าเม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ฝืนใจไว้นีร่า“เมื่อคืน…ข้าคิดว่าเราอาจไม่รอดแล้วจริงๆ”อีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่สั่นน้อยๆ ขณะเอื้อมไปแตะแก้มนีร่าอีธาน“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่ยอมให้มันพรากเจ้าหรือใครไปอีก”เขาหันไปสบตาไอล่าอีธาน“ข้าสาบาน…เราจะพามาริเบลกลับไปฝังอย่างสมเกียรติ และเราจะหาทางล้างแค้นมัน”