เงาร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวออกจากเงามืด
ผิวเธอเป็นสีมุกจางเรืองแสง ผมยาวราวกับสาหร่ายทะเลไหลลู่ไปตามกระแสน้ำเบา ๆ ดวงตาของเธอ...คล้ายกับนีร่า ราวกับกำลังมองตนเองในอดีตหรืออนาคต “ยินดีต้อนรับ...ทายาทแห่งสายเลือดโบราณ” เสียงของหญิงผู้นั้นหวานแต่ทรงพลัง ดังก้องไปทั่วโถงหิน นีร่าใจเต้นแรง “ท่านคือใคร?” หญิงสาวยิ้มเศร้า “ข้าชื่ออัลเธีย” เธอพูดเสียงแผ่ว “ข้าคือผู้คุมกฎคนก่อน...และครั้งหนึ่ง ข้าเคยเลือกผิด” โทรันยืนเงียบ มองพวกเธอด้วยสายตาหนักแน่น “เธอ...คือผู้ที่เคยพยายามหยุดสงครามครั้งก่อน” นีร่าเม้มริมฝีปาก “แต่ท่านล้มเหลวใช่ไหม?” อัลเธียพยักหน้าเบา ๆ “ข้าลังเลเกินไป...และสุดท้ายข้ากลายเป็นหนึ่งในต้นเหตุของการล่มสลายแห่ง 'วาเลอริน' เมืองหลวงแห่งเงือก” เงียบงันก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเธอ “แต่เจ้า...ยังมีโอกาส” อัลเธียยื่นมือออกมา แล้วแสงบางอย่างก็ลอยออกจากฝ่ามือเธอ มันคือ "เกล็ดแห่งสมดุล" — เกล็ดเงือกสีทองอมฟ้า ส่องแสงวูบวาบอยู่กลางอากาศ “จงรับไว้ มันจะเปิดทางให้เจ้าเห็น ‘อดีตที่ถูกลืม’ และ ‘อนาคตที่อาจเกิด’” นีร่ายื่นมือไปรับอย่างลังเล ทันทีที่สัมผัสกับเกล็ดนั้น นิมิตแห่งอดีต เธอร่วงสู่โลกแห่งแสงและความทรงจำ ภาพผุดขึ้นตรงหน้า: กองทัพเงือกกินคน ที่มีปีกสีดำและฟันคมดุจมีด ดำผุดดำว่ายขึ้นจากรอยแยกในทะเล เงือกบริสุทธิ์ถูกจับ ถูกเปลี่ยน ถูกหลอมรวม แสงแห่งพลังของผู้คุมกฎแตกกระจายกลางสนามรบ เสียงเด็กน้อยร้องไห้ท่ามกลางเปลวเพลิงใต้น้ำ จากนั้น...นีร่าก็เห็นหญิงคนหนึ่ง — หน้าคล้ายนีร่า แต่ดวงตากลวงเปล่า เต็มไปด้วยความเกลียดชัง "เลือดเดียวกับเจ้า...แต่เลือกเส้นทางตรงข้าม" เสียงของอัลเธียดังขึ้นในหัวเธอ กลับสู่วิหาร นีร่าหอบหายใจเมื่อภาพในนิมิตจางหาย “ข้า...ข้าเห็นสงครามครั้งก่อน” เธอพูดน้ำเสียงสั่น “และข้าเห็นหญิงคนหนึ่ง...ที่เป็นเหมือนข้า แต่เธอกลายเป็น—” “อสูร,” โทรันพูดจบประโยคแทน “นั่นคือสิ่งที่พลังสามารถทำได้ เมื่อถูกความแค้นหล่อเลี้ยง” นีร่ากัดริมฝีปาก “แล้วข้าจะไม่เป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” อัลเธียยิ้มอ่อน “ด้วยหัวใจของเจ้า...ด้วยมิตรภาพที่เจ้ามี และด้วยการยอมรับ ‘ด้านมืด’ ของตัวเอง ไม่ใช่หนีมัน” โทรันเดินไปยังอีกฝั่งของห้อง แล้วชี้ไปที่ คันศรสีฟ้าโปร่งแสง วางอยู่บนแท่นศิลา “นี่คืออาวุธของผู้คุมกฎ — 'เซรีออน' ศรแห่งคลื่นและลมหายใจของมหาสมุทร” “เจ้าต้องพิสูจน์ว่าคู่ควรกับมัน ก่อนที่สงครามครั้งใหม่จะปะทุขึ้นอีกครั้ง” นีร่าเงยหน้ามองอาวุธนั้น ประกายตาของเธอเปลี่ยนไป จากความกลัว...กลายเป็นความแน่วแน่ “ข้าจะเรียนรู้ ข้าจะฝึกฝน และข้าจะปกป้องทั้งสองโลก...” นีร่าก้าวเข้าไปใกล้แท่นหินที่วางคันศรเซรีออนไว้ ศรสีน้ำทะเลเรืองแสงอ่อน ๆ ราวกับมันกำลังมองดูเธอเช่นกัน โทรันพูดด้วยเสียงนิ่ง “ก่อนที่เจ้าจะจับมัน เจ้าต้องเผชิญกับบททดสอบของ ‘เกล็ดคลื่น’ ก่อน” “บททดสอบแบบไหน?” นีร่าถาม น้ำเสียงเริ่มหนักแน่นขึ้น โทรันชี้ไปที่สระน้ำกลางห้อง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นผืนน้ำใสลึกจนน่าหวั่นใจ “ในนั้น...เจ้าจะเจอสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจเจ้าเอง” นีร่าหันไปมองอัลเธีย “ข้าจะออกมาได้ใช่ไหม?” อัลเธียพยักหน้า “หากเจ้าไม่กลัวความจริง...เจ้าจะออกมาได้แข็งแกร่งกว่าเดิม” นีร่าหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวลงไปในน้ำเย็นจัด ทันทีที่ตัวเธอจมหาย ทุกอย่างรอบตัวเงียบลง ในโลกของจิตใจ นีร่ายืนอยู่กลางท้องทะเลที่ไร้คลื่น ฟ้าข้างบนมืดสนิท อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากด้านหลัง เมื่อหันกลับไป เธอก็เห็นตัวเองอีกคนหนึ่ง... ...แต่มีเกล็ดสีดำ ผิวซีด ดวงตาแดงฉาน “เจ้าคือเราในแบบที่เราไม่อยากเป็น” นีร่ากระซิบ เงานั้นยิ้มเย้ย “ไม่ใช่หรอก...เจ้าแค่ปฏิเสธเรา แต่เราอยู่ในเจ้าตลอด” “ข้าจะไม่เป็นเจ้า” นีร่าพูดเสียงแน่น เงานั้นหัวเราะ “งั้นก็สู้มา” การต่อสู้ภายในใจ นีร่ากับเงาดำปะทะกันด้วยมือเปล่า ไม่มีดาบ ไม่มีพลัง มีแค่แรงจากความตั้งใจ นีร่าเจ็บล้า เหนื่อยจนแทบล้ม แต่ในหัวของเธอกลับมีภาพของคนที่เธอรัก — อีธาน, มาริเบล, ไอล่า เสียงของอีธานดังขึ้นในใจเธอ “เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว” นีร่าลุกขึ้นอีกครั้ง เธอกอดเงาดำนั้นไว้แน่น ไม่ใช่เพื่อสู้...แต่เพื่อยอมรับ “เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของข้า...และข้าจะไม่ปฏิเสธอีก” แสงสีฟ้าระเบิดออกจากตัวเธอ เงาดำสลายเป็นละอองน้ำ กลับสู่วิหาร นีร่าเปิดตาขึ้นอีกครั้งในสระน้ำ อัลเธียยิ้ม และโทรันพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าผ่านบททดสอบแล้ว” เขากล่าว คันศรเซรีออนส่องแสงจ้า ราวกับมันยอมรับผู้ถือครอง นีร่าค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับคันศร เมื่อมือเธอสัมผัส คันศรเปล่งแสงออกไปรอบห้อง และในแสงนั้น...เสียงกู่ร้องแห่งท้องทะเลดังกังวาน โทรันพูดอย่างมั่นคง “จากนี้ไป เจ้าคือ ‘ผู้พิทักษ์แห่งสมดุล’ อย่างแท้จริง”เสียงกรีดร้องดังสะท้อนมาตามลมทะเลนีร่าชะงัก…มือยังถือถ้วยซุปที่อีธานเพิ่งตักให้เมื่อครู่แววตาเธอเปลี่ยนไปทันที — ความนิ่งสงบกลายเป็นความตื่นตัว“เสียงจากหมู่บ้าน…”เธอกระซิบ เบาแต่หนักแน่นอีธานวางชามลงแทบจะพร้อมกัน“ข้าจะไปด้วย”ไอล่าลุกพรวด“เดี๋ยว! มันอาจเป็นกับดัก—”“ไม่ไปตอนนี้จะไม่มีใครให้ช่วยแล้ว!” นีร่าตอบพลางคว้าศรเซรีออน ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆศรในมือเธอร้อนจัด—เหมือนมัน “เตือน” ว่า ศัตรูอยู่ใกล้---กลางหมู่บ้าน — เปลวไฟลุกโชนร่างของเงือกกลายพันธุ์ 3-4 ตัว กำลังล้อมครอบครัวหนึ่งที่เหลือเพียงพ่อกับลูกสาว พ่อพยายามยื้อไว้ แต่เด็กหญิงร้องไห้เสียงแหบก่อนที่ครีบแหลมจะฟันลงมาที่ร่างพวกเขา—“ฟึ่บ!”เสียงบางอย่างพุ่งผ่านกลางอากาศแสงฟ้ารูปเกลียว ปรากฏขึ้นกลางฝูงเงือกศรเซรีออนแทงทะลุร่างของหนึ่งในพวกมัน ร่างมันกระตุกก่อนระเบิดเป็นเถ้าทะเล“ทางนี้!” เสียงนีร่าตะโกนเธอพุ่งเข้ามาท่ามกลางเปลวเพลิง ผมยาวสยายตามลม ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตาไม่สั่นไหวศรเวทในมือเปล่งแสงจ้า ราวกับรู้หน้าที่ของมันเองอีธานกระโจนตามมา สะบัดมีดคู่แทงเข้าลำตัวเงือกอีกตัวอย่างแม่นยำ เลือดสีดำทะลัก“หนีไปทา
แสงแดดสีทองอ่อนส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามา นีร่ากับไอล่านั่งชิดกันบนพื้นไม้ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกนาน ต่างคนต่างเงียบราวกับต้องการให้หัวใจได้พักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นที่บันไดอีธานกลับมาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาช้าๆ ในมือหิ้วตะกร้าที่มีก้อนขนมปังแห้ง ผลไม้ป่า และปลาเค็มสองตัว กลิ่นคาวผสมกลิ่นเค็มทะเลโชยอ่อนๆอีธานวางตะกร้าแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน เขาสบตานีร่า สายตาคู่นั้นอ่อนโยนจนหัวใจเธอสั่นอีธาน (เสียงทุ้มแผ่ว)“พอจะมีอะไรให้พวกเราอิ่มท้องไปถึงเย็น ข้าออกไปไกลหน่อย…คิดว่าไม่น่ามีใครตามรอยมาได้”ไอล่า (น้ำเสียงยังแหบ)“ขอบคุณ…เจ้าลำบากเพราะพวกเรามากแล้ว”อีธานส่ายหน้า เขาหันไปมองนีร่าแวบหนึ่งอีธาน“พวกเจ้าสองคนคือคนสำคัญ…ไม่มีอะไรเรียกว่า ‘ลำบาก’”นีร่าเม้มริมฝีปาก เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ฝืนใจไว้นีร่า“เมื่อคืน…ข้าคิดว่าเราอาจไม่รอดแล้วจริงๆ”อีธานคุกเข่าลงข้างเธอ มือใหญ่สั่นน้อยๆ ขณะเอื้อมไปแตะแก้มนีร่าอีธาน“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่ยอมให้มันพรากเจ้าหรือใครไปอีก”เขาหันไปสบตาไอล่าอีธาน“ข้าสาบาน…เราจะพามาริเบลกลับไปฝังอย่างสมเกียรติ และเราจะหาทางล้างแค้นมัน”
รุ่งสาง – บ้านไม้เก่าริมหน้าผาเสียงคลื่นยังซัดฝั่งไม่หยุด แต่แสงอาทิตย์อ่อนๆ เริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้นีร่าลืมตาช้าๆ ความเมื่อยล้าหนักอึ้งทั่วร่าง แต่ความอบอุ่นจากผ้าห่มหนายังโอบเธอไว้เธอหันไปมองข้างตัว—ที่ว่างเปล่าแล้วอีธานไม่อยู่บนฟูก แต่ผ้าห่มอีกผืนยังอุ่น เหมือนเขาเพิ่งลุกไปเมื่อไม่นานกลิ่นคาวเกลือทะเลปะปนกับกลิ่นเนื้อย่างจางๆ ลอยมาเข้าจมูกเธอยันตัวลุก รวบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตูห้องตรงโต๊ะไม้ใกล้เตาผิง—อีธานกำลังนั่งแยกปลาออกจากก้างแผ่นหลังเขากว้างและดูสงบอย่างแปลกประหลาดใกล้ๆ กัน ไอล่านั่งห่มผ้า หน้าตาซีด แต่ตายังมองตามเขาตลอดนีร่าก้าวเข้ามาช้าๆเสียงฝีเท้าบนพื้นไม้ทำให้อีธานเงยหน้าขึ้น ยิ้มมุมปากอย่างเหนื่อยๆ“เจ้าตื่นแล้ว…”เสียงเขาแหบต่ำเหมือนเพิ่งผ่านทั้งคืนที่ไม่ได้หลับเธอพยักหน้า เอียงหน้ามองถาดปลาเค็มกับถุงสมุนไพร“เจ้าออกไปหามาตั้งแต่เมื่อไหร่”“ตอนฟ้ายังไม่สาง”อีธานตอบเรียบๆ มือยังจัดอาหารใส่ถ้วย“มีร่องรอยพวกมันอยู่แถวชายป่า…แต่คงยังไม่กล้าบุกมาตอนเช้า”นีร่านั่งลงข้างไอล่า มองเพื่อนสาวที่ยังไม่เอ่ยอะไรเธอยื่นมือแตะหลังมือไอล่าเบาๆ“เจ้
บ้านไม้เก่าริมหน้าผา – หลังเตรียมกับดักเสร็จหลังจากลากตาข่ายเหล็กมาวางประจำจุด อีธานก็ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูมองนีร่าที่นั่งนิ่ง เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง มือยังจับศรเซรีออนไว้ไม่ปล่อย“นีร่า…”เสียงเขาแผ่วลง“เจ้าพักเถอะ ข้าจะเฝ้ายามเอง”“ไม่…”เธอส่ายหน้า ดวงตาแดงก่ำ“ข้า…ข้าไม่กล้าหลับ ข้ากลัวมันจะมาพรากใครไปอีก”อีธานค่อยๆ ก้าวเข้ามา จนยืนตรงหน้ามือเขายื่นมาลูบแก้มที่เปื้อนคราบน้ำตาเบาๆความอบอุ่นจากฝ่ามือเขาทำให้หัวใจเธอสั่นวูบ“ไม่มีใครพรากเจ้าไปได้…ไม่มี”เสียงเขาหนักแน่น“ข้าอยู่ตรงนี้”นีร่าหลบตา แต่เขายกคางเธอขึ้นให้สบตากันตรงๆลมหายใจทั้งคู่ร้อนจัดขึ้น ในความเงียบที่มีเพียงเสียงคลื่นไกลๆ“อีธาน…”“ชู่ว…”เขาก้มลงจูบเธอเบาๆ ที่มุมปากนีร่าตัวสั่น เธอไม่รู้ว่าความอ้างว้างหรือความสูญเสียมันพาเธอถลำไปจนไหนรู้แค่ว่าตอนนี้ เธอไม่อยากเหลืออยู่ลำพังอีกแล้วริมฝีปากเขากดแนบกับของเธอ ลึกขึ้นเรื่อยๆเธอหลับตา ยอมปล่อยให้ความอ่อนแรงแตกสลายไปกับสัมผัสอุ่นจัดอีธานจับมือเธอที่ยังเกร็งอยู่ บีบแน่นจนเธอวางศรลงข้างตัวมืออีกข้างสอดเข้าผมเธอ ดึงให้จูบยิ่งล้ำขึ้นเสียงหอบหายใจผสานกันแผ่วๆ ในห้องไม
อีธานสบตาเธอ นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลงข้างร่างมาริเบลเขาหลับตา ใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าอกตัวเอง“ข้า…ข้าสาบานต่อวิญญาณทะเล…”เสียงเขาแผ่วแต่หนักแน่น“เราจะไม่หนี เราจะไม่หยุด จนกว่าสัตว์นั่นจะชดใช้ทุกหยดเลือดที่มันพรากไป”ไอล่าปาดน้ำตาด้วยหลังมือ แขนยังสั่นจนแทบยกไม่ขึ้นเธอกัดริมฝีปากจนเลือดซึม แต่ก็พยักหน้าช้าๆ“ข้าด้วย…ข้าจะอยู่ข้างเจ้า นีร่า…”นีร่าสูดหายใจลึก แววตาแดงก่ำเธอเงยหน้ามองหน้าต่างที่สะบัดด้วยแรงลมทะเลราวกับเงาดำข้างนอกยังวนเวียนเฝ้าดูอยู่“มันคิดว่าข้าจะกลัว…”เสียงเธอสั่นต่ำ“…แต่ข้าจะให้มันรู้ ว่าข้าสูญเสียได้มากแค่ไหน…แล้วจะไม่ยอมเสียอะไรอีก”แสงศรเซรีออนพลันสว่างจ้า ร้อนจัดจนไอล่าและอีธานต้องผงะรัศมีสีฟ้าพวยพุ่งขึ้นเพดาน ราวกับตอบสนองต่อคำสาบานของเธออีธานจับแขนเธอไว้แน่น“ถ้าเจ้าจะสู้…เราจะสู้ด้วย”ไอล่าก้าวมาจับบ่าของนีร่าอีกคน“คืนนี้…เราจะไม่ปล่อยมันเข้ามาอีก”นีร่าไม่พูดอะไรเธอก้มมองร่างน้องสาวเป็นครั้งสุดท้ายน้ำตาหยดลงบนผ้าห่มสีจาง“รอข้า…มาริเบล”เสียงเธอแหบต่ำ“รอวันที่ข้าจะตามมันไป…แล้วเอาดวงวิญญาณเจ้ากลับคืนมา”เสียงลมทะเลหอนก้องราวกับ
เสียงคำรามต่ำเงียบไปในฉับพลัน...กลายเป็น ความเงียบงัน ที่น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิมอีธานกวาดสายตาไปรอบอุโมงค์ หอบหายใจแรงขณะที่นีร่ากำศรแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดทันใดนั้น—“กรี๊ดดดดดดดดด!!”เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นจาก เบื้องบน —เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่พวกเขารู้จักดีเกินไป“มาริเบล!” นีร่าตะโกนเสียงฝีเท้ากระทบไม้บันไดอย่างเร่งรีบเธอกับอีธานวิ่งกลับขึ้นไปไม่คิดชีวิตแสงตะเกียงสั่นไหวตามแรงสะเทือนเมื่อประตูไม้บานเล็กเปิดผาง —พวกเขาพบกับ ไอล่า ยืนหน้าซีดเผือดชุดเปื้อนเลือด แขนสั่นระริก“ข้าพยายามแล้ว…ข้าพยายามแล้วจริง ๆ นีร่า…” เสียงของเธอเหมือนคนกำลังจะขาดใจและเบื้องหลังเธอ...คือเงาร่างของ มาริเบล — นอนแน่นิ่ง ดวงตาเบิกโพลงไม่กะพริบเลือดไหลซึมจากหูและจมูก ราวกับถูกสะกดด้วยบางอย่างไม่ใช่แค่ถูกฆ่า...แต่วิญญาณของเธอ ถูกกลืนหายไปนีร่าแทบทรุดลงตรงนั้น หายใจสะดุดเธอพุ่งเข้าไปกอดร่างน้องสาวแน่น กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเกลือทะเลตลบอบอวล“มาริเบล...ไม่นะ...ไม่...”ไอล่าทรุดลงข้าง ๆ พูดเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน“มันไม่ใช่มนุษย์...มันไม่ใช่แม้แต่เงือก...ข้าไม่ทันเห็นหน้ามันเลย...แต่มาริเบล.