เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา
“ถอยไป”
เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด
“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”
“ไม่ต้องยุ่ง”
เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด
“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”
ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้
“ตายจริง คุณหนู ไปทำอะไรตรงนั้นเจ้าคะ”
ครั้นเห็นว่าสาวรับใช้ของตนใกล้เข้ามามือเล็ก ๆ ก็ยัดเจ้าก้อนขนมหวานเข้าปากเขาอย่างไม่ลังเล
“นี่เจ้า!”
“พี่ชาย ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านต่อไม่ได้เสียแล้ว เช่นนั้นร่มนี่ข้ายกให้ท่าน ขนมนั่นก็เช่นกัน”
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อตะลึงค้าง ความหวานละมุนกำลังอบอวลอยู่ในโพรงปาก ร่มคันเล็กถูกยัดเข้ามาในมืออันเย็นเยียบ ไม่ทันเอ่ยถาม เจ้าของร่างเล็กก็วิ่งฝ่าลมฝนห่างออกไปเสียก่อน
“ยัยตัวยุ่ง เดี๋ยว!”
หลงโหย่วอี้สะดุ้งเฮือก เขาผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อเหลาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อพราวระยับ
“ท่านอ๋อง ฝันอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลงโหย่วอี้หอบหายใจถี่ระรัว เขาผินหน้ามองเฉินกงแต่ยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใด มือกว้างยกขึ้นคลึงขมับชั่วครู่ จากนั้นก็เหลือบมองร่มคันเก่าที่วางทิ้งไว้ข้างหัวเตียงมานับสิบปี
“ยามใดแล้ว”
“ปลายยามจื่อ [1] พ่ะย่ะค่ะ”
หลงโหย่วอี้พยักหน้า วันนี้เขานอนไม่หลับเสียแล้ว และดูเหมือนว่าเขาอยากไปเยือนตำหนักพระชายาของตนดูเสียหน่อย ไม่รู้เช่นกันว่าผีสางตนใดดลใจให้เขาอยากไปพบนาง
หลงโหย่วอี้ลุกยืนเต็มความสูง เฉินกงเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ท่านอ๋อง จะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตำหนักรอง”
เฉินกงนิ่งเงียบ ร้อยวันพันปีหลงโหย่วอี้แทบไม่โผล่ไปที่นั่น เหตุใดวันนี้จึงคิดอยากไปเยือนตำหนักรองกันเล่า หรืออารมณ์บุรุษกำลังพลุ่งพล่าน เพียงเผลอคิดเช่นนั้นเฉินกงก็หน้าร้อนผ่าว
“แต่…พระชายาน่าจะบรรทมไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะเขาได้รับรายงานจากองครักษ์เงาเป็นที่เรียบร้อย ว่าจูฟางหรงนั้นเข้านอนตามเวลาปกติ
“แล้วอย่างไร หลายวันมานี้นางทำตัวเชื่อฟังผู้อื่นไปหมดทุกอย่าง นางเป็นชายาของข้า จำเป็นต้องเกรงใจนางด้วยงั้นหรือ ข้าอยากไปข้าก็จะไป หรือเจ้ามีปัญหาใด”
เฉินกงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานหลงโหย่วอี้ก็ระเห็จออกจากห้องของตนด้วยความเร่งร้อน
เหตุใดข้าต้องมาหานางกันนะ
หลงโหย่วอี้หงุดหงิด แต่ไม่อาจทานแรงร่ำร้องในใจได้ เขารู้สึกว่ากำลังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เฉินกงเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่งไล่หลังผู้เป็นนายด้วยความสับสน ไม่นานบุรุษทั้งสองก็ถ่อมาถึงหน้าประตูของตำหนักรอง หลงโหย่วอี้ลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงตัดสินใจทาบฝ่ามือลงบนบานประตู เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัวเขาจึงเลือกเสียมารยาทผลักมันเข้าไป
ผลัวะ!
หลงโหย่วอี้ผงะ เฉินกงที่ยืนไม่ห่างก็เช่นเดียวกัน นัยน์ตาคมปลาบตวัดมององครักษ์ข้างกายก็เห็นอีกฝ่ายอ้าปากค้าง เสียงทุ้มกระแอมเบา เฉินกงได้สติจึงเร่งหันหลังขวับ
สตรีร่างระหงนอนเหยียดขาเปลือยเปล่า แขนเรียวชันศีรษะอยู่บนเตียงนอนในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ย ผิวขาวราวหิมะแรกสาดสะท้อนเข้าม่านดวงตาคมกริบเสียจนต้องเบือนหนี เพราะมันกำลังส่งผลต่อจิตใจจนเลือดลมสูบฉีดพิกล หลงโหย่วอี้ไม่คิดยอมรับว่าเป็นเพราะนาง เขาคิดเพียงว่าตนอาจเดินอย่างเร่งร้อนเกินไป จึงเป็นเหตุให้ใจเต้นระส่ำ
ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มยิ้มอวดฟันเรียงสวย เสียงใสเอ่ยหยอกล้อ “เสด็จพี่ วันนี้อยากนอนกับหม่อมฉันหรือเพคะ”
^ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.
“เป่าชุน กลับ!”เป่าชุนลุกพรวด ดีดกายเข้าหาจูฟางหรงอย่างรวดเร็ว “พระชายา ไม่ได้รับบาดเจ็บนะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร”ผู้คนด้านนอกเมื่อเห็นนางระบำของหอไป๋หลิงวิ่งกระเจิงออกจากห้องพร้อมกลุ่มควันโขมง ทั้งยังล้มหน้าคว่ำไปบนพื้นกันระนาวก็ตื่นตระหนก บ้างโผล่หน้าออกมาจากห้องทั้งที่สวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อยด้วยความสงสัย“เกิดอะไรขึ้น”เจ้าของหอคว้ามือหญิงคณิกาผู้หนึ่งไว้ นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านเจ้าหอ ห้องพิเศษหนึ่งเกิดเรื่องเจ้าค่ะ ควันสีขาวนั่นหากผู้ใดสูดดมเข้าไปก็จะหมดสติกันทุกรายข้าอยู่ห้องข้าง ๆ ได้ยินเสียงอึกทึกเลยออกมาดู รู้เรื่องราวไม่มาก ตอนนี้หนีเอาชีวิตรอดก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”เจ้าหอไป๋หลิงเบิกตาโพลง “ตายแล้ว หอไป๋หลิงของข้าเพิ่งเปิดตัวไม่นานเองนะ บัดซบจริงเชียว”นางหันรีหันขวาง เพราะยามนี้ชีวิตสำคัญที่สุด ทว่าคนตระหนี่เช่นเจ้าหอย่อมไม่อาจทิ้งทรัพย์สินมีค่าได้ สตรีร่างท้วมจึงวิ่งรี่เท่าที่จะเร็วได้ เที่ยวปลดล็อกช่องเก็บของทั้งหมด ก่อนหอบแก้วแหวนเงินทองออกมาพะรุงพะรัง“ท่านเจ้าหอ มัวทำสิ่งใดเจ้าค
จูฟางหรงเหลือบมองตาแก่นี่…ข้ามีค่ามากกว่าเงินง่อย ๆ นั่นของเจ้าตั้งเท่าใด ชิ!“ไปบอกเจ้าหอ ว่าคืนนี้ นางระบำคนนี้ เป็นของข้าแล้ว”จูฟางหรงได้ยินก็อยากกรีดร้อง เพราะนางวางแผนแล้วว่าจะเข้ามาหาข่าวสำคัญ หากได้แล้วก็จะเร่งปลีกตัวออกห่าง ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังยุ่งเหยิงไม่เป็นท่า นับตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้ามายังห้องพิเศษแสนโกโรโกโสที่เต็มไปด้วยโลกีย์คาวคลุ้งนี่อยากจะบ้าตาย ชาติที่แล้วตาแก่นี่เป็นไก่หรือไงนะหลงโหย่วอี้ผุดลุกโดยไม่รู้ตัว เขาเขม้นมองจูฟางหรงประหนึ่งจะกระชากวิญญาณออกจากร่างเจ้าเมืองฉางฝูเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “สุลต่าน ท่านเป็นอะไรงั้นหรือ”เฉินกงเห็นท่าไม่ดีก็กระตุกชายอาภรณ์ของผู้เป็นนายเพื่อเตือนสติ หากไม่ทำเช่นนี้นายของเขาต้องพังหอไป๋หลิงจนเหลือเพียงชื่อแน่ “ท่านอ๋อง”จูฟางหรงประสานสายตากับเขา ยิ่งเห็นอีกฝ่ายแทบคลั่งนางก็ยิ่งสาแก่ใจ จูฟางหรงเดินเข้าใกล้เจ้าเมืองฉางฝูเพื่อเบี่ยงความสนใจจากอาการผีเข้าของหลงโหย่วอี้คนโง่ ครั้งนี้ท่านต้องขอบคุณข้า หากไ
ร่างระหงย่างกรายออกไปเบื้องหน้าแช่มช้า ทุกคนต่างหยุดมองนางเป็นตาเดียว ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นสุลต่านตาค้าง จูฟางหรงเองก็ไร้เวลาให้ตริตรองมากนัก ในเมื่อตัดสินใจแล้วย่อมไม่อาจหันหัวเรือกลับจอมปีศาจ มิน่าเล่าข้าถึงไม่เห็นเขา ที่แท้ก็ปลอมตัวเป็นตาแก่เคราเฟิ้มนี่เองจูฟางหรงเหลือบมองแววตาคมกริบที่ยังเขม้นตนแทบไม่กะพริบ เปลือกตาบางหลุบลงนอบน้อม จากนั้นหมุนกายประจันหน้ายิ้มหวานให้กับเจ้าเมือง ภายใต้รอยยิ้มหวานละมุนกลับมากล้นไปด้วยความรู้สึกหมื่นพันจูฟางหรงอยากทิ่มดวงตาของโคแก่ตรงหน้าให้มืดบอดนัก กล้าดีอย่างไรแทะโลมนางได้ไม่อายฟ้าดินครั้นลอบเสมองไปอีกด้าน ก็ทันเห็นบุรุษอีกคนกำลังกัดฟันกรอด จูฟางหรงไม่กลัวเขาหรอก นางจะเล่นละครเป็นหญิงคณิกาให้ใครบางคนโมโหจนกระอักโลหิตตายไปเสียข้าอยากรู้นักว่าท่านจะทนเห็นชายาของตนเองคลอเคลียชายอื่นได้จริงหรือ โหย่วอี้อ๋องแขนเรียววาดลวดลายขึ้นกลางอากาศ ดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะ จูฟางหรงร่ายระบำได้อย่างงดงามยิ่งนางอ่อนช้อยหวานหยดประหนึ่งนางเซียนเท่าใด ความเดือดด
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม จูฟางหรงขบปากตนเองแผ่วเบาพลางครุ่นคิด เป่าชุนก็มองตาที่เหลือกขึ้นทั้งยังกลอกไปมาของจูฟางหรงจนตัวโก่ง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่เสียงสุลต่านคนนี้คุ้นหูข้าจริง“เรื่องเคร่งเครียดเพียงนี้ไว้ค่อยคุยก็แล้วกัน ข้าว่าเราหาความสำราญด้วยการชมระบำกันก่อน ท่านสุลต่านว่าดีหรือไม่”“ตามแต่ท่านเจ้าเมืองสะดวกขอรับ”จูฟางหรงได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็นึกบางอย่างออก“อาเป่าเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เงียบ ๆ จนกว่าข้าจะกลับ เข้าใจหรือไม่”“พี่หรง ท่านกำลังคิดทำสิ่งใด”“ไว้ข้าจะมาอธิบายคราวหลัง จำไว้หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องวิ่งให้สุดชีวิต แล้วไปหาเช่ารถม้ากลับจวนก่อนข้าได้เลย หากใครถามก็บอกเพียงว่าข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”จูฟางหรงยัดถุงเงินให้เป่าชุน ดูเหมือนแผนการชมดอกไม้ไฟบนระเบียงสูงต้องล้มเลิกเสียแล้ว เพราะยามนี้จูฟางหรงต้องการอิสรภาพมากกว่า ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นางต้องได้ข้อมูลสักอย่างมาแน่ต่อให้เป่าชุนนึกปฏิเสธก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นนาย นางจึงต้องพยักหน้าด้วย
ตั้งแต่จูฟางหรงก้าวเท้าเข้ามาในหอไป๋หลิง นางได้ลอบสำรวจไปแล้วกว่าค่อนหอ แต่ยังไม่พบร่องรอยของหลงโหย่วอี้สักเสี้ยวหรือข้าจะคิดผิด ช่างเถอะ ๆ เขาไม่อยู่ก็ดี สบายใจอีกเปลาะ จะได้เที่ยวเล่นให้หนำใจนางไม่เห็นเขาก็นับเป็นเรื่องถูกต้อง ในเมื่อหลงโหย่วอี้แต่งกายเป็นพ่อค้าต่างแคว้น ซ้ำยังเสริมหนวดเคราประหนึ่งสุลต่าน ระยะไกลเพียงนั้นถ้านางจำได้ก็คงเปรียบดั่งเทพเซียนแล้วกระมังเป่าชุนส่งสายตาเว้าวอนให้จูฟางหรง เพราะนางถูกบรรดาสตรีนัวเนียอยู่ไม่ห่าง ไม่รู้ว่าขนบนแขนลุกชันจนได้กลายเป็นร่วงกราวไปแล้วหรือไม่จูฟางหรงขบขันเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของเป่าชุน นางเองก็ไม่อยากให้ใครยุ่มย่ามเวลาแห่งความสุขมากนัก ที่จูฟางหรงอ้าแขนรับสตรีเหล่านี้เข้ามาก็เพื่อบดบังตัวตนให้แนบเนียนขึ้นอีกหน่อยเพียงเท่านั้นยามนี้มาถึงห้องส่วนตัวแล้ว เช่นนั้นควรเริ่มแผนการไต่ระเบียงชมดอกไม้ไฟมันเสียตอนนี้เลยดีกว่า“มาเถิดคนงาม พวกเจ้ามาร่ำสุราเป็นสหายข้าหน่อยเร็ว” จูฟางหรงยกกาสุราขึ้นเหนือศีรษะ สตรีร่างอรชรก็ใช้หน้าอกใหญ่ตู้มแย่งเบียดกันเพื่อเข้าหานาง
“พระชายา จะพบท่านอ๋องที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามจากด้านนอกจูฟางหรงหลุดจากภวังค์ นางเหลือบซ้ายแลขวาเพื่อหาหนทาง ก่อนจะสะดุดเข้ากับหอนางโลมสุดตระการตา ความคิดอยากเข้าไปเที่ยวชมสักครั้งก็ผุดขึ้น“เช่นนั้นข้าจะลงตรงนี้เลย”จูฟางหรงจูงมือเป่าชุนให้ลงจากรถม้าด้วยกัน จากนั้นจึงหันไปกำชับ “เจ้ากลับไปก่อนได้เลย”สารถีเหลอหลา “พระชายา แต่หากกระหม่อมกลับไปแล้ว…”“อะไรกัน ก็ข้าบอกว่ามาหาท่านอ๋องไม่ใช่หรือไง ขากลับข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”ครั้นได้ยินที่จูฟางหรงเอ่ยเขาจึงวางใจ “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”รถม้าจึงเคลื่อนตัวกลับไปทิศทางเดิมอีกหน เป่าชุนจึงเริ่มเกิดความเป็นกังวลขึ้นมา“พระชายา แต่หากเราไม่ได้กลับไปพร้อมท่านอ๋อง จะเป็นอย่างไรเพคะ”“เป่าชุน เจ้าคิดมากไปหน่อยแล้ว เห็นนั่นหรือไม่”จูฟางหรงยู่ปากไปยังหอสูงตระหง่าน ซึ่งประดับไปด้วยแพรผืนโปร่งหลากสี และโคมไฟสว่างไสวนับไม่ถ้วน ผู้คนที่เดินเข้าออกก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษ ซ้ำสตรียังแต่งกายน้อยชิ้น บางรายยืนโอบกันไม่อายฟ้าดินเป่าชุนผงะ มือเล็กยกขึ้นปิดตาทันควัน เพราะเผลอไ