เรือสำราญขนาดใหญ่ล่องอยู่เหนือทะเลสาบเจียงซี นึกไม่ถึงเลยว่าบนเรือลำนี้จะมีการจัดแสดงนางระบำ ทั้งยังมากด้วยอาหารรสเลิศพร้อมสรรพ
จูฟางหรงและหลงโหย่วอี้นั่งอยู่คนละฝั่งระหว่างโต๊ะสำรับทรงกลม วันนี้หลงโหย่วอี้ไม่อยากออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ไทเฮาก็คะยั้นคะยอไม่เลิก เขาจึงจำใจต้องมาอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนการอภิเษกของเขาช่างเป็นที่น่าสนใจมากเสียจริง
“ท่านอ๋อง เอาแต่จ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่อิ่มหรอกนะเพคะ” จูฟางหรงเอ่ย ทั้งที่ยังเคี้ยวหมูน้ำแดงเต็มปากจนแก้มตุ่ยดั่งกระต่าย
“หนวกหู”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่เปล่งออกมาเป็นเหตุให้เพลงที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงเดี๋ยวนั้นเพราะเข้าใจผิด พวกเขาเกรงว่าจะถูกหลงโหย่วอี้ระบายโทสะจึงเร่งถอยห่างออกไป แม้คำที่บอกว่าหนวกหูจะเป็นการต่อว่าจูฟางหรง ทว่าเสียงดนตรีที่สงัดลงก็ทำให้ใจของเขาสงบได้เช่นกัน หลงโหย่วอี้จึงไม่ได้ทัดทานใดขึ้น
ยัยตะกละ
ทุกอย่างน่าเบื่อเพียงนี้ ทว่าจูฟางหรงกลับไม่แยแสเขาสักกระผีกริ้น นางเอาแต่สนใจละเลียดชิมอาหารตรงหน้าราวกับว่าอร่อยล้ำเสียเต็มประดา แท้จริงจูฟางหรงไม่อยากมองหน้าเขาต่างหาก อีกอย่างกองทัพต้องเดินด้วยท้องไม่รู้หรือ หากแผนการของนางผิดพลาด ยามหลบหนีจะได้ไม่หิวตายไปเสียก่อน จูฟางหรงสัญญาจะขอฟาดอาหารตรงหน้าให้อิ่มหนำไปสามวันสามคืน
คนงี่เง่า หน้าน้ำแข็ง ไม่กินก็หิวให้ตายไปเลย
“เรื่องมาล่องเรือ เจ้าเป็นคนทูลขอกับฝ่าบาทงั้นหรือ” หลงโหย่วอี้เอ่ยทำลายบรรยากาศประดักประเดิด
ตะเกียบในมือของจูฟางหรงชะงัก พริบตานางก็คีบแตงกวาเพื่อใช้ตัดเลี่ยนส่งเข้าปากคำต่อไป
“เปล่านะเพคะ”
“โกหก”
ครืน…เพล้ง!
บรรดาอาหารทั้งหลายถูกหลงโหย่วอี้กวาดลงพื้นจนสิ้น จูฟางหรงอ้าปากหวอทั้งที่ยังคาบแตงกวาเอาไว้ เพราะปากเล็กอ้าเผยอจึงทำให้แตงกวาเพียงชิ้นเดียวที่หลงเหลือร่วงแหมะตามลงไป
“ท่านอ๋อง! หากท่านไม่กินก็ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลยเพคะ เสียดายของ รู้หรือไม่ว่ามีอีกตั้งหลายชีวิตที่ไม่มีโอกาสได้กินของเหล่านี้”
“หากเจ้าเอาแต่สนใจอาหารและบ่ายเบี่ยงคำถามข้า ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าออกเสีย”
จูฟางหรงหุบปากฉับ นางชักไม่อยากแปรพักตร์มาอยู่ข้างสวามีจอมวายร้ายเสียแล้ว เปลี่ยนใจยามนี้ทันหรือไม่ ชีวิตที่มีไม่ถึงครึ่งจะถูกเขาพรากไปอีกเมื่อใดก็สุดจะรู้
มีดสั้นถูกยกขึ้นปักลงบนโต๊ะไม้ขัดเสียงดังสนั่น
ปึง!
จูฟางหรงหาได้สะทกสะท้านใด แต่เมื่อนางเหลือบเห็นแววตาเย็นเยียบของเขาก็ต้องแสร้งหวาดกลัวตัวสั่นระริก
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ นะเพคะ ก็บอกแล้วอย่างไรว่าไทเฮาประสงค์ให้เราทั้งสองมีโอรส…”
“หุบปาก”
เอ๊ะ! ก็ถามข้าเอง เป็นโรคประสาทหรืออย่างไร หวังว่าเขาคงไม่คิดสังหารข้าหมกเรือสำราญนี่หรอกนะ
ระหว่างเกิดสงครามน้ำลาย จู่ ๆ ก็มีเสียงคงโหวล่องใกล้เข้ามา หลงโหย่วอี้เหลือบมองเรือสำราญลำนั้นด้วยความคลางแคลง เฉินกงประสานสายตากับผู้เป็นนาย หลงโหย่วอี้พยักหน้าหนึ่งหน เฉินกงก็ผละจากไป
หลงโหย่วอี้กำลังระแคะระคายถึงการมาล่องเรือหนนี้ เขาคิดว่าต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“ท่านอ๋อง เสียงคงโหวนี่ท่านว่าไพเราะหรือไม่เพคะ”
“น่ารำคาญ”
จูฟางหรงสะอึก เขาเกิดมาเป็นคนอย่างไร นอกจากพูดไต่สวนผู้อื่นเก่งเป็นน้ำตก ก็มีเพียงการถามคำตอบคำเท่านั้น เขาเกรงว่าทองคำจะร่วงออกจากปากหรือไร
จูฟางหรงหรี่ตามองผ่านแพรผืนบางด้านในเรือสำราญอีกลำที่ล่องใกล้เข้ามา ก็พบกับโฉมสะคราญนางหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่านางเป็นคนของหอหงฮวา และภารกิจของจูฟางหรงก็คืบคลานเข้ามาทุกขณะ
“โอ้โห แม่นางในเรือลำนั้นช่างงามจริงเชียว ท่านอ๋อง... เช่นนั้นหม่อมฉันจะร่ายรำให้พระองค์ชมนะเพคะ รู้หรือไม่ว่าฝีมือเต้นระบำของหม่อมฉันงามเลิศเพียงใด”
“ไม่ต้อง ข้าไม่อยากดูให้เสียม่านตา”
จูฟางหรงจิ๊ปาก นางไม่แยแสเสียงปรามของเขา จากนั้นผละไปทักทายสตรีจากเรืออีกลำ “แม่นางเจ้าช่างมีฝีมือเลิศล้ำในการบรรเลงเพลงนัก เสียงเพลงของเจ้าจับใจข้ามาก หากข้าจะขอให้เจ้าช่วยบรรเลงเพื่อที่ข้าจะได้ร่ายรำให้สามีเชยชมจะได้หรือไม่”
หลงโหย่วอี้แค่นยิ้ม เขาบอกแล้วอย่างไรว่าไม่อยากดู ไยนางจึงหัวรั้นเพียงนี้
สตรีเรือตรงข้ามยิ้มตอบอ่อนหวาน นางหยุดมือลงแล้วจึงเอ่ยขึ้น “แม่นางชมเกินไปแล้ว เช่นนั้นหากเจ้าอยากร่ายรำข้าจะล่องเรือเคียงข้างเรือของเจ้า ดีหรือไม่”
ทั้งสองมองตากันนิ่งสงบ รอยยิ้มหวานละมุนที่มอบให้ก็ประหนึ่งสัญญาณอันตรายที่ใช้ซุกซ่อนใบมีดคมกริบ
จูฟางหรงตอบกลับ “ขอบคุณแม่นาง”
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันบอกแล้วว่ามีเรื่องจะเจรจากับพระองค์ ก่อนลงมือฆ่าแกงกันก็ช่วยฟังหม่อมฉันก่อนไม่ได้หรืออย่างไรเพคะ”หลงโหย่วอี้เหยียดยิ้ม เขากระชากขาเสลาอย่างรุนแรง เพราะจูฟางหรงตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายมาก ร่างระหงปลิวติดมือหลงโหย่วอี้โดยง่ายดาย“เจ็บนะเพคะ”ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังปลายคางโค้งมน หลงโหย่วอี้ไม่ฟังเสียงทัดทานของจูฟางหรงแม้สักเสี้ยว ทำราวกับว่าหูของเขามันดับสนิทไปแล้ว จากนั้นเพิ่มแรงบีบเสียจนแก้มนุ่มเกิดรอยบุ๋ม“ที่หอไป๋หลิง เจ้าทำอะไรไว้ เมื่อครู่ก็ด้วย เห็นข้าไม่คิดแยแสหรืออยากร่วมหอกับเจ้าในฐานะสามีภรรยาก็ใช่ว่าเจ้าจะสามารถยั่วยวนผู้ใดไปทั่วก็ได้”หมาบ้า!จูฟางหรงพยายามแกะมือแข็งประหนึ่งเหล็กกล้าให้พ้นทาง แต่ยิ่งนางออกแรงเขาก็ยิ่งเพิ่มกำลังมากขึ้นเท่าตัว“อังอ่อมอั้นอะอิ๊อายอ่อน (ฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน) ”จูฟางหรงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย พลันสะบัดใบหน้าจนหลุดจากพันธนาการ จูฟางหรงขยับขากรรไกรเพื่อคลายความระบมเจ็บชะม
จูฟางหรงถูกลากตัวกลับไปยังเรือนกลางหุบเขา นางต้องทนให้ลมตีแสกหน้าเสียจนองคาพยพแทบปลิวหาย เพราะคนที่บังคับม้าอยู่เบื้องหลังช่างเลือดร้อนเหลือเกิน“ท่านอ๋อง อยากกอดหม่อมฉันก็บอกดี ๆ ได้นะเพคะ หม่อมฉันยินดีให้พระองค์กอดอยู่แล้ว ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง”“หุบปาก ผู้ใดอยากกอดเจ้า อย่ามายั่วโมโหข้า”จูฟางหรงทำแก้มป่อง “แต่หม่อมฉันขี่ม้าเป็นนะเพคะ ไยไม่ให้หม่อมฉันขี่เอง”“คิดว่าข้าโง่หรือ ทำเช่นนั้นก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า”จูฟางหรงเบ้ปาก พลางทำปากมุบมิบปะทะสายลมก็โง่จริง ๆ ไม่ใช่หรือไง“อย่านึกว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร”จูฟางหรงสะดุ้งโหยงอ๋องงี่เง่านี่ อ่านใจคนได้หรือไงไม่นานม้าของหลงโหย่วอี้และเฉินกงก็กลับมาถึงเรือนกลางเขา เฉินกงแวะไปส่งเป่าชุนกลับหอนอนส่วนจูฟางหรงกำลังถูกมือหยาบกร้านจับไว้แน่น ซ้ำยังฉุดกระชากลากถูจนนางร้าวระบมไปหมด“โอ๊ย ท่านอ๋อง หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ”“เจ็บสิดี จะได้จำ ต่อไปจะได้ไม่คิดยั่วยวนผู้อื่นต่อหน้า
“เป่าชุน กลับ!”เป่าชุนลุกพรวด ดีดกายเข้าหาจูฟางหรงอย่างรวดเร็ว “พระชายา ไม่ได้รับบาดเจ็บนะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร”ผู้คนด้านนอกเมื่อเห็นนางระบำของหอไป๋หลิงวิ่งกระเจิงออกจากห้องพร้อมกลุ่มควันโขมง ทั้งยังล้มหน้าคว่ำไปบนพื้นกันระนาวก็ตื่นตระหนก บ้างโผล่หน้าออกมาจากห้องทั้งที่สวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อยด้วยความสงสัย“เกิดอะไรขึ้น”เจ้าของหอคว้ามือหญิงคณิกาผู้หนึ่งไว้ นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านเจ้าหอ ห้องพิเศษหนึ่งเกิดเรื่องเจ้าค่ะ ควันสีขาวนั่นหากผู้ใดสูดดมเข้าไปก็จะหมดสติกันทุกรายข้าอยู่ห้องข้าง ๆ ได้ยินเสียงอึกทึกเลยออกมาดู รู้เรื่องราวไม่มาก ตอนนี้หนีเอาชีวิตรอดก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”เจ้าหอไป๋หลิงเบิกตาโพลง “ตายแล้ว หอไป๋หลิงของข้าเพิ่งเปิดตัวไม่นานเองนะ บัดซบจริงเชียว”นางหันรีหันขวาง เพราะยามนี้ชีวิตสำคัญที่สุด ทว่าคนตระหนี่เช่นเจ้าหอย่อมไม่อาจทิ้งทรัพย์สินมีค่าได้ สตรีร่างท้วมจึงวิ่งรี่เท่าที่จะเร็วได้ เที่ยวปลดล็อกช่องเก็บของทั้งหมด ก่อนหอบแก้วแหวนเงินทองออกมาพะรุงพะรัง“ท่านเจ้าหอ มัวทำสิ่งใดเจ้าค
จูฟางหรงเหลือบมองตาแก่นี่…ข้ามีค่ามากกว่าเงินง่อย ๆ นั่นของเจ้าตั้งเท่าใด ชิ!“ไปบอกเจ้าหอ ว่าคืนนี้ นางระบำคนนี้ เป็นของข้าแล้ว”จูฟางหรงได้ยินก็อยากกรีดร้อง เพราะนางวางแผนแล้วว่าจะเข้ามาหาข่าวสำคัญ หากได้แล้วก็จะเร่งปลีกตัวออกห่าง ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังยุ่งเหยิงไม่เป็นท่า นับตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้ามายังห้องพิเศษแสนโกโรโกโสที่เต็มไปด้วยโลกีย์คาวคลุ้งนี่อยากจะบ้าตาย ชาติที่แล้วตาแก่นี่เป็นไก่หรือไงนะหลงโหย่วอี้ผุดลุกโดยไม่รู้ตัว เขาเขม้นมองจูฟางหรงประหนึ่งจะกระชากวิญญาณออกจากร่างเจ้าเมืองฉางฝูเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “สุลต่าน ท่านเป็นอะไรงั้นหรือ”เฉินกงเห็นท่าไม่ดีก็กระตุกชายอาภรณ์ของผู้เป็นนายเพื่อเตือนสติ หากไม่ทำเช่นนี้นายของเขาต้องพังหอไป๋หลิงจนเหลือเพียงชื่อแน่ “ท่านอ๋อง”จูฟางหรงประสานสายตากับเขา ยิ่งเห็นอีกฝ่ายแทบคลั่งนางก็ยิ่งสาแก่ใจ จูฟางหรงเดินเข้าใกล้เจ้าเมืองฉางฝูเพื่อเบี่ยงความสนใจจากอาการผีเข้าของหลงโหย่วอี้คนโง่ ครั้งนี้ท่านต้องขอบคุณข้า หากไ
ร่างระหงย่างกรายออกไปเบื้องหน้าแช่มช้า ทุกคนต่างหยุดมองนางเป็นตาเดียว ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นสุลต่านตาค้าง จูฟางหรงเองก็ไร้เวลาให้ตริตรองมากนัก ในเมื่อตัดสินใจแล้วย่อมไม่อาจหันหัวเรือกลับจอมปีศาจ มิน่าเล่าข้าถึงไม่เห็นเขา ที่แท้ก็ปลอมตัวเป็นตาแก่เคราเฟิ้มนี่เองจูฟางหรงเหลือบมองแววตาคมกริบที่ยังเขม้นตนแทบไม่กะพริบ เปลือกตาบางหลุบลงนอบน้อม จากนั้นหมุนกายประจันหน้ายิ้มหวานให้กับเจ้าเมือง ภายใต้รอยยิ้มหวานละมุนกลับมากล้นไปด้วยความรู้สึกหมื่นพันจูฟางหรงอยากทิ่มดวงตาของโคแก่ตรงหน้าให้มืดบอดนัก กล้าดีอย่างไรแทะโลมนางได้ไม่อายฟ้าดินครั้นลอบเสมองไปอีกด้าน ก็ทันเห็นบุรุษอีกคนกำลังกัดฟันกรอด จูฟางหรงไม่กลัวเขาหรอก นางจะเล่นละครเป็นหญิงคณิกาให้ใครบางคนโมโหจนกระอักโลหิตตายไปเสียข้าอยากรู้นักว่าท่านจะทนเห็นชายาของตนเองคลอเคลียชายอื่นได้จริงหรือ โหย่วอี้อ๋องแขนเรียววาดลวดลายขึ้นกลางอากาศ ดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะ จูฟางหรงร่ายระบำได้อย่างงดงามยิ่งนางอ่อนช้อยหวานหยดประหนึ่งนางเซียนเท่าใด ความเดือดด
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม จูฟางหรงขบปากตนเองแผ่วเบาพลางครุ่นคิด เป่าชุนก็มองตาที่เหลือกขึ้นทั้งยังกลอกไปมาของจูฟางหรงจนตัวโก่ง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่เสียงสุลต่านคนนี้คุ้นหูข้าจริง“เรื่องเคร่งเครียดเพียงนี้ไว้ค่อยคุยก็แล้วกัน ข้าว่าเราหาความสำราญด้วยการชมระบำกันก่อน ท่านสุลต่านว่าดีหรือไม่”“ตามแต่ท่านเจ้าเมืองสะดวกขอรับ”จูฟางหรงได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็นึกบางอย่างออก“อาเป่าเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เงียบ ๆ จนกว่าข้าจะกลับ เข้าใจหรือไม่”“พี่หรง ท่านกำลังคิดทำสิ่งใด”“ไว้ข้าจะมาอธิบายคราวหลัง จำไว้หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องวิ่งให้สุดชีวิต แล้วไปหาเช่ารถม้ากลับจวนก่อนข้าได้เลย หากใครถามก็บอกเพียงว่าข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”จูฟางหรงยัดถุงเงินให้เป่าชุน ดูเหมือนแผนการชมดอกไม้ไฟบนระเบียงสูงต้องล้มเลิกเสียแล้ว เพราะยามนี้จูฟางหรงต้องการอิสรภาพมากกว่า ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นางต้องได้ข้อมูลสักอย่างมาแน่ต่อให้เป่าชุนนึกปฏิเสธก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นนาย นางจึงต้องพยักหน้าด้วย