ดวงตะวันทอประกายเจิดจ้า ม่านโปร่งแสงปลิวไสวตามสายลมที่พัดโกรกเข้ามา สตรีร่างระหงนอนทอดกายอยู่บนเตียงนอนหนานุ่ม ปลายนิ้วเรียวกระดิกแผ่วเบา
ข้าตายอีกครั้งหรือยังนะ
เปลือกตาบางแง้มเปิดแช่มช้า นัยน์ตาหงส์กะพริบถี่เพื่อปรับม่านดวงตาให้เข้ากับบรรยากาศ
“พระชายา ฟื้นแล้วหรือเพคะ”
คิ้วสวยขมวดแน่น จูฟางหรงอยากเปล่งเสียง ทว่าเมื่อลองขยับปากกลับรู้สึกว่าลำคอช่างแห้งผากเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่อาจเปล่งเสียงจูฟางหรงจึงเลือกพยักหน้าเป็นคำตอบ
คิดว่าตายไปแล้วซะอีก
จูฟางหรงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางอยากตายไปให้จบ ๆ จริงนั่นล่ะ เหตุใดปรโลกจึงไม่แง้มประตูต้อนรับนางเสียที หรือนางเป็นคนบาปหนาแม้แต่นรกสวรรค์ก็ไม่มีใครต้องการ จูฟางหรงแอบคิดไม่ได้ว่าบางทีโลกหลังความตายอาจไม่น่ากลัวเท่ากับการที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายจากจิตใจคน
ดูเหมือนเหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น จูฟางหรงคงต้องหาทางอธิบายกับหอหงฮวา ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องคอยแถไถเพื่อเอาตัวรอดจากสวามีอีก
เ
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันบอกแล้วว่ามีเรื่องจะเจรจากับพระองค์ ก่อนลงมือฆ่าแกงกันก็ช่วยฟังหม่อมฉันก่อนไม่ได้หรืออย่างไรเพคะ”หลงโหย่วอี้เหยียดยิ้ม เขากระชากขาเสลาอย่างรุนแรง เพราะจูฟางหรงตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายมาก ร่างระหงปลิวติดมือหลงโหย่วอี้โดยง่ายดาย“เจ็บนะเพคะ”ฝ่ามือกว้างคว้าหมับไปยังปลายคางโค้งมน หลงโหย่วอี้ไม่ฟังเสียงทัดทานของจูฟางหรงแม้สักเสี้ยว ทำราวกับว่าหูของเขามันดับสนิทไปแล้ว จากนั้นเพิ่มแรงบีบเสียจนแก้มนุ่มเกิดรอยบุ๋ม“ที่หอไป๋หลิง เจ้าทำอะไรไว้ เมื่อครู่ก็ด้วย เห็นข้าไม่คิดแยแสหรืออยากร่วมหอกับเจ้าในฐานะสามีภรรยาก็ใช่ว่าเจ้าจะสามารถยั่วยวนผู้ใดไปทั่วก็ได้”หมาบ้า!จูฟางหรงพยายามแกะมือแข็งประหนึ่งเหล็กกล้าให้พ้นทาง แต่ยิ่งนางออกแรงเขาก็ยิ่งเพิ่มกำลังมากขึ้นเท่าตัว“อังอ่อมอั้นอะอิ๊อายอ่อน (ฟังหม่อมฉันอธิบายก่อน) ”จูฟางหรงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย พลันสะบัดใบหน้าจนหลุดจากพันธนาการ จูฟางหรงขยับขากรรไกรเพื่อคลายความระบมเจ็บชะม
จูฟางหรงถูกลากตัวกลับไปยังเรือนกลางหุบเขา นางต้องทนให้ลมตีแสกหน้าเสียจนองคาพยพแทบปลิวหาย เพราะคนที่บังคับม้าอยู่เบื้องหลังช่างเลือดร้อนเหลือเกิน“ท่านอ๋อง อยากกอดหม่อมฉันก็บอกดี ๆ ได้นะเพคะ หม่อมฉันยินดีให้พระองค์กอดอยู่แล้ว ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง”“หุบปาก ผู้ใดอยากกอดเจ้า อย่ามายั่วโมโหข้า”จูฟางหรงทำแก้มป่อง “แต่หม่อมฉันขี่ม้าเป็นนะเพคะ ไยไม่ให้หม่อมฉันขี่เอง”“คิดว่าข้าโง่หรือ ทำเช่นนั้นก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า”จูฟางหรงเบ้ปาก พลางทำปากมุบมิบปะทะสายลมก็โง่จริง ๆ ไม่ใช่หรือไง“อย่านึกว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร”จูฟางหรงสะดุ้งโหยงอ๋องงี่เง่านี่ อ่านใจคนได้หรือไงไม่นานม้าของหลงโหย่วอี้และเฉินกงก็กลับมาถึงเรือนกลางเขา เฉินกงแวะไปส่งเป่าชุนกลับหอนอนส่วนจูฟางหรงกำลังถูกมือหยาบกร้านจับไว้แน่น ซ้ำยังฉุดกระชากลากถูจนนางร้าวระบมไปหมด“โอ๊ย ท่านอ๋อง หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ”“เจ็บสิดี จะได้จำ ต่อไปจะได้ไม่คิดยั่วยวนผู้อื่นต่อหน้า
“เป่าชุน กลับ!”เป่าชุนลุกพรวด ดีดกายเข้าหาจูฟางหรงอย่างรวดเร็ว “พระชายา ไม่ได้รับบาดเจ็บนะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร”ผู้คนด้านนอกเมื่อเห็นนางระบำของหอไป๋หลิงวิ่งกระเจิงออกจากห้องพร้อมกลุ่มควันโขมง ทั้งยังล้มหน้าคว่ำไปบนพื้นกันระนาวก็ตื่นตระหนก บ้างโผล่หน้าออกมาจากห้องทั้งที่สวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อยด้วยความสงสัย“เกิดอะไรขึ้น”เจ้าของหอคว้ามือหญิงคณิกาผู้หนึ่งไว้ นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านเจ้าหอ ห้องพิเศษหนึ่งเกิดเรื่องเจ้าค่ะ ควันสีขาวนั่นหากผู้ใดสูดดมเข้าไปก็จะหมดสติกันทุกรายข้าอยู่ห้องข้าง ๆ ได้ยินเสียงอึกทึกเลยออกมาดู รู้เรื่องราวไม่มาก ตอนนี้หนีเอาชีวิตรอดก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”เจ้าหอไป๋หลิงเบิกตาโพลง “ตายแล้ว หอไป๋หลิงของข้าเพิ่งเปิดตัวไม่นานเองนะ บัดซบจริงเชียว”นางหันรีหันขวาง เพราะยามนี้ชีวิตสำคัญที่สุด ทว่าคนตระหนี่เช่นเจ้าหอย่อมไม่อาจทิ้งทรัพย์สินมีค่าได้ สตรีร่างท้วมจึงวิ่งรี่เท่าที่จะเร็วได้ เที่ยวปลดล็อกช่องเก็บของทั้งหมด ก่อนหอบแก้วแหวนเงินทองออกมาพะรุงพะรัง“ท่านเจ้าหอ มัวทำสิ่งใดเจ้าค
จูฟางหรงเหลือบมองตาแก่นี่…ข้ามีค่ามากกว่าเงินง่อย ๆ นั่นของเจ้าตั้งเท่าใด ชิ!“ไปบอกเจ้าหอ ว่าคืนนี้ นางระบำคนนี้ เป็นของข้าแล้ว”จูฟางหรงได้ยินก็อยากกรีดร้อง เพราะนางวางแผนแล้วว่าจะเข้ามาหาข่าวสำคัญ หากได้แล้วก็จะเร่งปลีกตัวออกห่าง ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังยุ่งเหยิงไม่เป็นท่า นับตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้ามายังห้องพิเศษแสนโกโรโกโสที่เต็มไปด้วยโลกีย์คาวคลุ้งนี่อยากจะบ้าตาย ชาติที่แล้วตาแก่นี่เป็นไก่หรือไงนะหลงโหย่วอี้ผุดลุกโดยไม่รู้ตัว เขาเขม้นมองจูฟางหรงประหนึ่งจะกระชากวิญญาณออกจากร่างเจ้าเมืองฉางฝูเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “สุลต่าน ท่านเป็นอะไรงั้นหรือ”เฉินกงเห็นท่าไม่ดีก็กระตุกชายอาภรณ์ของผู้เป็นนายเพื่อเตือนสติ หากไม่ทำเช่นนี้นายของเขาต้องพังหอไป๋หลิงจนเหลือเพียงชื่อแน่ “ท่านอ๋อง”จูฟางหรงประสานสายตากับเขา ยิ่งเห็นอีกฝ่ายแทบคลั่งนางก็ยิ่งสาแก่ใจ จูฟางหรงเดินเข้าใกล้เจ้าเมืองฉางฝูเพื่อเบี่ยงความสนใจจากอาการผีเข้าของหลงโหย่วอี้คนโง่ ครั้งนี้ท่านต้องขอบคุณข้า หากไ
ร่างระหงย่างกรายออกไปเบื้องหน้าแช่มช้า ทุกคนต่างหยุดมองนางเป็นตาเดียว ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นสุลต่านตาค้าง จูฟางหรงเองก็ไร้เวลาให้ตริตรองมากนัก ในเมื่อตัดสินใจแล้วย่อมไม่อาจหันหัวเรือกลับจอมปีศาจ มิน่าเล่าข้าถึงไม่เห็นเขา ที่แท้ก็ปลอมตัวเป็นตาแก่เคราเฟิ้มนี่เองจูฟางหรงเหลือบมองแววตาคมกริบที่ยังเขม้นตนแทบไม่กะพริบ เปลือกตาบางหลุบลงนอบน้อม จากนั้นหมุนกายประจันหน้ายิ้มหวานให้กับเจ้าเมือง ภายใต้รอยยิ้มหวานละมุนกลับมากล้นไปด้วยความรู้สึกหมื่นพันจูฟางหรงอยากทิ่มดวงตาของโคแก่ตรงหน้าให้มืดบอดนัก กล้าดีอย่างไรแทะโลมนางได้ไม่อายฟ้าดินครั้นลอบเสมองไปอีกด้าน ก็ทันเห็นบุรุษอีกคนกำลังกัดฟันกรอด จูฟางหรงไม่กลัวเขาหรอก นางจะเล่นละครเป็นหญิงคณิกาให้ใครบางคนโมโหจนกระอักโลหิตตายไปเสียข้าอยากรู้นักว่าท่านจะทนเห็นชายาของตนเองคลอเคลียชายอื่นได้จริงหรือ โหย่วอี้อ๋องแขนเรียววาดลวดลายขึ้นกลางอากาศ ดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะ จูฟางหรงร่ายระบำได้อย่างงดงามยิ่งนางอ่อนช้อยหวานหยดประหนึ่งนางเซียนเท่าใด ความเดือดด
คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม จูฟางหรงขบปากตนเองแผ่วเบาพลางครุ่นคิด เป่าชุนก็มองตาที่เหลือกขึ้นทั้งยังกลอกไปมาของจูฟางหรงจนตัวโก่ง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่เสียงสุลต่านคนนี้คุ้นหูข้าจริง“เรื่องเคร่งเครียดเพียงนี้ไว้ค่อยคุยก็แล้วกัน ข้าว่าเราหาความสำราญด้วยการชมระบำกันก่อน ท่านสุลต่านว่าดีหรือไม่”“ตามแต่ท่านเจ้าเมืองสะดวกขอรับ”จูฟางหรงได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็นึกบางอย่างออก“อาเป่าเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เงียบ ๆ จนกว่าข้าจะกลับ เข้าใจหรือไม่”“พี่หรง ท่านกำลังคิดทำสิ่งใด”“ไว้ข้าจะมาอธิบายคราวหลัง จำไว้หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องวิ่งให้สุดชีวิต แล้วไปหาเช่ารถม้ากลับจวนก่อนข้าได้เลย หากใครถามก็บอกเพียงว่าข้าจะกลับพร้อมท่านอ๋อง”จูฟางหรงยัดถุงเงินให้เป่าชุน ดูเหมือนแผนการชมดอกไม้ไฟบนระเบียงสูงต้องล้มเลิกเสียแล้ว เพราะยามนี้จูฟางหรงต้องการอิสรภาพมากกว่า ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นางต้องได้ข้อมูลสักอย่างมาแน่ต่อให้เป่าชุนนึกปฏิเสธก็ไม่อาจขัดใจผู้เป็นนาย นางจึงต้องพยักหน้าด้วย