ยามที่คนสกุลหลินมาเยือนที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าและเฉินเจียวเจียวออกไปต้อนรับที่โถงหลักของเรือนชั้นในด้วยตนเอง ผู้ที่มาก็คือฟางเจียอีป้าสะใภ้จากจวนสกุลหลิน ป้าสะใภ้ผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับหลินซื่อมารดาของเฉินเจียวเจียวเมื่อหลินซื่อล่วงลับป้าสะใภ้ผู้นี้ก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนอยู่บ่อยครั้ง เฉินเจียวเจียวจึงได้มีความรู้สึกดีต่อป้าสะใภ้ผู้นี้มากเป็นพิเศษ
ส่วนญาติผู้น้องร่างกายบอบบางและดูซูบผอมของนางนั้นกำลังนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของฟางเจียอี หลินชิงเหมยคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กป้าสะใภ้ของนางจึงรับหลินชิงเหมยมาดูแลด้วยตนเองและได้รับหลินชิงเหมยมาเป็นบุตรสาวภายใต้ชื่อทำให้หลินชิงเหมยขยับฐานะขึ้นมาเป็นบุตรสาวของภรรยาเอก
แม้ว่าหลินชิงเหมยจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแต่หากจะให้เทียบเคียงกลับหลินชิงหว่านบุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากป้าสะใภ้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ หลินชิงหว่านทั้งรูปโฉมงดงามกิริยาและวาจาก็ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีแม้แต่เฉินเจียวเจียวเองก็ยังแอบยกย่องนางอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มีดีทั้งรูปโฉม ชาติกำเนิดและท่วงท่ากิริยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นกุลสตรีอย่างหลินชิงหว่านในตอนท้ายจึงได้ถูกจับแต่งออกไปเป็นภรรยาคนที่สองของคหบดีต่างเมือง หลังจากนางถูกแต่งออกไปเฉินเจียวเจียวก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของหลินชิงหว่านอีกเลย ยามนี้เมื่อได้พบกันอีกครั้งในวัยเยาว์นางจึงพึ่งจะจดจำได้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลผู้นี้เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับนางมากทีเดียว
ส่วนหลินชิงเหมยนั้นในยามนี้แทบไม่ได้เป็นจุดสนใจของผู้ใด เสื้อผ้าอาภรณ์แม้ว่าจะเป็นผ้าเนื้อดีแต่ก็เป็นรูปแบบที่ล้าสมัยสำหรับเด็กสาวในวัยนี้ไปแล้ว ส่วนใบหน้าอันซีดเหลืองของนางเมื่อเพ่งพิศให้ดีก็จะเห็นเค้าโครงความงามของนางปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง
เฉินเจียวเจียวได้แต่แค้นยิ้มในใจที่แท้หลินชิงเหมยก็ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์มาตั้งแต่เริ่ม ต่อให้ป้าสะใภ้ของนางมีความลำเอียงมากเพียงใดแต่ก็คงจะไม่ละทิ้งหน้าตาด้วยการมอบแต่เสื้อผ้าล้าสมัยและดูราบเรียบธรรมดาเช่นนี้เป็นแน่ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าคนที่เฉลียวฉลาดมาตลอดอย่างท่านป้าสะใภ้ทำไมจึงไม่รู้เท่าทันเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายและขลาดกลัวผู้อื่นอยู่เป็นนิจของหลินชิงเหมยแล้วเฉินเจียวเจียวก็ได้แต่พยักหน้าอยู่ในใจ
‘อย่าว่าแต่ท่านป้าเลย แม้แต่ข้าเองก็ยังหลงกลท่าทีเช่นนี้ของนาง’ นางได้แต่คิดอยู่ในใจพลางนั่งฟังผู้อาวุโสคุยกันอย่างเงียบๆ
“เหตุใดคราวนี้น้องเจียวเจียวจึงได้ให้ความสนใจแก่ชิงเหมยมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่านางทำอันใดที่ขัดตาหรือว่าขัดใจเจ้าหรือไม่” หลินชิงหว่านเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้เฉินเจียวเจียวพาญาติผู้พี่และญาติผู้น้องไปเดินเล่นในสวน ส่วนพวกนางก็กำลังพูดคุยกันเรื่องสัญญาการหมั้นหมายของเฉินเจียวเจียวที่หลินซื่อเคยทำไว้กับโอรสของเต๋อเฟยผู้เป็นสหายสนิทก่อนที่นางจะเสียชีวิต
“ไม่ถึงกับขัดตา ข้าเพียงสงสัยว่าเพราะเหตุใดญาติผู้น้องจึงได้มีสีหน้าและท่าทางขลาดกลัวผู้อื่นตลอดเวลา นี่มิใช่ตั้งใจจะทำให้ผู้คนภายนอกได้เห็นหรือว่าท่านป้าสะใภ้ดูแลนางไม่ดี” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางหันไปมองหลินชิงเหมยที่เดินติดตามมาทางด้านหลัง เมื่อนางได้ยินก็ชะงักเท้าไปในทันทีแล้วหันไปส่งสายตาอันน่าสงสารขอความช่วยเหลือจากหลินชิงหว่านในทันที
“เจ้าคิดมากจนเกินไปแล้ว ชิงเหมยมีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กเจ้าอย่าได้ถือสานางเลย” หลินชิงหว่านที่โตกว่าเอ่ยวาจาออกมาเพื่อไกล่เกลี่ยความอึดอัด แต่เฉินเจียวเจียวกลับส่ายหน้า
“ที่ข้าพูดไม่ใช่เพราะไม่ชอบนางนะเจ้าคะ เพียงแต่อดคำนึงถึงชื่อเสียงของป้าสะใภ้และพี่หญิงชิงหว่านไม่ได้ นางออกมาข้างนอกเช่นนี้ไม่มีเพียงมีท่าทางขลาดกลัวอย่างน่าประหลาดใจแล้วยังจงใจแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าเก็บเช่นนี้อีก หากข้าไม่สนิทสนมกับพวกท่านก็คงจะคิดว่านางถูกพวกท่านรังแก แต่นี่ข้าเองก็รู้จักกับพวกท่านดีก็เลยอดเอ่ยวาจาทวงถามเช่นนี้ออกมามิได้” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลินชิงหว่านที่ถูกอบรมมาอย่างดีรู้เรื่องราวการแย่งชิงภายในจวนอย่างชัดเจนก็หันไปหรี่ตามองหลินชิงเหมยด้วยสายตาเพ่งพินิจ
“พวกท่านอย่าได้คิดเป็นอื่นเลยนะเจ้าคะ อาเหมยก็แค่วางตัวไม่เหมาะสมและแต่งกายไม่ถูกกาลเทศะเองเจ้าค่ะ อาเหมยเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงได้มีท่วงท่าขลาดกลัวจนทำให้ขัดตาญาติผู้พี่เช่นนี้ อีกทั้งอาเหมยยังหลงคิดว่าพวกเราเป็นญาติสนิทกันมากเสียอีกก็เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องแต่งกายหรูหราในยามที่มาหาญาติผู้พี่ คิดไม่ถึงว่าจะขัดหูขัดตาญาติผู้พี่เช่นนี้จนถึงขั้นที่ท่านต้องเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ โทษฐานที่ประพฤติตนขัดหูขัดตาญาติผู้พี่ อาเหมยต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” เมื่อหลินชิงเหมยเอ่ยพลางทำท่าคารวะดุจลูกไก่ถูกคนรังแกเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ได้แต่ลอบด่าบรรพบุรุษของหลินชิงเหมยอยู่ในใจไปหลายรอบแต่เมื่อคิดได้ว่าบรรพบุรุษของหลินชิงเหมยก็คือบรรพบุรุษของมารดาของนางเช่นกันจึงรีบระงับอกระงับใจของตนเองเอาไว้
‘ร้ายกาจเสียจริง อายุเพียงเท่านี้รู้จักหาคำแก้ตัวให้แก่ตนเองแถมยังโยนข้อหาว่าเป็นคนจิตใจคับแคบมาให้ข้าอย่างแนบเนียนเสียด้วย’ เฉินเจียวเจียวคิดในใจพลางจ้องมองหลินชิงเหมยด้วยสายตารู้ทัน
“ที่ข้าพูดออกมาก็เพียงเพราะอยากเตือนพี่หญิงชิงหว่าน หากนางพาเจ้าที่ไม่รู้ความเช่นนี้ผู้อื่นอาจจะเข้าใจญาติผู้พี่และป้าสะใภ้ผิด ในเมื่อเจ้ารู้ตัวแล้วว่าตนเองแต่งกายไม่เหมาะสมก็ควรจะปรับปรุงตัว ข้าเชื่อว่าด้วยความมีจิตใจกว้างขวางของท่านป้าในยามนี้หีบเสื้อผ้าของเจ้าคงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ของฤดูกาลนี้ อีกทั้งจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ก็ไม่ได้มีเพียงข้าที่อยู่อาศัยข้าจึงได้เอ่ยตักเตือนเจ้าเช่นนี้ ส่วนเรื่องกิริยาท่าทางเช่นนี้ของเจ้าหากไม่สามารถปรับปรุงได้ในคราวต่อไปก็ไม่ควรออกมาข้างนอกแล้วทำให้ป้าสะใภ้และพี่หญิงชิงหว่านของข้าต้องขายหน้า”
เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาเช่นนี้หลินชิงหว่านก็ขมวดคิ้วนางเองก็ไม่ใช่คนโง่ เรื่องการแต่งกายของหลินชิงเหมยนางเคยตักเตือนหลายครั้งแล้วว่ายามที่อยู่ข้างนอกหรือพบหน้าผู้อื่นควรเลือกให้ดีให้สมฐานะที่เป็นคุณหนูของจวนสกุลหลิน แต่หลินชิงเหมยกลับยังคงทำตัวเฉกเช่นเดิม เพียงแต่การที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยปากตำหนิน้องสาวต่างมารดาของตนเช่นนี้ นางที่เป็นพี่สาวก็ไม่อาจจะช่วยผู้อื่นมาตำหนิน้องสาวของตนเองได้
“เจียวเจียว เจ้าอย่าได้ถือสาชิงเหมยเลย ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นห่วงชื่อเสียงของข้าและท่านแม่แต่นางยังเด็กและไม่รู้ความ เอาไว้ข้ากลับจวนไปแล้วข้าจะจัดการนางให้เจ้าก็แล้วกัน” เมื่อเห็นว่าหลินชิงหว่านพยายามเอ่ยวาจาประนีประนอมเพื่อรอมชอม แต่ในแววตาของหลินชิงหว่านกับเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่พอใจในตัวของหลินชิงเหมยไปเสียแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้เฉินเจียวเจียวพึงพอใจแล้ว นางยังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณหนูเอาแต่ใจที่ชอบรังแกคนที่อ่อนด้อยกว่า อีกทั้งด้วยอายุของหลินชิงเหมยในยามนี้ก็ยังถือว่าเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสองย่างสิบสามปีคนหนึ่ง หากออกหน้าหาเรื่องหลินชิงเหมยมากจนเกินไปนางนี่แหละที่จะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นคนไม่ดี มิสู้นางอยู่เงียบๆ และคอยชี้นำให้หลินชิงหว่านและป้าสะใภ้หวาดระแวงและคอยระมัดระวังความประพฤติของหลินชิงเหมยก็พอ แม้ว่ายังไม่อาจจะแก้แค้นต่อการกระทำของหลินชิงเหมยที่เคยทำต่อนางในอดีต แต่ก็คงเพียงพอที่จะทำให้หลินชิงเหมยดำเนินชีวิตอย่างได้อย่างไม่ราบรื่นเท่าใดนัก
“พี่หญิงพวกเรากลับขึ้นเรือนกันดีกว่าเจ้าค่ะ แดดร้อนแล้วหากน้องชิงเหมยเป็นอันใดไป ข้าอาจจะถูกท่านย่าตำหนิได้ว่าดูแลนางไม่ดี” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้หลินชิงหว่านก็พยักหน้า สำหรับนางแล้วเฉินเจียวเจียวผู้นี้คือญาติผู้น้องที่มีจิตใจดีและเฉลียวฉลาด เรื่องที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยมาไม่ใช่ว่านางจะไม่เก็บมาคิดเพียงแต่เรื่องบางเรื่องยังไม่อาจจะออกหน้าตำหนิคนของตนเองภายในจวนของผู้อื่นได้
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ