เช้าวันรุ่งขึ้นราชสำนักต้าเยียนก็เกิดความวุ่นวาย โม่เจาเจ้ากรมอาญาถวายฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายขวาของจ้าวฉี ขุนนางในท้องพระโรงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางส่วนใหญ่ต่างคัดค้านการถอดถอนตำแหน่งของจ้าวฉี แต่เมื่อเจ้ากรมอาญาโม่เจาแจกแจงความผิดอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่แต่เพียงเสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้าวฉีที่ควรถูกถอดถอน ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่โยงใยและเกี่ยวข้องต่อการทุจริต
หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทั้งสั่งจับกุมทั้งสั่งจำคุกขุนนางที่มีความผิด ที่สำคัญทรงมีราชโองการปลดจ้าวฉีออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสั่งให้กรมอาญาสอบสวนเรื่องที่จ้าวฉีซ่องสุมกำลังพล เหตุการณ์ในท้องพระโรงล้วนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวเกือบทั้งสิ้น แต่ที่นางคาดไม่ถึงก็คือจ้าวฉีไม่เพียงไม่ยินยอมรับราชโองการ แต่กลับป่าวประกาศออกมาว่าตนเองถูกใส่ร้าย
จ้าวฉีไม่ยอมเข้าประชุมขุนนางในยามเช้าที่ท้องพระโรง แต่กลับพาครอบครัวหลบหนีออกไปอยู่นอกกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขานำกองกำลังมาล้อมรอบเมืองหลวงเอาไว้แล้วประกาศต่อผู้อื่นว่าองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงต้องการแก้แค้นเขาด้วยเรื่องส่วนตัวโดยร่วมมือกับท่านเจ้ากรมอาญาโม่เจาสร้างหลักฐานเท็จเพื่อให้ร้ายเขา
ในฐานะขุนนางอาวุโสเขาทนไม่ได้ที่แคว้นต้าเยียนจะมีองค์รัชทายาทที่ไร้คุณธรรมและมีจิตใจคับแคบ จึงขอให้ฝ่าบาททรงทบทวนราชโองการอีกครั้งแล้วปลดองค์รัชทายาทลงจากตำแหน่งแทน ในยามนี้เขานำกองกำลังมารับราชโองการปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่ง หากฝ่าบาทไม่ทรงออกราชโองการจามที่เขาร้องขอ เขาก็จะพากองกำลังของเขาเข้าเมืองหลวงมาช่วยฝ่าบาทจัดการกับองค์รัชทายาทด้วยตนเอง
“เขาทำเช่นนี้นี่คือการตั้งใจใช้กองกำลังของตนเองมาข่มขู่ฝ่าบาทชัดๆ” โม่ซื่อเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ ยามนี้ทุกคนในจวนผิงกั๋วกงต่างมารวมตัวกันที่เรือนหลัก ส่วนบุรุษในจวนผิงกั๋วกงออกไประดมคนในกองทัพใกล้เคียงตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
“ถูกใส่ร้ายแต่กลับยกกองกำลังของตนเองมาปิดล้อมเมืองหลวงเอาไว้ แล้วจะมีผู้ใดเชื่อคำพูดของเขากัน” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางหันไปบีบนวดฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าออดอ้อน
“ท่านย่าไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวท่านลุงใหญ่ ท่านลุงรอง ท่านพ่อและพี่พวกพี่ชายจะต้องนำกองทัพสกุลเฉินของพวกเรามาโอบล้อมพวกเขาแล้วโจมตีพวกเขาจนเละเป็นโจ๊กคาประตูเมืองแน่นอนเจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินเจียวเหม่ยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมา
“ถึงกับใช้โจ๊กเปรียบเทียบเชียวหรือ”
“ย่อมต้องใช้โจ๊กเจ้าค่ะ จะได้มองเห็นภาพได้ชัดว่าพวกเขาจะต้องย่ำแย่จริงๆ” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางพยักหน้า แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับส่ายหน้า
“กองทัพสกุลเฉินที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหลายร้อยลี้ สั่งรวมพลกะทันหันเช่นนี้กว่าจะรวบรวมคนเสร็จกว่าจะเดินทางมาได้ ข้าเกรงว่ากองกำลังในกำแพงเมืองจะต้านกองกำลังของสกุลจ้าวเอาไว้ไม่อยู่น่ะสิ” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบไป แต่เฉินเจียวเจียวกลับส่ายหน้า
“ในเมืองหลวงนอกจากจะมีกองกำลังรักษาเมืองและราชองครักษ์ของฝ่าบาทแล้ว ท่านย่าอย่าได้ลืมว่ายังมีกองกำลังของสกุลหยวนอยู่สิเจ้าค่ะ แม้ว่าสกุลหยวนจะเหลือเพียงฮูหยินผู้เฒ่าและคุณชายหยวน แต่กองกำลังที่เคยเกรียงไกรถึงขั้นนั้นจะมลายหายไปในเวลาเพียงไม่กี่ปีได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็พลันขมวดคิ้ว เฉินเจียวเจียวจึงได้หัวเราะออกมา
“คุณชายหยวนอี้แม้ว่าจะบอกกับผู้คนภายนอกว่าตนเองล้มป่วยมาโดยตลอด แต่พี่หญิงไม่คิดบ้างหรือว่าคนป่วยที่มีวรยุทธ์ติดกายเช่นเขาแถมยังว่ายน้ำอย่างปราดเปรียวได้ถึงขนาดนั้นย่อมไม่ใช่คนป่วยธรรมดา ยังไม่นับว่าหลายปีมานี้องค์รัชทายาทแทบจะไม่เคยประทับอยู่ในตำหนักบูรพาอย่างสงบเสงี่ยม ไปมาล้วนไร้ร่องรอยน่าจะเป็นเพราะต้องไปดูแลกองกำลังของสกุลหยวนเป็นแน่” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็พลันขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาทแต่งตั้งสตรีสกุลหยวนขึ้นเป็นฮองเฮาก็เพราะทรงมุ่งหวังอำนาจทางกองทัพของสกุลหยวน แต่หลังจากบิดาและพี่ชายของหยวนฮองเฮาสิ้นชีพไปกองทัพสกุลหยวนก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงอีกเลย ยิ่งต่อมาหยวนฮองเฮาทรงสิ้นพระชนม์ไปเพราะจ้าวไทเฮา ทุกคนก็ต่างพากันคิดว่ากองกำลังสกุลหยวนล่มสลายไปพร้อมกับผู้นำทัพของพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาพลางคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาท ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและหยวนอี้แล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“ยังมีกองกำลังของสกุลเซียวที่คอยคุ้มครององค์รัชทายาทมาโดยตลอดอีกเจ้าค่ะ ในเมื่อองค์รัชทายาททรงรู้ว่าสกุลจ้าวซ่องสุมกำลังคนเอาไว้ เขาจะต้องเตรียมพร้อมที่จะตั้งรับกองกำลังของสกุลจ้าวเอาไว้แล้ว” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้ทุกคนต่างทอดถอนใจออกมา
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ห้ามท่านพ่อของเจ้าเล่า กว่าพวกเขาจะเคลื่อนกำลังพลมาถึงที่นี่ องค์รัชทายาทก็คงจะจัดการกับกองสกุลของสกุลจ้าวได้แล้ว” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมา
“แน่นอนว่ากองทัพสกุลเฉินย่อมจะต้องมาเพื่อป้องกันเหตุผิดพลาด อีกทั้งไม่ว่าอย่างไรกองทัพสกุลเฉินก็ต้องมาเพื่อแสดงความจงรักภักดีและแสดงให้เห็นว่าว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทผู้นี้ก็สามารถเป็นกำลังสนับสนุนองค์รัชทายาทได้” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้ทุกคนต่างมองหน้านางอย่างคิดไม่ถึง
“ข้ากำลังจะแต่งเข้าราชวงศ์ อีกทั้งครั้งนี้ยังไม่ใช่คนในธรรมดาราชวงศ์ ไม่รู้ว่าวันหน้ายังต้องแย่งชิงกับผู้ใดอีก หากไม่แสดงให้เห็นว่าสกุลเฉินของพวกเราไม่มีทางที่จะทะเยอทะยานอย่างเช่นสกุลจ้าว และไม่ได้อ่อนแอล้มลงอย่างง่ายดายดังเช่นสกุลหยวน ข้าในฐานะว่าที่พระชายาย่อมจะสามารถแต่งเข้าไปในตำหนักบูรพาและเป็นผู้ครอบครองตำหนักได้อย่างมั่นคง วันหน้าทั้งฝ่าบาทและองค์รัชทายาทจะต้องคำนึงถึงข้อนี้ของข้าให้มากและย่อมจะต้องให้เกียรติข้ามากยิ่งขึ้น” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมา
“เจ้าคิดเช่นนี้ได้ย่าก็วางใจแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางยิ้มออกมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ เวลาแค่เพียงไม่ถึงปีหลังจากที่เฉินเจียวเจียวยกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋อง กลับทำให้เฉินเจียวเจียวทั้งรู้ความและกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่เพียงมองแค่เพียงสถานการณ์เฉพาะหน้าแต่ยังคาดการณ์และวางแผนการใช้ชีวิตไปถึงอนาคตอีกด้วย
“เพราะข้าโชคดีที่ได้เกิดและเติบโตในจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้มีพวกท่านคอยอบรมและให้การดูแลสั่งสอน มีพี่น้องที่รักใคร่กันอย่างจริงใจ ข้าจึงมีกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและครอบครัว” …และข้าโชคดีที่ได้กลับมาแก้ไขทุกอย่างอีกครั้ง ประโยคหลังนี้นางไม่ได้เอ่ยออกมาแต่กลับคิดขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ ไม่ว่าเป็นเพราะอะไรนางจึงได้กลับมาแต่นางก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณและคว้าโอกาสที่ได้ย้อนกลับมาในครั้งนี้ทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นกว่าในชาติก่อน แถมยังได้ทวงคืนความแค้นกับคนที่เคยคิดร้ายต่อนางอีกด้วย
องค์รัชทายาทนำทัพออกไปปราบกบฏด้วยพระองค์เอง ทัพขององค์รัชทายาทประกอบไปด้วยทัพของสกุลหยวนและสกุลเซียว ส่วนกองกำลังรักษาพระองค์ทรงวางกำลังคนไว้ส่วนหนึ่งเพื่อวังหลวงแถมยังแบ่งกำลังคนอีกส่วนหนึ่งมาคุ้มกันจวนผิงกั๋วกง แม้ว่าคนในจวนผิงกั๋วกงจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นเพราะพวกเขาก็มีกองกำลังสำหรับคุ้มกันจวนของตนเองอยู่แล้ว แต่ก็ต่างพากันซาบซึ้งใจในการกระทำเช่นนี้ขององค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก
และแล้วก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของเฉินเจียวเจียวองค์รัชทายาทใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถควบคุมกองกำลังของสกุลจ้าวได้ กว่ากองกำลังของผิงกั๋วกงจะมาถึงองค์รัชทายาทก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่มาถึงแล้วย่อมดีกว่าไม่มาผู้คนต่างพูดกันว่าองค์รัชทายาทถึงกับลงจากหลังม้าไปคารวะขอบคุณว่าที่พ่อตาด้วยพระองค์เองเลยทีเดียว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ