ริณเรณูมองโทรศัพท์ด้วยสายตาที่เริ่มหมดหวัง เด็กสาวไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้มาก่อนเลย เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบใหญ่ ไม่มีใครอยู่เคียงและคอยให้คำปรึกษาตั้งแต่เกิดมาเธอก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย แม้จะมีแค่มารดาที่เลี้ยงดูมาตลอดสิบหกปีแต่มารดาก็คอยอยู่ข้างๆ และคอยให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องแต่ตอนนี้เธอไม่สามารถปรึกษามารดาได้เลย
เธอเช็ดน้ำตาแล้วเอื้อมปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าแต่ยังไม่ทันหลับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ก็ส่งเสียงขึ้นมาเสีย ก่อนสายที่โทรเข้ามาทำให้เด็กสาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เธอรีบกดรับทันที
“สวัสดีค่ะอาราม”
“สวัสดีจ๊ะ โทรหาอาดึกเลยหนูมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ หนูโทรมารบกวนอาไหมคะ”
“ไม่หรอก อาขอโทษทีนะพอดีตอนที่หนูโทรมาอาทานข้าวกับลูกค้ามาก็เลยไม่ได้รับโทรศัพท์ หนูมีเรื่องด่วนใช่ไหม”
“ไม่ด่วนค่ะแต่หนูมีเรื่องไม่สบายใจ อารามมีเวลาไหมคะ”
“มีสิ ไม่สบายใจอะไรเล่าให้อาฟังได้เลยนะ” รามัญฟังจากนำเสียงก็พอจะรู้ว่าคนปลายสายคงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“วันนี้หนูไปเยี่ยมแม่ แต่แม่ดูเหนื่อยมากกว่าทุกวัน หนูกลัวว่าแม่จะสู้ต่อไปอีกไม่ไหว”
“พ่อหนูโทรหาหรือยัง”
“หนูไม่มีพ่อหรอกค่ะอาราม หนูไม่เหลือใครแล้ว” เด็กสาวพูดด้วยอารมณ์น้อยใจเพราะสิ่งที่ตนเองได้ยินจากคุณนครินทร์นั้นมันเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเธอกับบิดาที่มันขาดลงไปแล้ว
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ อาให้เบอร์โทรคุณใหญ่ไปแล้วนะ เขาน่าจะโทรหาหนูสิหรือหนูจะเป็นคนโทรหาเขาเอง เดี๋ยวอาจะส่งเบอร์โทรให้ทางไลน์ดีไหม”
“อย่าเลยค่ะอาราม คุณนครินทร์เขาลืมแม่ไปแล้ว”
“หนูบอกว่าเขายังไม่ได้โทรหาหนู แล้วทำไมหนูถึงบอกว่าเขาลืมแม่ไปแล้วล่ะ” รามัญแปลกใจเพราะตอนนี้ริณเรณูไม่ได้เรียกคุณนครินทร์ว่าพ่อเหมือนเคย
“จริงๆ แล้วคุณนครินทร์เขาก็โทรหาหนูค่ะ แต่พอหนูรับสายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หนูได้ยินเสียงเขาคุยกับภรรยาของเขา มันเลยทำให้หนูรู้ว่าคุณนครินทร์ไม่เคยรักแม่ไม่เคยจริงใจกับแม่ตั้งแต่แรกค่ะ”
“เป็นแบบนั้นได้ยังไงเพราะตอนที่อาไปบอกคุณใหญ่ว่าหนูเป็นลูกอีกคนหนึ่งคุณใหญ่ก็ดูท่าทางดีใจและเป็นห่วงหนูมากเลยนะ”
“เขาก็แค่แสดงค่ะ แต่ลับหลังเขาพูดถึงแม่ไม่ดีเลย คำพูดที่เขาพูดกับผู้หญิงที่ชื่อศิตามันเป็นคำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของคนที่แม่รักอย่างสุดหัวใจ ต่อไปนี้หนูจะไม่พูดถึงเขาไม่คิดถึงเขาอีกค่ะ เขาจะมาเยี่ยมแม่หรือเปล่าหนูก็ไม่สนใจแล้วเพราะตอนนี้หนูสนใจแค่อาการของแม่ หนูอยากให้แม่อยู่กับหนูได้นานที่สุด”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงสั่นการได้ระบายความรู้สึกออกมาให้ใครสักคนฟังมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่คำพูดที่ได้ยินจากปากของคุณนครินทร์มันก็ยังก้องอยู่ในหัวและยากที่จะสลัดออก
“อาว่ามันต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่เลยนะ”
“อารามไม่ต้องมาแก้ตัวแทนคุณนครินทร์หรอกค่ะ ถ้าหากมันเป็นการเข้าใจผิดกันจริงๆ เขาก็น่าจะโทรมาบอกหนูตั้งแต่วันนั้นไม่น่าจะปล่อยเวลาให้ผ่านมานานหลายวันแบบนี้หรอกค่ะ บางทีที่เขารับโทรศัพท์หนูและพูดแบบนั้นกับผู้หญิงที่ชื่อศิตาอาจจะเป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับหนูและแม่แต่เขาไม่กล้าพูดตรงๆ ก็ได้ค่ะ”
“อาอยากรู้ว่าคุณใหญ่เขาพูดอะไรบ้าง”
“หนูจะส่งคลิปที่หนูอัดไว้ให้อาฟังนะคะ แต่อาไม่ต้องบอกเขาหรอกค่ะว่าหนูรู้ว่าเขาพูดว่าอะไรบ้าง เพราะบอกไปมันก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไร”
“อารู้ว่าตอนนี้หนูกำลังเสียใจทั้งเรื่องแม่เรื่องพ่อและอาก็อยู่ไกลเกินกว่าจะไปปลอบใจหนูได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่หนูโทรหาอาวันนี้ก็แค่อยากจะหาใครสักด้วย อันที่จริงหนูไม่น่าจะรบกวนอารามด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่าวันนี้พลอยเขามีปัญหาหนูก็เลยไม่อยากเอาปัญหาของตัวเองไปเพิ่มให้เพื่อนค่ะ ตอนนี้หนูรู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้วขอบคุณอารามนะคะที่โทรกลับมา ถึงแม้อาจะไม่ใช่ญาติพี่น้องและเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งเดียวก็มีน้ำใจมากกว่าคนที่หนูเคยเรียกเขาว่าพ่อ หนูขอบคุณมากๆค่ะ คืนนี้ดึกมากแล้วหนูไม่รบกวนแล้วค่ะ อาจะได้พักผ่อน”
“หนูอยู่คนเดียวได้แน่”
“หนูเลือกที่จะไม่อยู่คนเดียวได้ด้วยเหรอคะ แต่อาไม่ต้องห่วงค่ะหนูจะเข้มแข็งและจะไม่อ่อนแอให้แม่เห็นหนูกลัวไม่เป็นทุกข์”
“แต่หนูอ่อนแอให้อาเห็นได้ มีอะไรก็โทรปรึกษาตาได้ตลอด ถ้าว่างอาจะหาโอกาสไปเยี่ยมหนูกับแม่นะ”
“หนูเกรงใจค่ะ แค่อาโทรหาหนูก็ซึ้งน้ำใจมากๆ แล้ว”
“คืนนี้มันก็ดึกแล้วหนูไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“อาอยากให้หนูไปเจอแม่ไปทำหน้าที่ลูกที่ดี อย่าให้คุณแม่ เห็นว่าหนูร้องไห้อารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากแต่อาคิดว่าหนูน่าจะทำได้”
“ค่ะหนูจะไม่ร้องไห้ให้แม่เห็นหนูจะต้องเข้มแข็ง แม่จะได้ไม่เป็นห่วง”
“อาเชื่อว่าหนูจะต้องทำได้เพราะหนูเป็นคนเก่ง”
“ขอบคุณนะคะที่ให้กำลังใจ หนูคงต้องวางสายแล้วจริงๆ ใช่ไหม” เด็กสาวอยากจะคุยกับเขาต่อแต่ก็รู้สึกเกรงใจมากเพราะเวลานี้มันเป็นเวลาที่ทุกคนควรจะพักผ่อน
“ใช่คืนนี้มันดึกแล้ว หนูควรจะต้องพักผ่อนและพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปหาคุณแม่ด้วยสีหน้าที่สดใสนะ อย่าลืมว่าโทรหาได้ตลอดถ้าอาไม่รับสายก็แสดงว่าอาไม่ว่างและถ้าอาทำธุระเสร็จอาจะรีบโทรกลับหาหนูทันที”
“ค่ะอาราม” หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจมากๆ กับคำพูดของรามัญ
ริณเรณูวางสายจากรามัญแล้วก็ส่งคลิปเสียงให้เขาก่อนจะหลับลงไปอย่างง่ายดายและตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า
เธอรีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จแล้วขี่จักรยานยนต์ไปที่โรงพยาบาลทันที เมื่อไปถึงมารดาของเธอก็ยิ้มให้แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงอิดโรยแต่เธอก็ดีใจที่ยังเห็นรอยยิ้มของท่าน
“รีบมาหาแม่แต่เช้าเลย วันหยุดแทนที่จะตื่นสายๆ”
“หนูตื่นเช้าจนชินแล้วค่ะแม่ คุณหมอมาตรวจมาหรือยังคะ”
“ยังเลยจ้ะน่าจะอีกสักพักใหญ่หนูกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะแม่ล่ะคะ”
“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกอาหารของทางโรงพยาบาลมาส่งให้ตั้งแต่เจ็ดโมงเข้าแล้ว”
“วันนี้โรงพยาบาลทำอะไรให้แม่กินคะ”
“เป็นโจ๊กใส่ไข่นะลูกแล้วก็มีพุดดิ้งนมสดด้วยนะอร่อยมาก”
“แม่กินได้เยอะไหมคะ”
“เยอะสิลูกแม่กินโจ๊กไปครึ่งชามแล้วก็พุดดิ้งอีกครึ่งถ้วย” เรณูจำเป็นต้องโกหกลูกสาวไปแบบนั้นทั้งที่เธอทานอะไรไม่ได้เลยและพยาบาลบอกว่าอาจจะต้องใส่สายยางให้อาหารทางจมูกแต่เธอก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ลูกสาวเห็นตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้น
“กินเยอะแบบนี้อีกหน่อยก็คงออกจากโรงพยาบาลได้” เด็กสาวพูดให้กำลังใจทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
“จ้ะลูก นี่ก็อีกเกือบชั่วโมงกว่าหมอจะแม่ไม่ว่าหนูลงไปหาอะไรกินก่อนดีไหม”
“ก็ได้ค่ะแม่อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวหนูจะซื้อมาให้”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก”
“ถ้างั้นหนูขอไปกินข้าวก่อนนะคะแม่ ไม่เกินยี่สิบนาทีหนูจะรีบมาค่ะ”
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกจ้ะลูกแม่รู้เวลาหมอออกตรวจดี”
“แต่หนูอยากรีบมาหาแม่อยากมาคุยกับแม่ค่ะ”
“ถ้ายังงั้นก็ตามใจจ้ะ” เรณูรู้ว่าห้ามไปลูกสาวก็คงไม่ฟัง ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันเหลือน้อยเต็มที
เรณูเหนื่อยเกินกว่าจะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ไหว ตอนนี้เธอคุยกับคุณหมอแล้วว่าถ้าหากร่างกายเธออ่อนแอถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นก็ขอให้คุณหมอปล่อยเธอไปอย่างสงบเพราะเธอไม่อยากทรมานและไม่อยากให้ลูกสาวจำภาพที่ตัวเองมีสายและอุปกรณ์รุงรังอยู่เต็มร่างกาย เธออยากจากไปอย่างสวยงาม ลำพังแค่ผมที่ร่วงหล่นจนต้องใส่หมวกไว้ตลอดเรณูก็รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ แล้ว จากที่เคยเป็นคนสวยพอร่างกายตัวเองเสื่อมโทรมลงมันก็ทำให้จิตใจของเธอนั้นห่อเหี่ยวตามไปด้วย
ระยะเวลาที่คบกันนานถึงสามปีทำให้ริณเรณูและรามัญเรียนรู้กันมากขึ้นครอบครัวของหญิงสาวยอมรับชายหนุ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครัวด้วยความเต็มใจแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงงานแต่งงานของทั้งสองถูกจัดขึ้นที่บ้านของคุณย่านารีโดยช่วงเช้าเป็นพิธีตักบาตรและพิธีหมั้นส่วนตอนเย็นก็มีการฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมหรูเมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงตอนนี้คู่บ่าวก็อยู่กันตามลำพังในห้องของโรงแรม“วันนี้หนูริณของอาสวยที่สุดเลยนะครับ” รามัญมองเจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีขาวด้วยความภูมิใจ“แล้ววันอื่นหนูไม่สวยเหรอคะอาราม” หญิงสาวพูดแล้วคล้องแขนไปบนลำคอของเขาแล้วส่งสายตาอ้อนเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ“หนูริณของอาสวยทุกวันนั่นแหละแต่ที่อาบอกว่าวันนี้สวยที่สุดก็คงจะเป็นชุดเจ้าสาวที่หนูใส่อยู่”“อารามของหนูก็หล่อที่สุดเหมือนกันค่ะ ยิ่งใส่ชุดเจ้าบ่าวแบบนี้ก็หล่อมาก เพื่อนของหนูชมกันใหญ่เลยว่าอารามหล่อ”“แล้วพวกเขาว่าอะไรไหมที่หนูริณแต่งงานกับคนอายุมากกว่าแบบอา”“ไม่เลยพวกเขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอารามอายุเท่าไหร่อารามของหนูดูเป็นวัยรุ่นอยู่เลยค่ะ”“หนูริณช่างพูดแบบนี้มันทำให้หัวใจคนแก่อย่างอาเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้หนูเล่นเลยนะ
“เจ็บแผลมากไหมคะคุณย่า” ริณเรณูถามคุณย่านารีหลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว“ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่จ้ะ น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาชา”“ถ้าคุณย่าเจ็บแผลหรือปวดแผลต้องรีบบอกหนูนะคะหนูจะได้กดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาดู”“จ้ะลูก หนูริณเพิ่งกลับจากคอนโดยังไม่ได้เอาของเก็บก็ต้องมานอนเฝ้าย่าที่โรงพยาบาลแล้ว เหนื่อยไหมลูก”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ หนูเต็มใจจะอยู่เฝ้าคุณย่า คุณย่าคะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นความจริงใช่ไหม”“ใช่จ้ะมันเป็นความจริงทั้งหมดที่ย่าก็เพิ่งรู้มาได้ไม่นาน หนูโกรธไหมที่คุณศิตาเขาทำแบบนั้นจนทำให้หนูกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ”“หนูยอมรับนะคะว่าโกรธมากเลยค่ะแต่หนูก็คิดว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะคุณย่า ถึงแต่ก่อนหนูกับแม่จะถูกทอดทิ้งเพราะความเข้าใจผิดแต่ตอนนี้แต่ตอนที่หนูไม่เหลือใครคุณพ่อกับคุณย่าก็รับหนูมาอยู่ด้วยมันทำให้ หนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากอย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวหนู”“เป็นคนจิตใจดีมากเลยนะลูกย่าก็นึกเสียดายถ้าหากแม่ของหนูได้มาเป็นสะใภ้คงย่ามันคงดีมากๆ”“หนูคิดว่าตอนนี้แม่กำลังมองดูอยู่ข้างบนและคงมีความสุขมากที่รู้ว่าเรื่องทุกอย่างในอดีตมันเกิดจากความการเข้าใจผิด
คุณย่านารีนั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องพักวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งบนศีรษะมีผ้าพันแผลสีขาวขนาดเกือบสามนิ้วติดอยู่ขณะที่รอบเตียงรายล้อมไปด้วยลูกหลานครบทุกคนสีหน้าของผู้สูงไว้ดูเครียดถึงแม้คุณหมอจะแจ้งว่าศีรษะมีเพียงแค่บาดแผลและไม่ได้มีอาการอะไรอื่นแต่ความเครียดของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเพราะตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลและเป็นห่วงหลานสาวที่เพิ่งรับมาอยู่ด้วยเพียงหนึ่งปีอย่างริณเรณูเป็นอย่างมาก“คุณย่าคะริต้าขอโทษนะคะ ริต้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณย่าเลยแต่คุณย่ามาพูดแบบนั้นกับริต้าเองริต้าก็เลยโมโหและดึงแขนคุณย่าแรงไปหน่อยค่ะ” รวิตายกมือไว้คุณย่านารีแต่ท่าทางของเธอก็เหมือนไม่สำนึกผิดอะไรเลย“ริต้าพ่อว่าหนูไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ ยิ่งพูดมันก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง” คุณนครินทร์ดุลูกสาวหญิงสาวหันมามองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะน้อยครั้งมากที่เธอจะถูกบิดาดุและครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นการดุตามลำพังแต่เธอถูกดุต่อหน้าทุกคนในครอบครัว“ก็มันจริงนี่คะคุณพ่อ จู่ๆ คุณย่าก็มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ริต้าจะไม่ใช่ลูกของคุณพ่อจะไม่ใช่หลานของคุณย่าได้ยังไง คุณย่าคงจะหลงยัยริณมากเกินไปจนมองไม่เห็นหัวริต้าแล้วล่
“นั่นสิคะคุณแม่ให้ริต้าเขาไปอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยไหมจะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมาก” ศิตาพูดเสริมให้กับลูกสาว“แต่คอนโดแถวนั้นราคาสูงมากเลยนะ ย่าว่ามันจะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ อีกอย่างมหาวิทยาลัยของหนูกับที่บ้านก็ไม่ได้ไกลกันมากขนาดนั้น ถ้าเหนื่อยกับการขับรถจริงๆ ให้ลุงสนั่นคอยขับรับส่งไหม”“ไม่ค่ะคุณย่าริต้าอยากได้คอนโดริต้าไปดูมาแล้วราคาแค่เก้าล้านเองนะคะ”“ตั้งเก้าล้านย่าว่ามันแพงไปและมันไม่จำเป็นเลยนะริต้า หนูขับรถจากบ้านไปถึงมหาวิทยาลัยไม่ถึงยี่สิบนาทีเองนะ”“ไม่แพงหรอกค่ะคุณย่าซื้อให้หนูนะคะ หนูสัญญาเลยว่าจะตั้งใจเรียน” รวิตาอยากออกไปอยู่คอนโดเพราะอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่ต้องรีบกลับบ้านเหมือนกันที่ผ่านมา“คุณย่าครับผมว่าต่อให้คุณย่าซื้อคอนโดราคายี่สิบล้านให้พี่ริต้า พี่เขาก็คงเรียนดีไม่ได้ครึ่งของพี่ริณหรอกครับ” มาวินพูดแทงใจดำของพี่สาวยังจังเขารู้ว่าที่ริต้าอยากย้ายไปอยู่คอนโดเพราะเธออยากจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า“นี่นายมาวินนายได้ไปเรียนต่างประเทศใช้เงินตั้งมากและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระพี่ขอแค่คอนโดแค่นี้นายจะมาขัดทำไม” รวิตามองน้องชายด้วยสายตาขุ่นเคือง“ก็ผมสงสารคุณย่านี่คร
ความรู้สึกที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วมีคนนอนอยู่ข้างๆ มันเป็นความรู้สึกที่ริณเรณูโหยหามาตลอดหลายปี แต่ก่อนเธอกับมารดาก็นอนด้วยกันแบบนี้ จนกระทั่งมารดาป่วยและเข้าไปนอนในพยาบาล จากนั้นหญิงสาวก็นอนคนเดียวมาตลอดและพอวันนี้ได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของรามัญก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ริณเรณูอยากให้มันเป็นแบบนี้ทุกวันหญิงสาวพกอดเขาแน่นขึ้นแล้วซุกใบหน้ากับแผงอกของชายหนุ่มเหมือนกับลูกแมวน้อยทำให้คนที่ตื่นมานานแล้วยิ้มกับท่าทางของเธอ“ตื่นแล้วเหรอ”“ยังคะ”“คนหลับที่ไหนจะตอบได้” รามัญพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเขาไม่เคยนอนกับใครจนถึงเช้าแบบนี้เลยสักครั้ง“ก็หนูยังไม่อยากตื่น เมื่อคืนหนูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”“ให้อาทบทวนให้ไหมว่าใช่ฝันหรือเปล่า”“ไม่ดีกว่าคะ แค่นี้หนูก็ไม่มีแรงลุกไปไหนแล้ว อารามคะอาเสียใจไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน” หญิงสาวถามโดยว่าลืมคิดไปว่าคนที่น่าจะถามคำถามนี้น่าจะเป็นฝ่ายชายมากกว่า“หนูริณลืมอะไรไปหรือเปล่า อาต่างหากที่จะต้องถามเรื่องนี้กับหนู หนูเสียใจหรือเปล่า”“หนูก็บอกอาแล้วนะคะว่าหนูไม่เสียใจเลยค่ะก็หนูรักอา”“อาก็รักหนูนะ แต่เราจะทำเรื่องแบบนี้กันอีกไม่ได้”“ทำไมเหรอค
“หนูริณของอาหัวไวมากจูบเป็นแล้ว”“ดีมั้ยคะอาราม”“ดีที่สุดเลย”“ถ้าอารามอยากให้หนูจูบเก่งอารามต้องสอนหนูนะคะ”หญิงสาวพูดออกไปตามอารมณ์และความรู้สึกเพราะเธออยากให้เขามีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น“แน่ใจนะหนูริณว่าจะยอมเป็นของอาจริงๆ”รามัญถามหญิงสาวอีกครั้ง แม้รู้ว่าถ้าหากริณเรณูเปลี่ยนใจตนเองจะต้องจะทรมานมากแน่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะหักหาญน้ำใจของคนที่ตัวเองรักเหมือนกัน แม้เขาจะไม่เคยบอกเธอว่าเขาเองก็รักเธอแต่คิดว่าหญิงสาวก็น่าจะเข้าใจดีเพราะถ้าหากเขาไม่รักไม่ได้รู้สึกอะไรก็คงไม่ตามดูแลเธอมาตลอดหลายปีแบบนี้“หนูไม่เสียใจค่ะอาราม” หญิงสาวยืนยันอย่างหนักแน่น“อาจะทำให้ครั้งแรกของเรามีแต่ความสุข”เขากระซิบข้างหูก่อนที่ปลายลิ้นร้อนจะลากไล้ไปตามหน้าอกอิ่มดูดดุนยอดถันกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาว รามัญตวัดปลายลิ้นรัวลงบนยอดถันสลับกับดูดเข้าปากจนแก้มตอบ เมื่อเห็นหญิงสาวแอ่นโค้งหน้าอกอิ่มเข้าหาเขาก็เข้าใจว่าเธอต้องการให้ตนเองทำแบบไหนฝ่ามือร้อนบีบขย้ำอย่างหนักหน่วง ปากร้อนก็ลากไล้สลับไปมาทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม มืออีกข้างลากต่ำลงมายังเอวนวดเฟ้นสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วจะไล้เข้าหาเนินเนื้อเบื่องล่างอีกครั้ง“อ๊ะ