“คุณสิง สวัสดีค่ะ” แน่นอนว่าในจังหวัดนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักสิงหราช นายหัวใหญ่ผู้มีเนื้อที่เกือบหมื่นไร่ หนำซ้ำผลผลิตยังเตะตาผู้คน ผลไม้ในโรงแรมดังเป็นสินค้ามาจากไร่เขาทั้งนั้น
นารามองตู้กระจกที่ในนั้นบรรจุด้วยเพชรนิลจินดา ลามไปถึงไข่มุก อัญมณีแห่งท้องทะเล หญิงสาวเลือกยืนอยู่ห่างๆเพราะนายหัวจะได้เลือกสะดวก ไม่เกะกะเธอ
“มานี่” ทว่าร่างสูงใหญ่กับเรียกเธอเข้าไปใกล้ซะงั้น
“เลือกมาอยากได้อันไหน”
ใจของนาราเต้นไม่เป็นส่ำ หมายถึงยังไง เขาจะซื้อให้เธอเหรอ ตอนนี้หญิงสาวสมองเบลอไปหมดแล้ว เธอยังคงเงียบ เพื่อดูว่าสิ่งที่คนข้างๆพูดไม่ผิด
“นาค ฉันบอกให้เลือก” เข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอไม่ฟังผิดเลย ทว่าสิ่งที่ยังสงสัยคือเขาจะซื้อให้เธอทำไม
แม้การกระทำจะสั่นไหวหัวใจดวงน้อยๆนี้ ทว่าคิดดูแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขามาทางไหน ดีหรือร้าย ในความสัมพันธ์เจ้าหนี้ลูกหนี้ของเราอาจจะแปลกประหลาดไปสักหน่อยหรือเปล่าที่เขาจะซื้อของให้เธอ วันนี้สิงหราชต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“ชอบอันไหน” ยิ่งน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าปกติที่เอ่ยออกมาแล้วด้วย นาราคงเข้าใจผิดไปใหญ่ หญิงสาวยืนนิ่งกระทั่งเขาเอ่ยกับพนักงาน ชี้แหวนที่อยู่ในตู้มาสวมที่นิ้วนางของเธอ
ผิวเนื้อที่แตะต้องกันทำใบหน้าสวยร้อนผ่าว ใบหน้าเริ่มระอุขึ้นมาทีละน้อยคล้ายกำลังมีเสียงซู่ๆออกมา ยิ่งเสียงทุ้มนุ่มละมุนเอ่ย หัวใจยิ่งราวกับถูกหลอมละลายเข้าไปในกองเพลิง
“อันนี้ชอบมั้ย”
บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ
“สวยมากเลยค่ะ”
“งั้นเอาวงนี้” พี่พนักงานเอ่ยปากชม ในตอนนี้มือของเธอยังอยู่ในมือใหญ่เหมือนเดิม วินาทีนั้นนาราสบตากับเขา ซึ่งสิงหราชก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับว่าการซื้อแหวนวงนี้ให้เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนที่เคยทำกับเธอทุกวัน
กลายเป็นว่าเธอมาอยู่บนรถเขาด้วยความมึนงง โดยที่แหวนวงนั้นยังอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้าย บัดนี้ร่างสูงเข้ามานั่งฝั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยๆหันมองเขาเอ่ยด้วยความงงงวยช้าๆ
“นี่...คุณซื้อมันให้ฉันทำไมคะ” ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย
“เมื่อวานวันเกิดเธอไม่ใช่เหรอ”
นาราราวกับโดนสาปเป็นน้ำแข็งเมื่อได้ยินประโยคนั้น ใช่ เมื่อวานเป็นวันเกิดของเธอ ซึ่งไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย แต่ทำไมเขาถึงรู้ได้
“แล้วคุณรู้ได้ยังไง”
“ปีที่แล้วเธอเคยบอกฉัน”ใช่สิ สามปีมาแล้วที่เธออยู่กับเขา เคยบอกไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าเขายังจำได้
“เมื่อวานฉันติดธุระ วันนี้เลยพาเธอมาซื้อไง อยากได้อะไรอีกมั้ย”
ใจของนาราราวจะกระเด็นออกมา มันอกสั่นขวัญแขวนราวกับมีมือมาเขย่ารุนแรง เธอนึกไม่ถึงว่าจะมีใครจำวันเกิดของเธอได้นอกเสียจากมารดา แต่เขา วันนี้เขากลับบอกว่าจดจำวันเกิดของเธอพร้อมกับซื้อของขวัญให้
จุก จนพูดไม่ออก
ที่ผ่านมานาราพยายามทำตัวเข้มแข็งมาโดยตลอด เธอบอกทุกคนว่าไม่เป็นไร ทำงานเพื่อปลดหนี้ให้กับครอบครัว ลืมวัน ลืมคืน ลืมทุกสิ่ง จองจำอยู่ที่นี่ ลืมให้ความสนใจตัวเอง และเมินเฉยมันไปเมื่อไม่มีใครสนใจ
เวลาผ่านไปก็ยังกดมันอยู่แบบนั้น นานวัน นานวัน กลายเป็นคนด้านชา ทว่าวันนี้มีคนหนึ่งบอกว่าจำวันสำคัญของเธอได้ ความรู้สึกอัดอั้นในใจก็ราวกับไหลทะลักออกมา เกิดความรู้สึกซาบซึ้งจนห้ามไว้ไม่อยู่ ยิ่งมาจากคนที่ใจร้ายกับเธออย่างเขาคนนี้ ยิ่งไม่รู้จะเอ่ยออกมาเป็นประโยคไหน
“ขอบคุณ” สุดท้ายก็เอ่ยได้แค่คำนั้น ก่อนน้ำตาที่เก็บไว้จะร่วงไหล
สิงหราชมองคนตัวเล็กด้วยสายตาอ่อนโยนเขายิ้มเธอให้เล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไปในที่สุด
เจ้ากรรมนักออกมาจากเมืองเพียงน้อยนิด ฝนก็เทลงมา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีพายุ ลมกระโชกแรงรวมอยู่ด้วย เส้นทางที่เปลี่ยวเต็มไปด้วยต้นไม้ เกิดเสียงปะทะกัน เสียดสีไปทั่ว เกิดเป็นเสียงรอบด้าน
“วันนี้พายุเข้าเหรอคะ” นาราอดถามไม่ได้ วันนี้ไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศเลย
“คงจะอย่างนั้น” สิงหราชตอบเสียงทุ้ม มองออกไปนอกกระจก เขาต้องขับช้าๆเพราะกลัวถนนลื่น แล้วในตอนนี้นั้นเองที่ฟ้าผ่าลงมา
นารากรีดร้องเล็กๆ เธอหันมองหน้าร่างสูง สิงหราชรู้ว่าเธอคงกลัว มือข้างหนึ่งจึงเอื้อมมาจับมือหญิงสาวไว้ พร้อมกับลูบหลังมือเบาๆ
ตากลมมองมือที่อยู่บนตักกว้าง เวลานี้สิงหราชยังมองไปที่ถนนดังเดิม ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วทุกอณูหัวใจ เธอไม่รู้ว่าสิงหราชกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ท่ามกลางฝนตกหนาวเหน็บแบบนี้ เธออุ่นใจ อุ่นใจที่มีเขาอยู่ข้างๆ
ท้องฟ้าเริ่มขยายครึมลงเรื่อยๆ คนข้างๆของเธอชะลอความเร็วรถ ตอนนี้รอบๆไม่มีรถสวนมาเลย ในช่วงเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน บรรยากาศจึงดูทะมึนทึมอยู่หน่อยๆ ภายในรถไม่มีใครพูดอะไรกันกระทั่ง
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นทั่วบริเวณ นารารีบหันไปมองรอบๆด้วยความตกใจ สิงหราชผละมือจากเธอ ประคองพวงมาลัยให้รถคงที่ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนยางล้อจะถูกยิงจนลมไหลออกมาทำให้รถเสียหลัก
“จับดีๆ” คนขับตะโกนบอกเธอ เพียงเสี้ยววินาทีรถทั้งคันก็ถลาไหลลงมาอยู่ข้างถนน สิงหราชรีบเอาปืนของตนออกมา เขาสั่งเธอเสียงเข้ม
“รออยู่บนรถ” ใจของนาราราวกับจะกระเด็นหายไป เธอจับแขนคนตัวใหญ่ไว้
“คุณจะไปไหน!” สิงหราชทำหน้าเครียด
“ไปดู ดูว่าใครลอบทำร้ายเรา อาจจะต้องมีการยิงปะทะกัน เธอรออยู่ที่นี่ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
“แต่คุณ” เสียงเล็กหายไปเมื่อคนตัวใหญ่มองเธอด้วยความแน่วแน่ ราวกับให้เชื่อใจ และไว้ใจเขา เพราะแบบนั้นนาราจึงหยุดปาก เธอพยักหน้า บีบมือเขาเบาๆ
“อืม คุณต้องกลับมานะ”
อย่าทิ้งเธอไว้ที่นี่ และเขาก็...
“ห้ามเป็นอะไรด้วย”
ใจดวงเล็กร้อนวาบเมื่อร่างสูงโน้มใบหน้าลงมาจูบกลางกระหม่อม เราทั้งสองสบตากัน แววตาหญิงสาวสั่นระริกด้วยความตื่นกลัว
นาราเดินขึ้นมาตามเนินเขาเรื่อยๆ แสงของพระอาทิตย์สาดส่องไปทั่วและสายลมที่พัดเอื่อยๆต้องผิวกายพลันทำให้เย็นสดชื่นราวกับได้เกิดใหม่ ปลดระวางความเหนื่อยล้าที่มีมาทั้งวัน หญิงสาวยิ้มร่าเมื่อคิดว่าขึ้นไปบนหน้าผาแล้วจะเจอใครคนหนึ่ง คน...ที่วันนี้คิดถึงเป็นร้อยครั้ง และใช่ เมื่อขึ้นมาก็เห็นเขายืนอยู่ก่อนแล้ว คนตัวเล็กคลี่ยิ้ม ด้านข้างของสิงหราชนั้นช่างดูดีเสียจริง หล่อเหลาราวกับรูปปั้น ไม่รวมผิวสีเข้มที่บ่งบอกว่าผ่านการแตกแดดมานมนาน เสริมให้บุคลิกของคนร่างสูงดูองอาจขึ้นไปอีก เธอไม่อยากเชื่อว่าวันหนึ่งคนคนนี้จะเป็นของเธอ ทว่าเวลานี้เขายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว พร้อมกับยิ้มให้เธอด้วยความจริงใจ นาราวิ่งเข้าไปหาแขนที่อ้าออก หลับตาสูดเอากลิ่นหอมๆของชายคนรักเข้าปอด ซึ่งอีกคนก็เช่นเดียวกัน เขาประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมบาง ลอบดมกลิ่นหอมหวานจนชื่นใจ “เหนื่อยมั้ย” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เอ่ยอย่างเป็นห่วง ใครจะคิดว่านาราจะอึดขนาดนี้ ทำสวนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย บ้ากว่าเขาตอนทำไร่ใหม่ๆอีกมั้ง แล้วคำตอบของเธอทำเขายิ้มออกมาอย่างไม่ยาก “ไม่เหนื่อย
“แต่หนูไม่โกรธยายหรอกค่ะ แต่มาวันนี้ก็เพื่อบอกให้ยายรู้ว่าหนูจะไม่ทนอีกแล้ว ยายต้องรับผิดชอบในส่วนที่ยายทำ ถ้ายังหาเงินมาคืนสามีหนูไม่ได้ แน่นอนว่าบ้านหลังนี้กับที่ดินหนูจะยืดไปให้หมด” “นี่แก๊” ธัญญาหมดความอดทนจริงๆ ไม่คิดว่าหลานตัวเองจะเลวร้ายแบบนี้ เธอรู้ว่าตัวเองผิดที่เห็นแก่ตัวไม่ใช้หนี้ แต่เธอก็เอาเงินของเธอมาดูแลแม่ไง แม่มันไม่ดูแลยายก็ให้มันใช้หนี้ไปสิ ผิดตรงไหน คนเป็นป้าอยากพูดแบบนั้นทว่าพอเห็นสายตาเลือดเย็นของหลานสาว ก็ถึงกลับต้องหุบปากไป เพราะกลัวมันจะเพิ่มหนี้ให้เธอ “หนูมาบอกแค่นี้ล่ะค่ะ ขอตัว” หญิงสาวเดินออกมา เธอแทบจะล้มลงไปกับพื้นทว่าได้สิงหราชประคองตัวไว้ เธอพยักหน้าให้เพื่อบอกเขาว่าไม่เป็นไร ทว่าพอได้ขึ้นมาบนรถ ก็อดกลั้นไม่ไหวร้องไห้ออกมาในที่สุด คนตัวใหญ่ดึงเธอเข้าไปกอด ลูบแผ่นหลังเบาๆ ความอ่อนแอยิ่งถูกกระตุ้นไหลเป็นสาย บางทีโลกเราก็โหดร้ายเกินไป พยายามคิดในแง่บวกไว้ ปกปิดมันด้วยเหตุผลทุกอย่าง ทว่าพอเผชิญหน้ากับความจริงกลับเกินทนจนยากที่จะรับไหว “พี่อยู่นี่ ไม่เป็นไร” สิงหราชปลอบโยนคนต
รถกระบะคันเก่าวิ่งเข้ามาจอดกลางบ้าน ทำให้ธัญญาที่กำลังร้องไห้ราวกับจะขาดใจเงยหน้ามอง จากที่ราวถูกเหยียบย่ำหัวใจไปแล้ว หญิงวัยกลางคนยิ่งแหลกสลายเข้าไปกันใหญ่เมื่อเห็นหลานสาวของตนและผู้มีอิทธิพลในแถบนี้เดินเข้ามา และใช่ ลูกสาวเธอโดนจับก็เพราะพวกมัน “อีนารา! มึงยังเสนอหน้ามาอีกเหรอ” ธัญญาตะโกนดังลั่น ความโกรธเกรี้ยวของเธอทำให้ยายของนาราที่นั่งอยู่ข้างๆธัญญาลูบหลังลูกสาวเบาๆ นาราปรายตามองยายของตน หญิงใจร้ายที่ไม่เคยคิดบอกความจริงกับเธอ ที่ผ่านมาเธอใจดีมาก ทำดีกับยายมาโดยตลอดเพราะหวังว่าสักวันหญิงชราจะเห็นความดีแล้วรักเธอบ้าง ทว่าตอนนี้หญิงสาวได้รู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันสูญเปล่า ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรักเธอในฐานะหลานเลย แม้ใจจะปวดหนึบ แต่ก็พยายามเก็บมันไว้ คงเห็นท่าไม่ได้ สิงหราชเลยกุมมือเธอ หญิงสาวส่ายหัวบอกเขาว่าไม่เป็นอะไร ใจเข้มแข็งพอแล้ว และส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะเขา “ป้าทำเหมือนโกรธหนู แต่หนูมากกว่าที่ต้องโกรธป้า” คนตัวเล็กตอบโต้กลับทันที “โกรธกูเรื่องอะไร!” ตอนนี้ธัญญาไม่วางมาดอะไรอีกแล้ว นังเด็กนี่มัน
“ครับ เมียเอายังไงก็เอา แต่บอกก่อนได้มั้ยว่าจะไม่โกรธกัน” เขากลัวเมียหายไปนะ ถ้าเธอจากเขาไปทั้งไร่ต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน พลิกแผ่นดินหาไม่เจอก็จะหาอยู่แบบนั้น นาราหลุบมองคนที่ซุกอยู่บนอก ดวงตาดุๆ พลันทำให้ชายหนุ่มก้มหน้าลง เผลอใช้โอกาสนี้ซุกใบหน้าลงมามากกว่าเดิม นาราอึดอัดจนต้องขยับดิ้น เธอจิ๊ปากทีหนึ่ง “อื้อ!” เสียงอ้อนเอ่ยตามมา “บอกก่อนว่าจะไม่โกรธ” “ไม่” “ทำไมไม่” “ก็โกรธ” “แล้วทำยังไงถึงจะหายโกรธ” “ไม่รู้ ออกไปจากที่นี่มั้ง” วินาทีนั้นอ้อมแขนที่กอดเธออยู่รัดแน่นขึ้น นาราเกือบหายใจไม่ออก ทว่าต้องทำเก๊กเพราะกลัวเขาจะได้ใจ หญิงสาวเลยนิ่งไว้ “ไม่ให้ไป ไปสิ จะขังไว้ที่นี่เลย” ตัวเล็กดวงตาวาวโรจน์ “กล้าเหรอ?” “ไม่กล้า” เสียงหงอยเอ่ย นารานิ่งไป มองคนตัวใหญ่ที่กำลังไซ้หัวลงบนหน้าอกเธอเหมือนเด็ก “งั้นเอาไร่มั้ย เอาไร่ส้มสักร้อยไร่ หรือตรงที่น้องทำ พี่ยกให้หมดเลย” “ยกให้แฟนเก่ากับคุณปราณนารีสิ มาให้ฉันทำไม”
“น้ำ” เสียงแหบแห้งและฝืดเคืองครางออกมา ใช่ ตอนนี้รู้สึกราวกับว่าอยู่ในทะเลทรายอันแสนแห้งแล้งและร้อนผ่าวแผดเผาอยู่ภายใต้พระอาทิตย์ แล้วในตอนนั้นเองที่เปลือกตาสีไข่เปิดขึ้น ฝ้าเพดานที่คุ้นเคยทำหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ แรงกอดรัดช่วงตัวทำให้เธอเอี้ยวตัวมองคนที่กอดเธอไว้ สิงหราช นี่เขา พาเธอออกมาจากป่าได้จริงๆ “ตื่นแล้วเหรอ” ร่างสูงตื่นขึ้นมาพอดี เขายิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นเลยในชาตินี้ ยิ่งทำให้อึ้งไปกว่านั้นเพราะเขาโน้มหน้าลงมาจูบกระหม่อมกันเอ่ยคำพูดแปลกประหลาด “เมียตื่นแล้วเหรอครับ” ราวกับสติได้หลุดล่องหายไป เมื่อกี้เขาว่ายังไงนะ “คุณว่ายังไงนะ” “เมียตื่นแล้ว อยากได้อะไรมั้ย” แม้จะยังมึนงง ทว่านาราตอบอย่างไม่ลังเล เอาไว้ก่อนเรื่องเขาเรียกเธอว่าเมีย “น้ำ” เพียงเท่านั้นเขาก็ลุกขึ้น พร้อมกับเอามันมาให้เธอ ร่างสูงนั่งลงข้างเตียง ประคองเธอขึ้นนั่ง นาราดื่มน้ำด้วยความกระหาย ก่อนดวงตาจะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง มันผสมปนเปกันไป
“นายหัว!” นงรักตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนสูงใหญ่ผู้น่าเกรงขามในไร่แบกหญิงสาวตัวเล็กไว้บนหลังเดินเข้ามา พอมองสภาพของทั้งสองคนหญิงแม่บ้านก็ต้องตกใจ อะไรกันเนี่ย ทำไมดำไปทั้งตัวแบบนี้ มิหนำซ้ำท่อนขาและเท้าเปลือยเปล่าของสิงหราชยังเต็มไปด้วยบาดแผลราวกับโดนของร้อนจี้มา หรือว่าที่คนงานพูดกันว่าในป่ามีเพลิงไหม้ เกี่ยวข้องกันนายหัวและหญิงสาวตัวเล็กที่ไม่ได้สตินี่เหรอ เกิดอะไรขึ้น ใครบังอาจทำนายหัวเธอ มันเป็นใคร! วินาทีนั้นราวกับนายหัวของไร่เป็นคนบ้าใบ้ สิงหราชไม่พูดอะไร อุ้มนาราขึ้นมาบนบ้าน ดวงตาชายหนุ่มเหม่อลอย และกว่าจะเอ่ยออกมาก็ปาไปหลายนาที “ป้าเรียกหมอให้หน่อยได้มั้ยครับ” เหนื่อยจนเหมือนตายทั้งเป็น แต่ก็ยังอยากเห็นอีกคนไม่เป็นอะไร “โถ่ ได้ค่ะ” นงรักแทบร้องไห้ เธอรีบกุลีกุจอโทรไปเรียกหมอที่เป็นคนสนิทกับครอบครัว แล้วเวลานั้นเองที่ชายอีกคนโผล่มา “พี่สิง” “มึงไม่ใช่น้องกู...” สิงหราชมองไปที่น้องชายของตน ก่อนหน้านั้นเขาพอรู้มาบ้างว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่คิดว่ามันจะทำแรงขนาดนี้ “มึง