สุปรีย์ใช้เวลาว่างอยู่กับศศิกานต์ ทั้งสองไปกิน จิ้มจุ่มซึ่งเป็นร้านอาหารริมทางที่มีนักท่องเที่ยวนั่งกันอยู่เต็ม เสียงพูดคุย รถรา เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังขรมจนต้องตะโกนแข่ง ทำให้ต่างคนต่างลดการ์ดลงและอยากเอ่ยความในใจมากยิ่งขึ้น ร่างบางสั่งผักและเนื้อไม่ติดมันมาเต็มโต๊ะ แลกเปลี่ยนเรื่องของอีกฝ่าย เมื่อไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันแล้ว สุปรีย์ก็หยิบมือถือมาเล่น ยิ้มหวาน อีกฝ่ายแอบอารมณ์เสียที่ต้องแบ่งรอยยิ้มนั้นให้คนอื่น จึงรวบรวมความกล้าแย่งมือถือมา
"นี่" สุปรีย์ประท้วง
"มีแต่ทอมและผู้ชายหล่อๆ ที่มีรูปโปรไฟล์อย่างเท่ทั้งนั้น ข้อความหวานที่หยอดกันไปมาอีก" คนตาคมเอ่ยอย่างน้อยใจ
"รู้นะ คิดจะถามว่า ศศิแต่งหญิงแบบนี้ ใช่สไตล์ที่ปรีย์
ชอบหรือเปล่า"
ศศิกานต์เอ่ยไม่ออก แต่คำถามนั้นแทนใจเธอจริงๆ
"ชอบสิ"
คนตาคมทำแก้มป่อง หน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ น่ารักจนคนเจ้าชู้เห็นแล้วหัวใจแทบวาย ศศิกานต์เสยผมแล้วถามว่า
"ต้องไปตัดผมไหมเนี่ย"
สุปรีย์เอนตัวเขามาใกล้ๆ จิ้มไปที่อกข้างซ้าย
"มันอยู่ที่ข้างใน แล้วก็ เดี๋ยวนี้กล้าใหญ่แล้วนะ กล้าถามเรื่องแบบนี้ด้วย"
ศศิกานต์กำมือเปียกชื้นแน่น ที่จริงเธอตื่นเต้นจนหัวใจเกือบไม่ไหวแล้ว แต่สุปรีย์แสร้งทำเป็นไม่เห็นความใจสั่นนั้นของอีกฝ่าย
"อย่างที่บอกนะ ว่าตอนนี้โสด" เธอเอ่ยแล้วตัดสินใจไม่หยิบอะไรเข้าปากอีก
“ศศิไม่รู้ว่า ศศิจะดีพอที่จะพิชิตใจปรีย์หรือเปล่า ใครๆก็ชอบปรีย์ทั้งนั้น”
“พูดยังกับว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี ทั้งๆ ที่เป็นแรห์ไอเท็มขนาดนี้”
“แรห์ไอเท็ม?”
“ใช่ หมาถึง ของหายาก คือเคยส่องกระจกบ้างไหม รู้ตัวหรือเปล่า ว่าตัวเองหน้าตาดีขนาดไหน”
สุปรีย์เอ่ยจบ แล้วยื่นมือให้จับ คนตัวโตงงงวยกับสถานการณ์ใหม่ที่เพิ่งเคยเจอในชีวิต
"ยังไงซะต่อไปนี้ เราต้องสนิทกัน ฝากตัวด้วยนะศศิ"
คนตาคมยื่นมือไปจับ ก่อนทำหน้าผิดสังเกต
"ทางซ้ายมือปรีย์ มีคนจ้องอยู่นะ"
"เรื่องปกติ" สุปรีย์บอก "ข้างหลังศศิก็มีแต่คนเหลียวหลัง"
"แต่คนนี้เขาจ้องน่ากลัวมากเลยนะ"
"จำไว้ด้วยนะคะ ว่าอย่าไปไหนคนเดียว ยิ่งตอนละครออนแอร์แล้ว ยิ่งต้องระวังตัว แฟนๆ ก็มีหลายแบบ"
.
.
วันซ้อมการแสดงมาถึงอย่างรวดเร็ว ในห้องมีโซฟาตัวหนึ่ง แสงไฟสลัวทำให้สบายตา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่บอกไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร ในนั้นมีแค่ครูสอนการแสดง ผู้กำกับ และพวกเธอสองคน สาวๆ มารับฟังบรีฟของครูการแสดง ศศิกานต์เครียดและกดดัน สุปรีย์ยื่นมือมาจับมือหล่อน ใบหน้าสวยหายเกร็ง ครูและผู้กำกับยิ้มที่พวกเขาพึ่งกันและกัน
"เราจะเริ่มจากฉากธรรมดาๆ ก่อน" ผู้กำกับเอ่ย เขาเป็น
ชายวัยห้าสิบกว่าที่สวมแว่นดำทรงกลมตลอดเวลา มองไม่ออกว่าคิดอะไร แต่ชอบหัวเราะและพูดเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจเสมอ
"ค่ะ" คนตัวโตตอบรับเสียงดัง เพราะตื่นเต้น
"หายใจลึกๆ ค่ะ ศศิ" ครูการแสดงบอก ทอดเสียงอย่างอาทร "มีแค่พวกเราสี่คนเท่านั้น"
ครูการแสดงเป็นหญิงวัยสี่สิบ ผมหยิกยาวถึงกลางหลัง ชอบสวมเสื้อผ้าโชว์ความเซ็กซี่ ดวงตากลมโตมีแววชอบเล่นสนุกชอบพูดอ่อนหวานกับคนอื่น
"พระนางของเราเป็นตำรวจที่จะมาสืบคดีและปกป้องนางเอกจากผู้ร้ายนะคะลูก ไหนลองถือปืนแล้วก็กวาดสายตาหาคนร้ายนะ แค่นี้ก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเองแหละ คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง สามารถปกป้องคนที่เรารักได้ ไม่ไหวนะคะ"
สุปรีย์ยิ้มอ่อน ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
"มาที่นางเอกบ้าง ทำท่าอ่อนแอ ไม่ใช่เฉิดฉายแบบนั้นลูก ยิ้มแบบเขินอาย รู้สึกพระนางหล่อมากจนต้องหลบสายตา ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วเล่นเป็นตัวละคร มันต้องเขินบ้างแหละ ศศิสวยขนาดนี้ ต่อไปต้องเป็นสมบัติของชาติแน่ๆ"
ทั้งคู่ยิ้มให้กันเมื่อผู้กำกับใช้คำว่าสมบัติของชาติ และเพราะเขินที่ต้องจ้องตา
"ฮึบ ไว้ก่อน หายใจเข้าไว้แล้วนิ่ง" ผู้กำกับบอกนักแสดงหน้าใหม่ เขาผ่านเรื่องแบบนี้มานักต่อนักแล้ว
"นางเอกได้แหละ แต่พระนางไม่ได้นะ เราเห็นเขาเป็นคนธรรมดา เพราะว่าเราหน้าตาดี ผ่านผู้หญิงมาเยอะ ไม่เอานะ ไม่เขินจนตัวจะแตกแบบนี้"
ผู้กำกับตะโกนจนเสียงแหบ เขาหันไปปรึกษากับครูสอนการแสดง ชั่วครู่ผู้กำกับก็เดินมาเอ่ยเสียงดัง
"เอ็งร้องเพลงได้ไหมพระนาง"
"คะ ค่ะ เพลงชาติเก่งมาก"
สติหลุดอีกครั้ง เธอตอบซื่อๆ ทั้งที่ในหัวอื้ออึง ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องหน้าสุปรีย์ เธอแทบจะกรี๊ดเมื่อโอกาสที่ทำให้ใกล้ชิดอีกฝ่ายมาถึงจนตั้งตัวไม่ติด ในใจร้องแต่ว่า ทำไงดีๆๆ หญิงสาวหยิกขาตัวเองเรียกสติ แต่สติไม่อยู่ให้เรียกอีกแล้ว
"เพลงรักสิวะ เอ็งร้องได้ไหม"
"พอได้"
"ไปร้านเหล้ากัน ไปเดี๋ยวนี้เลย ไปๆๆๆ"
บรรยากาศร้านเหล้ามีคนแน่นขนัดนั่งเต็มร้าน แสงไฟสีส้ม ทั้งร้านโทนสีแดงดำ บวกกับเสียงดนตรีสด ทำให้กลุ่มลูกค้าเต็มร้าน เมื่อผู้กำกับพาพวกเขาเดินเข้ามา เขาขออนุญาตผู้จัดการที่สนิทกันเพื่อขึ้นทำการแสดง หญิงสาวไม่ทันได้เตรียมตัว ไม่ได้ซ้อมร้องเพลงอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งผู้กำกับสั่ง
"ร้องเพลงให้พี่ฟังหน่อย"
ศศิกานต์มือสั่นกระซิบบอกชื่อเพลงกับวงดนตรี แต่ทำเป็นลืมว่ามีคนจ้องอยู่ เธอเริ่มด้วยเสียงโทนต่ำ และไต่เสียงตามโน้ต เพลงเข้าปากเขาพอดี ช่วงเวลาที่เขาร้องเพลงนั้น ทุกคนตะลึงราวกับฟังเสียงนักร้องอาชีพ แถมหน้าตาชวนฝันทำให้ทุกคนถูกสะกดไว้ตลอดสามนาที เธอรู้สึกมั่นใจมากขึ้น แม้ว่าจะถูกจ้องก็ตาม
"มาร้องทุกอาทิตย์ จนกว่าจะมั่นใจในตัวเอง"
ผู้กำกับสั่ง
"ค่ะ"
"อีกเรื่อง เอ็งสองคนเดินมานี่เลย"
"คะ" สองนักแสดงเดินมา ถามพร้อมกัน
"จับแก้มของอีกฝ่าย ขยี้เลย"
คนตาคมกับคนตัวบางหันหน้ามาประจันกัน ยื่นมือมาจับหน้าอีกฝ่ายเบาๆ ผู้กำกับตวาด
"ขยี้สิวะ"
"ค่า"
หน้าตาบิดเบี้ยวของแต่ละคน ทำให้อีกฝ่ายกลั้นขำแทบไม่ไหว
"เล่นเหมือนเล่นกับน้องหมานั่นแหละ น่ารักใช่ไหม เล่นเยอะๆ ฮ่าๆๆๆ"
ไม่รู้ว่าผู้กำกับคนนี้ปกติดีหรือเปล่า แต่ก็ทำให้นักแสดงสองคนนี้พัฒนาขึ้นได้
.
.
หลังจากนั้น เกลแอบไปหาศศิกานต์ที่ทาวน์เฮ้า เนื่องจากไม่มีที่จอดรถ นักแสดงสาวจึงต้องจอดรถข้างถนน แล้วเดินย้อนกลับมา แม้จะผ่านคนมากหน้าหลายตาแต่ไม่มีใครจำเธอได้ นักแสดงสาวสวมเสื้อแขนกุดสีน้ำ เงินโชว์ผิวขาวลออ สวมหมวกแก๊ปใบโตปิดหน้าไม่ให้ใครเห็น และยังสวมแว่นดำอีกชั้น มือเรียวกดโทรหาอีกฝ่ายด้วยการปลอมเป็นไรเดอร์ ซึ่งเธอแอบขอเบอร์ศศิกานต์มาจากพี่สกาว เสียงเรียกดังไม่กี่ครั้ง หญิงสาวหน้าตาดีก็รับสาย
"สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ฮันนี่โทสต์มาส่งค่ะ"
"ค่ะ แน่ใจเหรอคะ"
"แน่ใจค่ะ ถ้าคุณลูกค้ายกเลิก เราจะแบนเบอร์นี้ แล้วจะไม่สามารถสั่งอาหารได้เลยนะคะ"
เห็นแก่ที่เคยเป็นคนรักการกิน ศศิกานต์ยอมไม่ได้ จึงต้องลงไปรับขนมที่ว่า สาวเท้ายาวไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้า ทาวน์เฮ้าส์ แต่พบว่ามีดาราสาวรออยู่ เขาทำท่าหาไรเดอร์ แต่ก็ไม่เจอใคร คิดว่า ช่างเถอะ ถึงจะได้ขนมมา ก็กินไม่ได้อยู่ดี เตรียมตัวหันหลังกลับ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
"ไม่มีไรเดอร์หรอกค่ะ แค่เกลอยากเจอคุณศศิ"
คนตัวโตอึ้งไปช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนตั้งสติแล้วเอ่ยกลับ
"จำได้ว่าคุณเกลได้รับบทในละครสะดุดรักยายแสนดีด้วย"
"ค่ะ บอกตามตรง เกลรับเรื่องนี้เพราะคุณศศิ"
"ศศิเหรอคะ"
นึกไม่ออกว่ามืออาชีพจะอยากร่วมงานกับเธอเพราะอะไร
"เกลสนใจคุณศศิ เรามาสนิทกันนะคะ"
"ศศิไม่ค่อยมีเพื่อน ดีใจที่ได้รู้จักนะคะ"
ยื่นมือมาให้จับ เกลจับมือนั้นเนิ่นนาน อยากรู้จักให้มากขึ้น แต่อีกฝ่ายรีบดึงมือกลับ
"เราไปร้านคาเฟ่ใกล้ๆ กันไหมคะ ศศิ" เกลชวน "ยิ่งพวกเราสนิทกัน จะยิ่งเข้าขากันได้ดีเวลาแสดงนะคะ"
คนตาคมไม่ปฏิเสธ เธอพยักหน้าก่อนเดินนำหน้าไปยังร้านที่รู้จัก
สองสาวเดินไปร้านดังกล่าว คนเดินถนนรู้จักเกล และเคยเห็นศศิกานต์เดินกับสุปรีย์บ่อยครั้ง จึงมองด้วยความแปลกใจ มีชายชุดดำแอบถ่ายรูปสองสาวเดินด้วยกัน ราวกับเห็นชายคนนั้น เกลเอามือมาจับมืออีกฝ่าย โปรยยิ้มหวานไปทางหญิงสาว แต่เจ้าตัวไม่ได้สังเกตอาการนั้น เพราะมันแต่คิดว่าเธอจะต้องสนิทกับเกลให้ได้
"คุณเกลแสดงละครมานานหรือยังคะ"
"เกลเคยให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีช่องสองนะคะ ว่าเริ่มเข้าวงการตั้งแต่ห้าขวบ แล้วก็ได้รับบทต่างๆ จนกระทั่งตอนนี้อายุยี่สิบสองปีแล้วค่ะ แล้วเกลก็เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเมื่อปีที่แล้วว่า ชอบบทถูกรังแกเป็นพิเศษ เพราะเล่นได้เป็นตัวเองที่สุดค่ะ"
"อ่อ..." ศศิกานต์ทำตัวไม่ถูก เมื่อคิดว่าเธอตอบคำถามได้แปลกมาก
"ถึงตาเกลถามบ้าง ว่าคูลๆ แบบคุณศศิเนี่ย ไปแอบอยู่ที่ไหนมา ทำไมถึงพึ่งเข้าวงการคะ"
"น้ำมาเสิร์ฟแล้วค่ะ เชิญดื่มก่อน" ศศิกานต์เปลี่ยนหัวข้อคุย ส่วนเกลคิดว่าเจ้าตัวแค่เขิน จึงไม่ได้ถามต่อ ดาราลูกครึ่งเสมองไปทั่วร้าน เธออมยิ้มเพราะร้านสวยถูกใจ สไตล์มินิมอลหรือสไตล์ที่มากแต่น้อย และเน้นไปทางประหยัด ลดทอนสีสัน ลดทอนรูปทรง มีแค่เท่าที่จำเป็น หากใครรู้ว่าเธอชอบสไตล์ร้านแบบนี้ หรือคนแบบศศิกานต์ ที่ดูซื่อตรงและอ่อนโยน คนจะว่าเธอหัวโบราณหรือเปล่า เกลมักน้อยผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก และชอบคนที่นิสัย แต่หน้าตาก็สำคัญ ถ้ามินิมอลไม่สวย ต่อให้ดีแค่ไหน เธอก็คงไม่มอง
"ตอนนี้มีคนคุยหรือยัง เอ๊ะ คนคุยคงเป็นเรื่องธรรมดาของคนระดับคุณศศิ แค่อยากรู้ว่าตอนนี้ยังโสดหรือเปล่าคะ"
ร่างสูงตอบไม่ถูก เพราะในมือถือเขาตอนนี้มีเบอร์แค่ สุปรีย์ ธนู ซี และสกาวเท่านั้น เรียกได้ว่าคนรู้จักน้อยจนนับนิ้วได้
"โสดค่ะ ศศิยังไม่เคยมีแฟนเลยค่ะ" ตอบตาซื่อ
"ว้าว บริหารเสน่ห์ได้ดีมากเลยนะคะ คุณศศิเนี่ย"
"จะเรียกว่าแบบนั้น ก็ไม่ถูกนักหรอกค่ะ"
"บ่ายเบี่ยงได้เป็นมืออาชีพมากค่ะ"
เกลนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แววตาเพ้อฝัน ยิ่งรู้จักยิ่งชอบผู้หญิงคนนี้ ทั้งหน้าตาดี ทัศนคติดี และ อ๊ายยย...น่ารักไปหมด ชอบจังเลย น่ารักมากเลย อยากได้ที่สุด
"แค่มองก็รู้แล้วว่าคุณศศิเป็นแรห์ไอเท็มของวงการ LGBTQ เกลขอสมัครมาอยู่ในด้อมของคุณศศินะคะ"
ศศิกานต์จำคำนี้ได้ ฝืนยิ้มให้หล่อน มองดูขนมที่เธอไม่สามารถกินได้ เกลเองก็เช่นกัน แค่เขี่ยของกินในจาน แล้วดื่มน้ำแก้คอแห้ง
"ถ้าคุณเกลมีอะไร ก็สอนศศิบ้างนะคะ ศศิยังใหม่"
"เกลเคยให้สัมภาษณ์ในงานอีเว้นท์ยาสีฟันยี่ห้อหนึ่ง ว่าเคล็ดลับสำคัญในอาชีพของเรา คือ การฝึกซ้อม ฝึกซ้อม และฝึกซ้อมค่ะ คุณศศิจะเอาไปใช้บ้างก็ได้นะคะ ไม่ติด"
ชายชุดดำถ่ายรูปสองสาวระหว่างนั่งในร้านคาเฟ่ไปอีกหลายภาพ จนรุ่งเช้า คนร่างสูงก็ได้ทราบว่าตกเป็นเครื่องมือของวงการแห่งดวงดาวไปแล้ว
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว