“ศรัทธาเป็นดั่งดาบ — ในมือของผู้มีเมตตา มันปกป้อง
แต่ในมือของผู้หวาดกลัว มันเฉือนแม้แต่เสียงของเทวดา”
— บันทึกลับจากพระโคเคียว
ขบวนของอากิระมาถึงประตูเมืองชิโรยามะภายใต้บรรยากาศอึมครึม
“ศรัทธาคือกำแพง ศีลธรรมคือมีด ใครก้าวผ่าน…จงรับผล”
นางไม่ได้รับการต้อนรับแบบทูต
ในห้องแคบสลัว
โคเคียว: “เจ้ามาในนามสันติภาพ หรือในนามของชายผู้ใช้เจ้าเป็นดาบ?”
อากิระสบตานิ่ง
อากิระ: “ข้ามาเพื่อรับคำสารภาพ ไม่ใช่เพื่อกล่าวแก้ตัว”
โคเคียวยิ้มบาง
“ดี…เพราะเมืองนี้ไม่ยอมให้ใครสั่งสอน
เรามีพระเจ้า — แต่ข้าคือคนตีความพระเจ้า”
อากิระถูกบังคับให้ผ่าน “พิธีซักใจ”
นักบวช: “เจ้าศรัทธาในสันติภาพ หรือในชัยชนะ?”
นักบวช: “เจ้าปรารถนาให้เลือดหยุดไหล หรือเพียงอยากให้เลือดนั้นไม่ใช่ของเจ้า?”
นักบวช: “เมื่อเจ้าฆ่าเพื่อปกป้อง เจ้าปกป้องใครกันแน่…?”
อากิระไม่ตอบทุกคำถาม
“ข้าไม่กลัวถูกเข้าใจผิด
แต่ข้ากลัวว่าคำพูดของข้าจะกลายเป็นเหตุผลให้ฆ่าผู้อื่น”
ระหว่างนั้น มีข่าวลือว่าอากิระคือ “ลูกนอกสายเลือดของท่านคาเงะ”
ชาวเมืองบางส่วนเริ่มแอบขีดข้อความในตรอกซอย:
“เงาแห่งสงครามแฝงมาในรูปของหญิงผู้ไม่ยิ้ม”
และแล้ว — ศิษย์เก่าของซันซูในเมือง ก็รวบรวมพลตั้งชื่อกลุ่มว่า
“เงาอาบเพลิง” พร้อมจะจุดชนวนความรุนแรง
คืนที่สาม
โคเคียว: “เจ้ารู้ไหม...ที่นี่แต่ก่อนเคยเป็นคุก
นักโทษทุกคนถูกบังคับให้สวดมนต์จนลืมชื่อของตน
ข้าชอบสถานที่นี้… เพราะมันเงียบเหมือนความตาย”
อากิระ: “เจ้ากลัวความเงียบหรือชอบมันกันแน่?”
โคเคียว: “ข้าชอบมัน — เพราะในความเงียบ ไม่มีคำโกหก”
วันรุ่งขึ้น
“อากิระแห่งคุโรมิเนะ…ผ่านการซักใจ
แต่การยอมรับนาง… ต้องผ่านการเลือกของฟ้าดิน
ข้าจะให้ท่านพิสูจน์ผ่าน ‘ศึกศรัทธา’ — การประลองกับผู้พิทักษ์แห่งศรัทธาเมืองนี้
ผู้ชนะจะได้สิทธิ์กล่าวแทนพระเจ้า
ผู้แพ้…จะถูกลืมไปตลอดกาล”
ในสนามศักดิ์สิทธิ์กลางเมือง
เสียงสวดดังกึกก้อง
"ผู้เงียบที่เริ่มพูด” – คนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ลมฤดูหนาวร่วงผ่านยอดไม้ในเขตตะวันออกของแคว้นยามาโนะ เสียงของสายลมยังไม่ดังเท่าเสียงในใจคนที่กำลังเปลี่ยนไปณ ปราสาทฮิรายามะ ปราสาทที่สูงตระหง่านกลางหุบเขา เคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอำนาจเก่า ภายใต้การปกครองของตระกูลอาโออิ — ตระกูลที่ภายนอกดูแข็งแกร่งไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่ภายใน…เริ่มแตกร้าวโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยชายหนุ่มนามว่า อาโออิ อาคินาริเขาเป็นบุตรคนรองของผู้นำตระกูลไม่มีตำแหน่งในสภาไม่มีบทบาทในกองทัพไม่มีเสียงในพิธีใหญ่และที่สำคัญ…ไม่มีใครเคยเห็นเขาพูดเกินสามคำในที่สาธารณะเขาคือ “คนเงียบ” แห่งตระกูลอาโออิแต่เมื่อเงาเริ่มเดินกลางเมืองเมื่อสมุดที่ไม่มีชื่อกลายเป็นสมบัติประจำหมู่บ้านและเมื่อเสียงของเด็กๆ แทรกซึมเข้าสู่ห้องที่เคยปิดตาย…เสียงของผู้เงียบ…เริ่มก้องดังกว่าธงใด เงาที่ไม่มีใครฟังอาคินาริเติบโตมาท่ามกลางคำสั่งของพี่ชายและกฎของบิดาเขาฝึกดาบตั้งแต่ห้าขวบอ่านตำราศาสนจักรตั้งแต่เจ็ดขวบและเรียนรู้วิธีไม่พูดตั้งแต่อายุเก้าขวบเพราะในบ้านของเขา การแสดงความเห็นถือเป็นความอ่อนแอการตั้งคำถามคือการทรยศและการพูดถ
“บทที่ไม่มีผู้เขียน” – สมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อเมื่อเสียงไม่ต้องการเครดิต…แต่มุ่งหวังจะถูกฟังลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านศาลาฟังในหมู่บ้านอุซึมิแผ่นไม้ที่เปลือยเปล่าไร้เครื่องตกแต่งกลายเป็นจุดรวมของผู้คนหลากวัยที่เข้ามา—บางคนเงียบบางคนกระซิบและบางคน…เขียนลงไปในสมุดเล่มหนึ่งสมุดที่ไม่เคยมีชื่อเจ้าของและไม่เคยมีใครอ้างว่าเขียนคนแรกมันคือ “สมุดฟัง”สมุดเล่มเดียวที่วางอยู่กลางศาลาทุกคนมีสิทธิ์เขียน แต่ไม่มีใครลงชื่อมันคือบทที่ไม่มีผู้เขียนและมันกำลังกลายเป็นพิธีกรรมใหม่ของยุคที่ไม่มีคำสั่งเสียงที่ไร้เจ้าของ เริ่มเขียนเรื่องที่ทุกคนกลัวจะพูดข้อความแรกในสมุดคือลายมือหยาบ ๆ “ข้าคือผู้ที่เคยเผาบ้านคนอื่น เพราะมีพระสั่งให้ทำตอนนี้ข้าเห็นหน้าลูกเขาทุกคืนในฝันข้าไม่ได้ต้องการให้อภัยข้าแค่อยากให้ชื่อเขายังอยู่ในโลกนี้”บรรทัดถัดมาเป็นลายมือเล็ก ๆ ที่แค่เขียนว่า “ขอบคุณ...ที่เขียนแทนข้าข้าคือเด็กคนนั้น”ไม่รู้ใครเขียนก่อนไม่รู้ใครตอบไม่มีชื่อไม่มีอายุไม่มีคำลงท้ายแต่เมื่อใครสักคนเดินเข้ามานั่งลงหน้าสมุดพลิกอ่านแล้วเริ่มเขียนด้วยตนเอง…ศาลาฟังที่ไม่มีผู้นำ แต่มีคนต่อ
“แผ่นดินที่ไม่ต้องสวด – เมื่อการฟังกลายเป็นวิธีอยู่ร่วม”โลกไม่ได้เปลี่ยนด้วยสงครามแต่มันเปลี่ยน…เพราะผู้คนฟังกันมากพอจนไม่ต้องรบรุ่งอรุณแห่งฤดูที่สามไม่มีเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีประกาศิตจากศาสนจักร ไม่มีธงตระกูลใดโบกไหวแต่ทั่วแผ่นดินกลับตื่นขึ้นพร้อมกัน—ด้วยเสียงของกันและกัน“ข้าจำได้ว่าเขาชื่อโทมิสุ เขาเคยสอนเด็ก ๆ ซ่อมรองเท้า...”“น้องสาวข้า ชื่ออาเคะ เธอเคยพูดว่าเสียงหัวเราะของแม่ดังที่สุดในเมือง...”เสียงเหล่านั้นเบา…แต่ลึกราวกับรากไม้ที่หยั่งลงไปในดินที่เคยแห้งผากจากเลือดและคำสั่งณ จัตุรัสกลางแห่งอิวะซากิ ศูนย์กลางเก่าของอำนาจและสงครามวันนี้กลายเป็นที่รวมของผู้ไม่ต้องการอำนาจ แต่ต้องการความหมายไม่มีเวที ไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีลำดับการพูดทุกคนต่างยกสมุดขึ้น...และพูดชื่อคนที่เคยถูกลืม คนที่ไม่มีบทสวดรองรับ คนที่ไม่มีศพให้ฝังในมุมเงาหนึ่งของจัตุรัสฮากุโร่นั่งพิงเสากลางหินร่างของเขายังพันด้วยผ้าพันแผลเก่าแต่ดวงตาเบิกกว้างเหมือนดวงจันทร์ที่สว่างในคืนไร้ไฟข้างกายเขา สมุดเล่มหนึ่งเปิดค้างไว้ข้อความในหน้ากระดาษไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่คือรอยนิ้วเปื้อนดินเด็กคนหนึ่งในเมืองท
ตอนพิเศษ “สมุดที่ไม่เคยเขียนจบ” — บันทึกเงาของซาโยะสมุดที่ไม่เคยเขียนจบ— บันทึกเงาของซาโยะ —ข้าไม่รู้ว่ากำลังเขียนเพื่อใครและไม่แน่ใจว่าใครจะอ่านสิ่งนี้ในภายหลังแต่หากไม่มีใครเลย...ก็ให้มันเป็นเพียงเสียงในเงา ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ข้าเขียนในคืนที่ฮากุโร่ยังนั่งเงียบอยู่ในวิหารภายใต้โคมเพียงหนึ่งดวง ที่ไม่รู้ว่าจะแสงถึงเช้าไหมฮากุโร่ไม่ใช่คนเดิมหรือบางที...เขาเพิ่งได้เป็น “ตัวตน” จริง ๆ ครั้งแรกเขาไม่ใช่ขุนศึกอีกแล้วไม่ใช่เสียงสั่งการ ไม่ใช่เงาที่วางกลยุทธ์เขาเป็นเพียงชายคนหนึ่ง ที่นั่งลงหน้าสมุด แล้วไม่พูดอะไรเลยแต่เพราะเขาไม่พูดข้าจึงเริ่มได้ยินเสียงในใจตนเอง เสียงของข้าและเสียงของคนที่ไม่เคยถูกฟังมาก่อนครั้งหนึ่งข้าเคยเกลียดเขาด้วยทั้งเลือดของพ่อข้า และน้ำตาของแม่แต่ความเกลียดก็เป็นเงาเช่นกันมันไล่ตามแสง เมื่อข้ายิ่งใกล้เขาจนวันหนึ่งข้าเริ่มรู้สึกว่าหากเขาเป็นเงา…ข้าเองก็คือผู้ที่อยู่ใต้แสงนั้นและเงานั้น…ไม่ได้บดบังข้าแต่มันโอบล้อมข้าไว้ในคืนที่เขากลับมาข้ามองมือที่เขาสูญไปมือที่ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่ามันสังหารพ่อข้ามือที่ครั้งหนึ่งแตะหลังข้าในห้องหอครั้ง
เงาที่ฟังได้เมื่อนักรบกลับมาโดยไร้ดาบและการฟังกลายเป็นชัยชนะเดียวที่ยังเหลืออยู่เสียงรองเท้าไม้แตะพื้นหินของวิหารเก่าในแคว้นอาคิซึนั้นเบาเกินจะเป็นเสียงของนักรบ แต่พอแรงพอให้หัวใจของผู้เฝ้าประตูสะดุดจังหวะฮากุโร่ — ขุนศึกเงาที่หายสาบสูญไปกว่าแปดเดือน — เดินกลับมาผ้าพันแผลปิดครึ่งใบหน้าข้างขวามือข้างหนึ่งหายไปแขนอีกข้างยังเต็มไปด้วยบาดแผลที่ไม่สมควรอยู่บนร่างของผู้ที่เคยควบคุมแผนรบหลายสิบสนามแต่เขาเดินอย่างไม่ลังเลไม่เหมือนคนบาดเจ็บไม่เหมือนแม่ทัพเหมือนผู้ชายคนหนึ่ง…ที่กลับบ้านในห้องศาลาว่างกลางวิหารไม้โต๊ะเรียบไม่มีเครื่องเซ่น ไม่มีธง ไม่มีแท่นศักดิ์สิทธิ์มีเพียงสมุดเล่มหนึ่งเปิดวางไว้“สมุดฟัง” — สมุดเล่มแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้รอดจากพิธีล้างข้างในคือชื่อของผู้ที่ไม่มีชื่อในตำราเสียงของผู้ตายที่ไม่เคยถูกนับความทรงจำของเด็กคำพูดของคนแก่บันทึกของแม่ที่เคยพูดกับลูกเพียงครั้งเดียวก่อนจากไปฮากุโร่นั่งลงหน้าสมุดนั้นเงียบไม่พูดไม่แตะต้องไม่เอ่ยคำใดเขาแค่นั่งแล้วฟัง“เขายังมีลมหายใจจริงหรือ?”ขุนพลแห่งตระกูลยามาโนะกระซิบ“ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้วที่อิคุซะโนะโมริ”“ไม่ใ
การสวดโดยไม่มีพระเมื่อคำที่ออกจากปากคนธรรมดา กลายเป็นพิธีที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำลานหน้าศาลาไม้หลังเก่าในหมู่บ้านฮินะมิ ปกคลุมด้วยหมอกจางในยามเช้าที่ตรงนั้นเคยเป็นที่ประกอบพิธีศพของศาสนจักรพระผู้เทศน์จากศูนย์กลางจะเดินทางมาสวดบทตามตำรา พิธีจะจบภายในหนึ่งชั่วโมงไม่มีน้ำตาไม่มีเสียงอื่นเพียงคำว่า “สว่าง” ถูกเอ่ยซ้ำ ๆแต่วันนี้... ไม่มีพระมาสวดผู้คนยังยืนเรียงกันบางคนถือสมุดเล่มเล็กบางคนมีเพียงเศษกระดาษจารด้วยชื่อศพของ “อาคาเนะ” หญิงชราผู้เสียชีวิตในคืนที่ผ่านมา ถูกวางไว้กลางเสื่อหญ้าไม่มีเทียนไม่มีธูปไม่มีแท่นบูชามีเพียงหลานชายของนาง — เด็กชายวัยสิบสามชื่อ “โทริโอะ”ที่ยืนขึ้นเปิดสมุดเล่มหนึ่งและเอ่ยคำว่า“ข้าเคยฟังเธอร้องเพลงกล่อมตอนนั้นข้าไม่รู้ความหมายตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า…เธอกำลังพยายามให้ข้าจำเสียงของเธอ”ไม่มีใครขัด ไม่มีใครสวดแทรกเงียบก่อนที่หญิงอีกคน — ลูกสะใภ้ของอาคาเนะ — จะลุกขึ้นและกล่าวชื่อของสามีที่ตายไปก่อนหน้านี้แล้วตามด้วยชื่อของลูกสาวแล้วกล่าวว่า“ทุกชื่อที่เธอจำไว้ พวกเราจะจำต่อให้”และนั่นคือจุดเริ่มต้นของพิธีศพที่ไม่มีพระไม่มีบทไม่มีตราประทั