หน้าหลัก / วาย / เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde / บทที่ 6 เลือดไหลนองไปทั่วอาราเลีย

แชร์

บทที่ 6 เลือดไหลนองไปทั่วอาราเลีย

ผู้เขียน: Snowflake on Cherry Blossom
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-25 13:00:04

ในคืนที่เงียบสงบ ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน โรซาลีใช้เวลาร่วมกับลูกชายตัวน้อยในสวนรัตติกาล รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายอบอุ่น ขณะที่เธอช่วยรินดูแลแปลงดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ดอกไม้แต่ละดอกตอบสนองต่อสัมผัสของเธอ ราวกับพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รินหัวเราะเสียงใสเมื่อเถาวัลย์บางเส้นโยกไหวตามคำสั่งเวทมนตร์ของตัวเอง

“ดูสิ แม่! มันขยับได้แล้ว!” รินน้อยร้องเสียงใสพลางกระโดดด้วยความดีใจ

“ทำได้ดีมาก ริน พลังของลูกเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” โรซาลียิ้มอย่างภูมิใจ เธอลูบผมบุตรชายอย่างอ่อนโยน “แต่จงจำไว้ พลังนั้นต้องใช้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อทำลาย”

แต่ความสงบในคืนนั้นถูกทำลายลงทันทีเมื่อเสียงระเบิดดังสะเทือนเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มของโรซาลีหายไปในพริบตา ดวงตาของเธอหรี่ลงด้วยความกังวล เสียงกรีดร้องและเสียงโกลาหลดังมาจากตัวเมืองอาราเลีย

หนึ่งในอัศวินของสวนวิ่งเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท มีการจลาจลในเมืองอาราเลียครับ เกิดไฟไหม้และสร้างความเสียหายหลายจุด มีรายงานว่าผู้บริสุทธิ์กำลังถูกทำร้าย!”

“ก่อจลาจลงั้นหรือ? เกิดขึ้นได้อย่างไร?” โรซาลียืนขึ้นทันที ความวิตกกังวลในใจของเธอเพิ่มมากขึ้น

“เราไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ กลุ่มคนร้ายกำลังทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า และ...เราได้ยินว่ามีคนติดอยู่ในเมือง รวมถึงเด็กหนุ่มชื่อเคล ธอร์นด้วยครับ เขาถูกล้อมอยู่ในย่านการค้า”

โรซาลีหันไปหาหัวหน้าอัศวิน พ่อของเคล “คุณต้องไปช่วยพวกเขา รวมถึงเคลด้วย”

“แต่ฝ่าบาท...” หัวหน้าอัศวินกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเล “ถ้าเราส่งอัศวินออกไป สวนจะเหลือกำลังป้องกันเพียงน้อยนิด มันเสี่ยงเกินไปหากศัตรูโจมตีในตอนนี้”

โรซาลีสูดลมหายใจลึก เธอรู้ดีถึงความเสี่ยง แต่เธอไม่อาจเพิกเฉยต่อผู้บริสุทธิ์ที่กำลังทุกข์ทรมาน “ความปลอดภัยของผู้คนในเมืองสำคัญยิ่งนัก ฉันจะดูแลสวนเอง คุณนำกำลังที่ดีที่สุดไปช่วยพวกเขา และอย่าให้เคลเป็นอะไรไป”

แม้จะกังวลแต่หัวหน้าอัศวินก็พยักหน้าด้วยความเคารพ ก่อนนำอัศวินส่วนใหญ่ของสวนออกจากพื้นที่ มุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์

ขณะเดียวกัน ในความมืดของป่าโดยรอบ วิกเตอร์ยืนอยู่ท่ามกลางลูกน้องของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นแสงไฟและควันไฟจากการจลาจลที่เขาวางแผนเอง

“พวกมันหลงกล” วิกเตอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “อัศวินส่วนใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปยังตัวเมือง สวนรัตติกาลเหลือเพียงกำลังป้องกันเล็กน้อย ตอนนี้...มันเป็นของเรา”

เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ลูกน้องเริ่มเคลื่อนไหว คนในชุดดำกระจายตัวเงียบ ๆ ไปทั่วสวน เหมือนเงาที่คืบคลานเข้ามา ดอกไม้ที่เคยบานสะพรั่งเริ่มหุบตัว เหมือนรับรู้ถึงภัยร้ายที่กำลังมาเยือน

รินกำลังเล่นใกล้ ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงดังของแม่ ซึ่งปกติจะมีเสียงที่เรียบ อบอุ่น และปลอบโยน ทว่ายามนี้กลับเต็มไปด้วยความเร่งด่วนและความกลัว

“ริน รีบซ่อนตัว อยู่ที่ซ่อนให้ดีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” โรซาลีบอกเขา ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ขณะที่เธอผลักเขาเข้าไปในที่ซ่อนเล็ก ๆ

รินเชื่อฟัง หัวใจเต้นรัวขณะที่มองดูแม่ของเขาเผชิญหน้ากับผู้ชายของซินดิเคท วิกเตอร์ ซึ่งเป็นผู้นำการจู่โจม ยืนอยู่หน้าโรซาลีพร้อมรอยยิ้มที่โหดร้าย

โรซาลียืนรออยู่แล้ว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การโจมตีแบบสุ่ม แต่มันคือการวางแผนอย่างรอบคอบ และเป้าหมายของพวกมันก็คือสวนแห่งนี้

“ราชินีแห่งสวนรัตติกาล” วิกเตอร์กล่าว น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบและเต็มไปด้วยความดูถูก “แกปกป้องที่นี่ได้ดี แต่คืนนี้...จะเป็นคืนสุดท้ายของการปกครองของแก!”

โรซาลียืนตรง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เขาอย่างมั่นคง “ที่นี่ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น และไม่มีวันตกเป็นของพวกคุณ”

“โอ้ แต่ฉันต่างออกไป” วิกเตอร์กล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ เสียงฝีเท้าของเขาเหมือนเสียงกระทืบที่บดขยี้ความสงบ “ฉันมาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลง และไม่สนว่าใครจะต้องเสียสละเพื่อมัน”

ชายชุดดำของซินดิเคทก้าวออกมาจากเงามืด แต่ละคนถืออาวุธที่เปื้อนเลือดอยู่ในมือ บางคนหัวเราะในลำคอ บางคนกระซิบกันด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำกับสวนและผู้พิทักษ์ของมัน

“เรามาเล่นเกมกันดีกว่า” วิกเตอร์กล่าว เขาหันไปหาลูกน้อง “จับมันไว้ให้แน่น แต่จำไว้ว่าต้องไม่ทำให้มันตาย…จนกว่าข้าจะได้สิ่งที่ต้องการ”

ลูกน้องของเขาไม่รอช้า พวกมันพุ่งเข้าไปล้อมโรซาลี เธอปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาเป็นเกราะป้องกัน สวนรัตติกาลสั่นสะเทือน ดอกไม้เรืองแสงสว่างจ้าราวกับจะช่วยเธอสู้ แต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไป และเวทมนตร์ของเธอเริ่มอ่อนแรงลง

“ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของเรา อ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก! คิดว่าฉันจะปล่อยให้ร่ายเวทมนตร์ต่อเหรอ แกคิดผิดแล้ว” วิกเตอร์หัวเราะ

เขาเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเธอที่ทรุดอยู่บนพื้น “แกจะต้องพาฉันไปยังต้นไม้ลับ และเปิดเผยพลังของมัน หรือไม่…ฉันจะทำให้ลูกชายของแกเป็นคนสุดท้ายที่เธอได้ยินเสียงร้องไห้”

คำขู่นั้นทำให้โรซาลีเบิกตากว้าง เธอสูดลมหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ “อย่าแตะต้องเขา…”

“ฉันจะทำอะไรก็ตามที่จำเป็น” วิกเตอร์กล่าว เสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ดังนั้น จงเลือกให้ดี แกจะยอมทำตาม หรือจะให้ทุกสิ่งที่แกรักถูกทำลายต่อหน้าต่อตา”

โรซาลีสบตากับเขา สายตาของเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะไม่มีวันยอมให้พลังของสวนตกอยู่ในมือของคนอย่างแก”

“งั้นก็จบสิ” วิกเตอร์กระซิบ พร้อมหันไปสั่งลูกน้อง “ถ้าเราควบคุมมันไม่ได้ ก็ทำลายมันซะ!”

ลูกน้องของเขาเริ่มทำลายสวน ดอกไม้ที่เคยงดงามถูกเหยียบย่ำ เถาวัลย์ถูกตัดจนขาดสะบั้น โรซาลีสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใช้พลังเฮือกสุดท้ายสร้างเกราะป้องกันบางส่วนของสวน เธอปิดผนึกความลับของสวนไว้กับต้นโอ๊ก ร่างของเธอเปล่งแสงสีทอง ก่อนที่พลังนั้นจะหมดลง

วิกเตอร์มองดูเธอล้มลง รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “ในที่สุด…ราชินีผู้ไร้พลัง”

โรซาลีต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่เธอมี ใช้เวทมนตร์ทั้งหมดเพื่อปกป้องสวนและลูกชายของเธอ แต่ด้วยคนที่มากกว่าเธอถูกล้อมและอัศวินของเธอไม่อยู่ในขณะนั้น ทำให้เธอถูกเอาชนะ ในช่วงเวลาสุดท้าย เธอร่ายเวทมนตร์สุดท้ายเพื่อปิดผนึกความลับของสวน ตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความรักขณะที่เธอกระซิบ “เพื่อลูก ริน ที่รัก เพื่อลูกเสมอ”

เมื่อวิกเตอร์เห็นเช่นนั้น จึงตะโกน “ดี! ถ้าเราไม่ได้พลัง คนอื่นก็ห้ามเอามันไป ฆ่ามันซะ”

รินมองด้วยความตกใจอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เห็นแม่ของตนล้มลงกับพื้น น้ำตาไหลลงใบหน้าเขากัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น น้ำหนักของช่วงเวลานั้นบดขยี้เขา ด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ รินวิ่งออกจากที่ซ่อนด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อออกจากสวน เขาไม่หยุด ไม่หันกลับมามอง หลบหนีเข้าสู่ความมืดด้วยความกลัวที่เป็นเพื่อนคนเดียวของเขา

เมื่อพ่อของเคลและทหารที่เหลือกลับมาถึงสวน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้หัวใจของพวกเขาหยุดเต้น ร่างของโรซาลีผู้เป็นที่รักนอนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางลานที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลับเย็นเยียบและเงียบงัน จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจที่แตกสลายของทุกคน

“ฝ่าบาท...” พ่อของเคลกระซิบ เสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนสายลมที่ขาดห้วง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ ร่างสูงสง่าในชุดเกราะทรุดลงคุกเข่า มือที่เคยมั่นคงสั่นระริกเมื่อยื่นออกไปสัมผัสร่างของราชินีที่เขาเทิดทูน

“กระหม่อม…มาสายเกินไป” เขากล่าวด้วยเสียงสะอื้น ราวกับคำพูดนั้นตอกย้ำความล้มเหลวของตัวเอง น้ำตาไหลลงอาบใบหน้าเมื่อสัมผัสกับความเย็นจากผิวเธอ “กระหม่อมสาบานว่าจะปกป้องฝ่าบาท...แต่กระหม่อมล้มเหลว กระหม่อมขออภัย… กระหม่อมขออภัยจริง ๆ”

ร่างของเขาสั่นสะท้าน ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ เขาโอบร่างของโรซาลีไว้ในอ้อมแขน มืออีกข้างลูบใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทเสียสละทุกอย่างเพื่อปกป้องสวน...กระหม่อมกลับไร้ความสามารถแม้แต่จะช่วยชีวิตฝ่าบาท”

ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นเคลตัวน้อยที่ยืนอยู่ห่างออกไป เด็กชายจ้องมองร่างไร้ชีวิตของโรซาลีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ขาของเขาสั่นเหมือนจะทรุดลงทุกเมื่อ

“ราชินี...” เคลกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงของเขาแตกพร่า ขณะที่ร่างเล็ก ๆ พยายามก้าวเข้าไปใกล้ พ่อของเคลรีบเอื้อมมือไปจับตัวลูกชายไว้ โอบเขาแน่นในอ้อมกอด

“อย่า…อย่าดูเลยลูก” เขากระซิบ น้ำเสียงสั่นเครือราวกับคนหัวใจใกล้จะแตกสลาย “มันไม่ใช่ความผิดของลูก…มันเป็นความผิดของพ่อ…”

ทหารคนอื่น ๆ ที่กลับมาพร้อมกันต่างยืนนิ่ง ทุกคนต่างก้มหน้า หลายคนปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มในความเงียบที่โศกเศร้า ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด เพราะไม่มีคำใดที่สามารถบรรเทาความสูญเสียนี้ได้

ทันใดนั้น หนึ่งในทหารพยายามตั้งสติและเอ่ยขึ้น “แล้ว… เจ้าชายล่ะ? เจ้าชายอยู่ที่ไหน?”

คำถามนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางวง ทุกคนชะงักและมองไปรอบ ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขาเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ขาดหายไป เจ้าชายริน ซึ่งเป็นความหวังเดียวของสวนแห่งนี้

“เจ้าชาย!” เสียงของทหารอีกคนดังขึ้น “เราต้องหาเจ้าชาย! เขาอาจยังซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวน”

พ่อของเคลรีบลุกขึ้น แม้หัวใจจะหนักอึ้ง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าหน้าที่ของตนยังไม่จบ

“กระจายกำลังออกไปค้นหาเจ้าชายทันที!” เขาสั่ง น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเร่งด่วนและกังวล “อย่าให้มีมุมใดของสวนที่ไม่ถูกตรวจสอบ เจ้าชายต้องอยู่ที่นี่…ต้องอยู่ที่นี่…”

“เจ้าชาย! ท่านอยู่ที่ไหน!” ทหารทุกคนเริ่มออกค้นหา พวกเขาเรียกชื่อรินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงสะท้อนก้องไปทั่วสวนรัตติกาล แต่ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีสัญญาณของเจ้าชายที่พวกเขาปกป้องด้วยชีวิต

เมื่อการค้นหาผ่านไปหลายชั่วโมงโดยไร้วี่แววของเจ้าชาย พวกเขากลับมายังลานที่ร่างของโรซาลีนอนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเหนื่อยล้า แต่ไม่มีใครยอมละทิ้งความพยายามที่จะหาเจ้าชาย

“กระหม่อมขอโทษ ฝ่าบาท…กระหม่อมไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปกป้องฝ่าบาท แต่กระหม่อมยังปล่อยให้เจ้าชายหายไป…” พ่อของเคลคุกเข่าลงข้างร่างของโรซาลีอีกครั้ง ก่อนมองใบหน้านิ่งสงบของเธอ น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย เขาสูดลมหายใจลึก พยายามรวบรวมความมุ่งมั่นที่แตกสลาย

“แต่กระหม่อมสัญญา…กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้ความเสียสละของฝ่าบาทไร้ความหมาย กระหม่อมจะหาเจ้าชายให้พบก่อนที่อะไรเลวร้ายจะเกิดขึ้น…กระหม่อมจะปกป้องพระองค์ในฐานะอัศวิน…และในฐานะคนที่เทิดทูนฝ่าบาทที่สุดในชีวิต”

เขาเงยขึ้นมองทหารที่ล้อมรอบ ใบหน้าของเขาเปื้อนน้ำตา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “เจ้าชายคืออนาคตของสวนนี้ คือความหวังสุดท้ายของพวกเรา พวกเจ้าได้ยินไหม? เราจะหาเจ้าชายให้พบ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน หรือเจอกับอะไรก็ตาม”

“พวกเราจะหาเจ้าชายให้พบ!” ทหารทุกคนพยักหน้า น้ำตาเอ่อในดวงตา แต่พวกเขากล่าวปฏิญาณพร้อมกันอย่างมุ่งมั่น

เมื่อทุกคนช่วยกันฝังร่างของโรซาลีในที่ที่เธอรักที่สุด ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉารอบ ๆ เหมือนจะยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ราวกับแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย แสงจันทร์สาดส่องลงบนหลุมศพของเธออย่างอ่อนโยน เสียงลมที่พัดผ่านเหมือนเสียงกระซิบอันเศร้าสร้อยของสวน

พ่อของเคลลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฝ่าบาท…กระหม่อมสัญญา สวนนี้และเจ้าชายของฝ่าบาท… กระหม่อมจะปกป้องพวกเขาจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของกระหม่อมจะหมดลง”

สวนรัตติกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน เสียงนั้นราวกับเป็นคำตอบรับจากดินแดนที่เคยเป็นของราชินีที่พวกเขารัก

“เคล” เขาเริ่มพูดเบาๆ ราวกับว่ากำลังพูดกับตัวเอง” ครอบครัวของเราถูกเลือกให้เป็นอัศวินของสวนนี้มาหลายชั่วอายุคน มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะปกป้องมันและผู้ที่เชื่อมโยงกับมัน เมื่อพ่อไม่อยู่ หน้าที่นี้จะตกเป็นของลูก ลูกต้องหาตัวเจ้าชายและปกป้องเขา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”

เขารู้ว่าภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าชายน้อยหายไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง การหาตัวเขาจะเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของเด็กชายเท่านั้น แต่เพื่ออนาคตของสวนเอง

หลายปีผ่านไป เคลเติบโตขึ้นมาเป็นผู้พิทักษ์ของสวน แต่เขายังได้ยินคำพูดของพ่อที่ก้องอยู่ในใจ เขาใช้เวลามากมายหลายค่ำคืนในการตามหาเจ้าชายที่สูญหาย หวังจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์

เคลมักจะพบว่าตัวเองอยู่ในสวน สถานที่ที่พ่อของเขาเคยยืน คิดถึงสิ่งที่เขาต้องปกป้องไว้ เขาเคยพบชื่อโรซาลีหลายครั้งในบันทึกโบราณของสวน และยิ่งเขาเรียนรู้มากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกถึงภาระหน้าที่ของตนมากขึ้นเท่านั้น

สวนที่มีบรรยากาศลึกลับและความลับที่ฝังลึกยังคงเป็นที่หลบภัย ภารกิจของเคลชัดเจน เพื่อปกป้องสวนและมรดกของโรซาลี เพื่อให้แน่ใจว่าซินดิเคทจะไม่สามารถเข้าถึงพลังของมัน เขารู้ว่าการหาตัวรินและปกป้องเป็นชะตากรรมของตนเช่นเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อได้ทำนายไว้

คืนหนึ่ง ขณะที่เคลยืนอยู่ข้างต้นไม้ลับ พลันรู้สึกถึงการปรากฏตัวที่คุ้นเคย เขาเคยสงสัยว่าจิตวิญญาณของพ่อยังเฝ้าดูสวนอยู่หรือไม่ คืนนี้เขารู้สึกถึงมันอย่างแรงกล้า

“ผมจะหาตัวเขาให้เจอครับ พ่อ” เคลกระซิบบอกต้นไม้ลับ” ผมจะปกป้องเขาและสวน ผมสัญญา”

ขณะที่แสงจันทร์ส่องสว่างอยู่เบื้องบน สวนดูเหมือนจะส่งเสียงพึมพำด้วยความเห็นชอบ กุหลาบต้องห้ามที่ซ่อนลึกในสวนเริ่มแสดงสัญญาณของชีวิต กลีบดอกเริ่มคลี่ออกอย่างช้า ๆ ใต้แสงจันทร์

เคลรู้ว่าการเดินทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความทรงจำของพ่อและคำสัญญาที่เคยได้ให้ไว้ ทำให้เขาพร้อมเผชิญกับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า พลังและความลับของสวนจะยังคงได้รับการปกป้อง และเขาจะหาตัวเจ้าชายให้เจอ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 16 เสียงสะท้อนของความเศร้า

    ในช่วงเวลาเดียวกันที่มาร์คัสเริ่มวางยาพิษวิกเตอร์ การเคลื่อนไหวในเงามืดก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสวนรัตติกาลและซินดิเคทผ่านสายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มอัศวิน โดยเป้าหมายคือสร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มาร์คัสนั่งอยู่ในห้องประชุมลับ ไฟในห้องถูกปรับให้มืดลงสร้างบรรยากาศที่กดดัน ลูกน้องของเขารายล้อมโต๊ะยาวสีเข้ม ดวงตาทุกคู่จับจ้องมาร์คัสที่กำลังอธิบายแผนการ“ฉันปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว” มาร์คัสเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะที่เลื่อนสายตาไปมองลูกน้องทีละคน “อัศวินแห่งสวนจะได้ยินว่าซินดิเคทกำลังเตรียมการโจมตีสวน ส่วนไอเดน...เจ้าหนูผู้ทะเยอทะยานนั่น มันจะถูกล่อให้ไปที่โกดังร้างนอกเมืองด้วยคำบอกเล่าลวงๆ เกี่ยวกับเบาะแสของสวน”“แต่ถ้าท่านไอเดนเอาชนะสถานการณ์นี้ได้ล่ะครับ เขาอาจพลิกกลับมาเป็นผู้ชนะ” หนึ่งในลูกน้องยกมืออย่างระมัดระวังมาร์คัสหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครรอดกลับมาได้ ไม่ว่าอัศวินหรือไอเดน ฉันมีคนเตรียมพร้อมที่

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 15 การปลดปล่อยความชั่วร้าย

    แสงไฟริบหรี่สะท้อนภาพเงาบิดเบี้ยวของมาร์คัสบนกำแพงห้อง เหมือนปีศาจที่คอยล่าเหยื่อ ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของวิกเตอร์ที่แทบจะสิ้นแรง มาร์คัสเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเยือกเย็นแต่เปล่งประกายด้วยความกระหายอำนาจเขาหยุดยืนข้างเตียง มองวิกเตอร์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเริ่มพูดเสียงแผ่ว “ท่าน...ท่านไม่เคยคิดเลยสินะ ว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ข้าคือคนที่อยู่เหนือกว่า วันที่ข้าคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง”ดวงตาที่อ่อนแรงของวิกเตอร์พยายามลืมขึ้นมาสบตากับลูกชาย ความตกใจและความโกรธเกรี้ยวฉายชัด “มาร์คัส...หมายความว่าอย่างไร?”มาร์คัสหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นเยียบเย็นพอที่จะทำให้เลือดของใครก็ตามที่ได้ยินแข็งตัว เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบที่หูของวิกเตอร์ “พ่ออยากรู้ไหมว่าทำไมถึงอ่อนแอลงทุกวัน? มันไม่ใช่ชะตากรรม มันไม่ใช่โรคภัย...มันคือฝีมือผมเอง ผมแค่วางยาพิษในอาหารทุกมื้อของพ่อ ทุกสิ่งที่พ่อดื่มเข้าไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกเฟ้นอย่างดีให้มันกัดกร่อนร่างกายพ

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 14 เริ่มต้นแผนการทำลายศัตรู

    มาร์คัสนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงมืดสลัว ความเงียบงันในห้องตัดกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ลอยมา ดวงตาของมาร์คัสเปล่งประกายด้วยความอาฆาต ขณะจ้องมองไปยังไอเดนและเคียแรน รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าไอเดนเป็นเหมือนเปลวไฟที่โหมกระพือความโกรธในใจให้ลุกโชน“แกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชายในนิทาน... แกก็แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของพ่อ ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงหลงแก แต่ฉันจะทำให้มันจบลงเอง” มาร์คัสคิดขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบเสียงคำพูดของไอเดนเกี่ยวกับ “สวน” และ “อัศวิน” ลอยเข้ามาในหู แม้มาร์คัสจะไม่ได้ยินชัดเจนทุกคำ แต่ความหมายก็กระตุ้นความสนใจขึ้นทันที ราวกับว่าคำเหล่านั้นเป็นกุญแจไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหา“สวน...อัศวิน...” มาร์คัสพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ ขณะครุ่นคิดถึงตำนานและพลังลึกลับที่ถูกกล่าวขานเกี่ยวกับสวนรัตติกาลเขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้มเย็นเยียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชาจนสามารถทำให้อากาศในห้องเย็นลง “ฉันจะใช้มันทำลา

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 13 ความฝันอันลึกลับ

    ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์ลอดผ่านม่านโปร่งผืนบางที่หน้าต่างห้องของไอเดน แสงสีนวลนั้นทาบเงาจาง ๆ บนผนัง ความเงียบดูเหมือนจะกดทับทุกสิ่ง ราวกับเวลาในโลกภายนอกหยุดนิ่ง บรรยากาศชวนให้อึดอัดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียงลมพัดเบา ๆ กลายเป็นดนตรีพื้นหลัง ขณะที่ไอเดนนอนอยู่บนเตียง เขาหลับตา แต่จิตใจกลับวิ่งพล่าน ภาพจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังคงดังก้องในหัว“ราชินี...เจ้าชาย...สวนรัตติกาล...”เสียงเหล่านี้เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ กระตุ้นบางสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในใจในฝัน ไอเดนพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสวนที่งดงามเกินจริง ทุกอย่างดูเรืองรองภายใต้แสงจันทร์ ดอกไม้หลากสีเปล่งแสงนุ่มนวล ราวกับมีชีวิต อากาศอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนของมวลบุปผา แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเขาก้าวเท้าเดินไปอย่างลังเล เสียงกระซิบจากดอกไม้รอบตัวดังก้องเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จบสิ้น หญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 12 ถ้อยคำอันคุ้นเคย

    ในคืนที่เงียบสงัด กลางฤดูใบไม้ร่วงอันเยือกเย็น แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่เรียงรายอยู่ตามทางเดินของคฤหาสน์ซินดิเคท สะท้อนแสงเป็นเงารูปทรงแปลกตาบนพื้นหินอ่อน ความเงียบไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดกลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นเทียนที่กำลังมอดไหม้ในโคมระย้าด้านบนกระจายตัวในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพิ่มความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวไอเดนอย่างแผ่วเบา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ ไอเดนเดินเท้าเปล่าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่ดังไปกว่าเสียงเข็มนาฬิกาในความเงียบก่อนจะออกมาเดินในเวลานี้ ไอเดนไม่สามารถหลับลงได้ แม้จะอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบแต่ความคิดในหัวของเขายังคงตีกันวุ่นวาย ความทรงจำราง ๆ ที่แฝงความเจ็บปวดทำให้เขาต้องหาที่หลบหนี ความมืดรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และจะมีสิ่งหนึ่งที่เขามักทำยามค่ำคืนที่เขาไม่อาจข่มตานอนได้คือ การวาดรูปโต๊ะในห้องของไอเดนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษขาวสะอาด บางแผ่นมีลายเส้นสีสดใสของดอกไม้ที่แบ่

  • เสียงเพรียกแห่งสวนรัตติกาล | Whispers of the Midnight Garde   บทที่ 11 รินเติบโตขึ้นเป็นไอเดนผู้ทรงอำนาจ

    ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status