ตอนที่
[3] เหยื่อล่ออ๋องพยัคฆ์ “เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังออกมาจากรถม้าพระที่นั่ง แม้จะราบเรียบ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจจนทำให้ทุกคนต้องหยุดการกระทำทั้งหมด หลี่ซ่างเอินชะงักฝีเท้า นางแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองอย่างช้า ๆ หัวใจเต้นระรัวด้วยความลิงโลด แต่นัยน์ตากลับแสดงออกเพียงความสับสนและมีความหวังริบหรี่ ม่านรถม้าถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ภายใน แสงแดดสาดส่องขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนของเขาดูเจิดจ้าจนน่าพรั่นพรึง รัศมีแห่งความสูงศักดิ์และเย็นชาแผ่ออกมาจนอากาศรอบกายดูจะหนาวเหน็บลงถนัดตา วินาทีที่ได้สบตากับเขา หลี่ซ่างเอินก็แสร้งทำเป็นหยุดหายใจไปชั่วขณะ นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำทันที ไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ ปฏิกิริยานั้นดูเหมือนการก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวต่อบุรุษแปลกหน้าผู้ทรงอำนาจอย่างแท้จริง ซ่งเว่ยหลิงหรี่ตามองภาพนั้นอย่างพิจารณา “หยางซานฉี ส่งคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ” “พ่ะย่ะค่ะ!” หยางซานฉีรับคำและส่งสัญญาณให้ทหารสองนายควบม้ากลับไปทางที่สตรีทั้งสองวิ่งออกมาทันที สายตาเย็นชาของซ่งเว่ยหลิงกวาดมองร่างที่เปื้อนเลือดของหลี่ซ่างเอินอีกครั้ง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหนีโจรมา เช่นนั้นพวกมันอยู่ที่ใด” หลี่ซ่างเอินสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกถามตรง ๆ นางรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ข้า... ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากลัวมาก... เห็นเพียงไจ้หลิน... บ่าวของข้าพยายามสู้กับพวกมันเพื่อปกป้องข้า แล้ว... แล้วพวกมันก็เหมือนจะทะเลาะกันเอง... แล้วก็... ก็เกิดการต่อสู้กันจน... จนข้าฉวยโอกาสตอนชุลมุนพานางวิ่งหนีออกมา... ข้า... ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ!” นางแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน ผลักความน่าสงสัยทั้งหมดไปให้ไจ้หลิน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแสดงความหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา ไจ้หลินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่อ้าปากค้าง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของคุณหนู นางจึงทำได้เพียงก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไป ซ่งเว่ยหลิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย บ่าวรับใช้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งนี่น่ะหรือ? ไม่นานนักทหารที่ถูกส่งไปตรวจสอบก็กลับมารายงานเสียงดังฟังชัด “เรียนท่านอ๋อง! พบศพโจรป่าหกศพและสารถีอีกหนึ่งศพที่กลางป่าพ่ะย่ะค่ะ! สภาพศพของโจรทั้งหมด... ถูกสังหารด้วยอาวุธมีคมเพียงครั้งเดียวที่จุดตายพ่ะย่ะค่ะ!” คำรายงานนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ! สังหารโจรหกคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวที่จุดตาย! นี่มันฝีมือของยอดฝีมือชัด ๆ! หยางซานฉีเบิกตากว้าง เขามองไปยังไจ้หลินที่ยังคงร้องไห้จนตัวโยนอย่างไม่อยากจะเชื่อ บ่าวรับใช้ผู้นี้เนี่ยนะคือยอดฝีมือที่ซ่อนเร้น? ซ่งเว่ยหลิงหรี่ตามองภาพนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ยิ่งขึ้น สตรีผู้นี้... เรื่องเล่าของนางช่างเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ท่าทีและแววตาของนางกลับดูใสซื่อจนน่าประหลาด ราวกับนางเชื่อในเรื่องโกหกที่ตนเองเพิ่งแต่งขึ้นมาจริง ๆ มันคือความใสซื่อที่ดู... โง่งมอย่างที่สุด แต่กลับขัดแย้งกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนผุดขึ้นในใจของเขา “ในเมื่อเส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย และรถม้าของนางก็ใช้การไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ ทำลายความเงียบ “เช่นนั้นก็ให้พวกนางติดรถม้าสำรองท้ายขบวนไป แล้วเข้าเมืองไปพร้อมกับเรา” คำสั่งนั้นทำให้ทั้งหยางซานฉีและเหล่าทหารต่างตกตะลึง! นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องผู้รังเกียจสตรีเป็นที่สุดอนุญาตให้สตรีแปลกหน้าเข้าร่วมขบวนเดินทางด้วยพระองค์เอง! หลี่ซ่างเอินเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะรีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมไจ้หลิน “ขอบพระคุณท่านผู้มีพระคุณ! ขอบพระคุณในความเมตตาเจ้าค่ะ!” นางยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักฐานะของบุรุษตรงหน้า แม้จะได้ยินคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ เต็มสองหู ก่อนจะค้อมศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อมและซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง ซ่งเว่ยหลิงไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาปล่อยม่านรถม้าลง ปิดกั้นสายตาจากโลกภายนอก เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและบรรยากาศอันน่าเกรงขามเช่นเดิม หยางซานฉีรีบจัดการตามรับสั่ง เขาสั่งให้ทหารจัดเตรียมรถม้าสำรองให้สตรีทั้งสอง ก่อนจะเดินเข้าไปประคองพวกนางให้ลุกขึ้น “คุณหนูหลี่ เชิญทางนี้เถิด” หลี่ซ่างเอินพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย นางพยุงไจ้หลินให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามทหารไปขึ้นรถม้าที่ท้ายขบวน ก่อนที่ประตูรถม้าจะปิดลง นางแอบหันกลับไปมองยังรถม้าพระที่นั่งคันใหญ่ที่อยู่หัวขบวน มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดเห็น... ‘ติดเบ็ดแล้ว... พยัคฆ์ร้ายแห่งเมืองเซวีย...’ตอนพิเศษที่[3]ทายาทของเทพสงคราม (นางมารน้อย)สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ช่วงเวลาที่เมืองเซวียเต็มไปด้วยความสงบสุขและความหวานชื่น แต่แล้วก็มีเทียบเชิญจากวังหลวงส่งมาถึง... งานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮากำลังจะมาถึงอีกครั้ง ทำให้ซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินจำต้องเดินทางกลับสู่เมืองหลวงไทเฮาเมื่อได้เห็นหน้าสะใภ้คนโปรดก็แทบจะวิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง พระองค์จับมือหลี่ซ่างเอินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างละเอียดลออ ก่อนที่สุดท้าย... สายตาที่คาดคั้นจะหันไปทางโอรสองค์เล็กของพระองค์“เว่ยหลิง... เรื่องที่แม่ฝากฝังไปถึงไหนแล้ว”ซ่งเว่ยหลิงถึงกับหน้าเจื่อนลงทันที เขากระแอมไอออกมาเบา ๆ อย่างเก้อเขิน “เอ่อ... เสด็จแม่ ลูก... ลูกก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่... มันยังไม่มีวี่แววเลย”ไทเฮาส่ายพระพักตร์อย่างระอาใจ พระองค์ขยับพระโอษฐ์แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนว่า ไม่ได้เรื่อง! ทำเอาเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบพระเนตรพระมารดางานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อและเชื้อพระวงศ์มากมายมาร่วมถวายพระพร ในงานนี้ห
ตอนพิเศษที่[2]การต่อสู้ในโลกที่ไม่คุ้นเคยคืนหนึ่งในตำหนักเซวียอ๋องที่เงียบสงบ...หลังจาก ‘ทำภารกิจ’ ที่ได้ให้สัญญาไว้กับไทเฮาเสร็จสิ้นลง ซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินก็นอนกอดกันอยู่บนเตียงกว้างอย่างมีความสุข ความเหนื่อยล้าและเรื่องราววุ่นวายที่ผ่านมาทำให้ทั้งสองค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของกันและกันทว่าในนิทรานั้นเอง... จิตของพวกเขาทั้งสองกลับถูกดึงไปยังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง...หลี่ซ่างเอินหลังจากที่สิ้นลมหายใจในห้องขังท้ายตำหนัก นางก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ที่นี่ไม่ใช่ปรโลกที่นางเคยจินตนาการไว้ มันคือโลกที่เต็มไปด้วยแสงสี ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า นางพบว่าตนเองอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่หน้าตาเหมือนนางราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครรู้จักนางเลยแม้แต่คนเดียว นางกลายเป็นคนแปลกหน้าในโลกที่แปลกประหลาดและแล้ววันหนึ่ง นางก็ได้เห็นเรื่องราวชีวิตของตนเองถูกฉายผ่าน ‘จอสี่เหลี่ยม’ ประหลาด มันเล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็กจนโต ความใสซื่อ ความโง่เขลา การถูกหลอกใช้ การถูกทำร้ายจนเสียโฉม และจุดจบอันน่าสลดใจในห้องขัง... นางได้เห็นความจริงทั้งหมดด้วยสายตาของบุคคลที่สาม ได้เห็นรอยย
ตอนพิเศษที่[1]แผนการลองใจ (ที่ล้มไม่เป็นท่า)หลังจากกลับมาถึงเมืองเซวีย ชีวิตของซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง คราวนี้ไม่มีหน้ากากแห่งความใสซื่อมาบดบัง ไม่มีภารกิจแก้แค้นมาเป็นเป้าหมายหลัก มีเพียงสามีภรรยาที่กำลังค่อย ๆ ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายซ่งเว่ยหลิงพบว่าพระชายาของเขานั้นน่าสนใจยิ่งกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้หลายเท่านัก นางไม่ได้มีเพียงความงามและความฉลาดหลักแหลม แต่ยังมีความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่สงบเยือกเย็น ในยามว่างจากการช่วยเขาวางแผนพัฒนาเมือง ทั้งสองมักจะใช้เวลาอยู่ในลานฝึกซ้อมส่วนตัว“อีกครั้งนะเพคะ” หลี่ซ่างเอินในชุดฝึกซ้อมที่ทะมัดทะแมงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มท้าทาย ในมือของนางคือดาบไม้ที่ชี้ตรงมายังเขาซ่งเว่ยหลิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะตั้งท่ารับอย่างมั่นคง เขายอมรับว่าในช่วงแรกที่ประมือกัน เขายังคงออมมือให้นางอยู่บ้าง แต่หลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับกลยุทธ์และเพลงดาบที่แปลกประหลาดแต่ร้ายกาจของนางไปหลายครั้งติด ๆ กัน บัดนี้... เขาต้องใช้ฝีมือทั้งหมดที่มีเพื่อต่อกรกับนาง!เพลงดาบของนางนั้นไม่เหมือนใคร
ตอนที่[46]บทสรุปของหนี้แค้น (ตอนจบ)วันประหารมาถึงในที่สุด...หลี่ซู่ หวังฮุ่ยจี้ และหลี่ซวงจวน รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องถูกคุมตัวมายังลานประหารกลางเมือง ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับพันที่มามุงดูจุดจบของตระกูลที่เคยมีหน้ามีตา บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งและสมน้ำหน้าหลี่ซู่นั่งคุกเข่าอยู่บนลานประหารด้วยแววตาที่เลื่อนลอยและว่างเปล่า เขาไม่ได้สนใจเสียงก่นด่ารอบข้างแม้แต่น้อย ในหัวของเขาเอาแต่ฉายภาพเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนซ้ำไปซ้ำมา... เหตุการณ์ที่บุตรสาวซึ่งเขาละเลยมาตลอดชีวิตได้มาหาเขาเป็นครั้งสุดท้ายในคุกหลวงวันนั้น... ประตูห้องขังของเขาถูกเปิดออก ร่างในอาภรณ์งดงามของหลี่ซ่างเอินเดินเข้ามาอย่างสง่างาม พร้อมกับกลุ่มชายชราในชุดหมอหลวงและหมอทั่วไปอีกหลายคนหวังฮุ่ยจี้ที่ถูกขังอยู่ด้วยกัน พอเห็นหน้าหมอเหล่านั้นก็ถึงกับใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี!‘ท่านพ่อ’ หลี่ซ่างเอินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ‘ท่านยังจำหมอเหล่านี้ได้หรือไม่ พวกเขาคือหมอที่เคยรักษาท่านแม่’ หลี่ซู่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของบุตรสาว!‘และนอกจากนั้นพวก
ตอนที่[45]บทสนทนาสุดท้ายในห้องขังเดิมแสงจันทร์สีเลือดสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เข้ามาในห้องขังที่อับชื้นและเหม็นคาวเลือด หลี่ซวงอี๋นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นฟางสกปรก ร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ถูกกรีดทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิม ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างจนแทบจะทานทนไม่ไหว แต่น่าแปลกที่ความเจ็บปวดทางกายนั้นยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดและอัปยศในใจนางแพ้แล้ว... แพ้อย่างราบคาบ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเคยไขว่คว้าได้พังทลายลงในพริบตา หญิงสาวคร่ำครวญกับตนเองเพียงลำพังก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้... ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นเพียงผู้คุมที่มาตรวจตรา แต่ฝีเท้านั้นกลับมาหยุดลงตรงหน้าห้องขังของนาง เงาร่างของใครผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ในความมืดสลัว... ร่างนั้นสง่างามในอาภรณ์หรูหราที่ดูสูงค่า ตัดกับสภาพอันน่าสมเพชของนางโดยสิ้นเชิง “ใคร...” หลี่ซวงอี๋เค้นเสียงถามออกมาอย่างยากลำบาก ร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องลมเล็ก ๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามหมดจดที่นางทั้งเกลียดชังและคุ้นเคยเป็นอย่างดี... หลี่ซ่างเอิน! “น้อง... น้องรอง
ตอนที่[44]ละครฉากสุดท้ายข่าวการกลับมาของกองทัพเซวียอ๋องสร้างความโกลาหลและแตกตื่นไปทั่วทั้งตำหนักองค์ชายรอง! ซ่งซือเหยียนแทบจะสิ้นสติเมื่อได้ยินข่าวร้ายนั้น ความฝันอันหอมหวานของเขาพังทลายลงในพริบตา เขารู้ในทันทีว่าตนเองติดกับดักของเสด็จอาผู้ชาญฉลาดเข้าให้แล้ว!“เป็นไปได้อย่างไร! เขาชนะได้อย่างไร!” เขาทึ้งผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง “แล้วเหตุใดเขาจึงกลับมาเงียบ ๆ เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่!”ในขณะที่องค์ชายรองกำลังสติแตกอยู่นั้น ที่คุกหลวง...หลี่ซู่ที่ถูกคุมขังมาหลายวันจนร่างกายซูบผอมและจิตใจย่ำแย่ ก็กำลังพยายามหาทางเอาตัวรอดอย่างสิ้นหวัง เขาใช้เส้นสายและเงินทองที่ยังพอมีเหลืออยู่ลักลอบส่งสารออกไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายรองผู้เป็นลูกเขย เขายังคงเชื่อมั่นว่าองค์ชายรองจะต้องหาทางช่วยเขาได้อย่างแน่นอนเพราะที่เขาตัดสินใจนำลงตนเองลงมาย่ำโคลนตมในครั้งนี้ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นคนยื่นข้อเสนอมา ข้อเสนอที่เย้ายวนใจทางด้านหวังฮุ่ยจี้ก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย นางไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของสามีหรือตระกูลแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นห่วงบุตรสาวสุดที่รักอย่างหลี่ซวงอี๋ที่ถูกขังอยู่ที่ตำหนักองค์ชายรอง นางกลัวว่าบุตร