ตอนที่
[5] สองแม่ลูกอสรพิษ หลี่ซ่างเอินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ปรับเปลี่ยนสีหน้าจากเยือกเย็นกลับมาเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอและตื่นกลัวในชั่วพริบตา นางหันไปพยักหน้าให้ไจ้หลิน ก่อนจะเดินออกจากเรือนเพื่อไปยังเรือนใหญ่ของฮูหยินใหญ่ ระหว่างทาง นางจงใจเดินก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นเล็กน้อยราวกับยังขวัญเสียไม่หาย ทำให้บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างลอบมองด้วยความสงสัยระคนสมเพช เมื่อมาถึงโถงรับรองของเรือนใหญ่ ก็พบหลี่ฮูหยินหรือหวังฮุ่ยจี้และหลี่ซวงอี๋นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เห็นสภาพมอมแมมเปรอะเปื้อนเลือดของหลี่ซ่างเอิน สองแม่ลูกก็รีบปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ ‘ตกใจ’ และ ‘เป็นห่วง’ อย่างถึงที่สุด “เอินเออร์! นี่มันเกิดอะไรขึ้น! เหตุใดเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้!” หลี่ซวงอี๋เป็นคนแรกที่เปิดฉากละคร นางคว้าแขนของน้องสาวไว้แน่น ดวงตางามเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พลางสำรวจร่างกายน้องสาวอย่างรวดเร็ว หลี่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น “แล้วพวกโจรเล่า เหตุใดเจ้าถึงกลับมาได้ แล้วรถม้าของเจ้าเล่าอยู่ที่ใด” คำถามที่ยิงมารัว ๆ นั้นแฝงไปด้วยความคาดคั้นอยู่ในที สองแม่ลูกต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะเห็นผลงานชิ้นเอกของพวกนาง โดยที่ไม่ได้เอะใจในคำถามของตนเองเลยแม้แต่น้อย ว่าหากเป็นผู้อื่นได้ฟังมันจะน่าสงสัยเพียงใด หลี่ซ่างเอินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมโตแดงก่ำราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นางส่ายหน้าไปมา พูดจาติด ๆ ขัด ๆ ทว่าวินาทีที่ใบหน้างดงามหมดจด ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนแม้เพียงรอยเดียวของหลี่ซ่างเอินปรากฏแก่สายตาของสองแม่ลูกอย่างเต็มตา ทั้งหลี่ฮูหยินและหลี่ซวงอี๋ต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ! เป็นไปได้อย่างไร! ความคิดนี้ดังก้องอยู่ในหัวของทั้งสองคนพร้อมกัน แผนการคือกรีดใบหน้าของมันให้เสียโฉมอัปลักษณ์! เหตุใดใบหน้านั่นถึงยังคงเรียบเนียนงดงามอยู่ได้! “ใบหน้าเจ้า...” หลี่ซวงอี๋หลุดปากออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว “ซีดเซียวเหลือเกิน… พวกมันทำอะไรเจ้าบ้าง!” หลี่ซ่างเอินแสร้งทำเป็นไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของอีกฝ่าย นางปล่อยโฮออกมาอย่างน่าเวทนาแล้วเล่าเรื่องราวที่แต่งขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้า... ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่ใหญ่ พี่ใหญ่... ตอนนั้นน่ากลัวมาก โจร... พวกมันฆ่าคนขับรถม้าของเรา แล้วก็... ตอนที่พวกมันจะทำร้ายข้า ไจ้หลินก็เข้ามาขวางไว้ แล้ว... แล้วจู่ ๆ พวกมันก็ทะเลาะกันเองแล้วก็สู้กัน ข้าอาศัยจังหวะตอนชุลมุนหนีออกมา... ข้ากลัว... ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ฮือ” นางปิดท้ายด้วยการโผเข้ากอดหลี่ซวงอี๋อย่างต้องการที่พึ่ง หลี่ซวงอี๋และหลี่ฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งตกตะลึง สองแม่ลูกลอบสบตากันอย่างรวดเร็ว แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเดือดดาลอย่างรุนแรง แผนผิดพลาด! ไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ นังเด็กนี่ยังรอดกลับมาได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนอีก! แต่เบื้องหน้าหลี่ซวงอี๋ยังคงสวมบทบาทพี่สาวผู้แสนดีต่อไป นางลูบหลังน้องสาวเบา ๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะเอินเออร์ เจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” หลี่ฮูหยินปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ช่างเป็นโชคดีของเจ้าโดยแท้ที่รอดมาได้ สวรรค์ยังคงคุ้มครองเจ้าอยู่ แต่ว่า... แล้วเจ้ากลับมาที่จวนได้อย่างไร” หลี่ซ่างเอินผละออกจากอ้อมกอดของพี่สาว เช็ดน้ำตาป้อย ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นอยู่ “พอ... พอหนีออกมาได้ ก็มาเจอเข้ากับขบวนเดินทางของท่านผู้มีพระคุณท่านหนึ่งโดยบังเอิญเจ้าค่ะ พวกเขาใจดีมาก พอทราบเรื่องก็ให้ความช่วยเหลือ ให้พวกเราติดรถม้ากลับมาส่งที่จวน” “ขบวนเดินทางหรือ?” หลี่ซวงอี๋ทวนคำด้วยความสงสัย “ของใครกัน” “ข้า... ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ” หลี่ซ่างเอินส่ายหน้าอย่างใสซื่อ “ข้าเห็นเพียงเป็นขบวนทหารที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขามาเพราะมัวแต่ตกใจอยู่” คำตอบนั้นทำให้สองแม่ลูกยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก แผนการที่วางไว้อย่างดีกลับพังไม่เป็นท่า ไม่เพียงแต่หลี่ซ่างเอินจะไม่เสียโฉม แต่ยังไปพบเจอกับผู้มีอำนาจโดยบังเอิญอีก ช่างน่าเจ็บใจนัก! “เอาเถิด ๆ รอดกลับมาได้ก็ดีแล้ว” หลี่ฮูหยินกล่าวปัด ๆ พลางโบกมือไล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “รีบกลับเรือนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถิด เห็นแล้วช่าง…ดูไม่ได้เสียเลย” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนั้นทำให้หลี่ซ่างเอินต้องแอบยกยิ้มในใจ เริ่มเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้วสินะ “เจ้าค่ะท่านแม่ใหญ่” นางรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เอ่อ... พี่ใหญ่เจ้าคะ แล้วของไหว้ที่เราจะนำไปถวายที่อารามเล่าเจ้าคะ เป็นอย่างไรบ้าง” คำถามที่ดูใสซื่อนั้นแท้จริงแล้วคือการสาดน้ำมันเข้ากองไฟดี ๆ นี่เอง! สีหน้าของหลี่ซวงอี๋แข็งค้างไปชั่วขณะ นางจะไปรู้ได้อย่างไร! นางไม่ได้ไปที่อารามเสียหน่อย นางเพียงแค่นั่งรถม้าวนไปรอฟังข่าวอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเท่านั้น! “เอ่อ... คือ...” หลี่ซวงอี๋อึกอัก หลี่ฮูหยินรีบแก้ต่างให้บุตรสาวทันควัน “พอพี่สาวเจ้าทราบว่าเจ้าประสบเหตุ นางก็รีบกลับมาที่จวนทันทีด้วยความเป็นห่วง จะมีแก่ใจไปไหว้พระได้อย่างไรกัน!” “เป็นเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” หลี่ซ่างเอินเบิกตากว้างอย่างซาบซึ้งใจ “พี่ใหญ่ช่างดีกับข้ายิ่งนัก เป็นข้าเองที่ไม่ดี ทำให้พี่ใหญ่ต้องลำบากใจและเป็นห่วงไปด้วย” นางกล่าวพลางค้อมศีรษะให้พี่สาวอย่างรู้สึกผิดสุดซึ้ง การแสดงที่แนบเนียนนั้นทำให้หลี่ซวงอี๋ที่กำลังหงุดหงิดอยู่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ฝืนยิ้มรับอย่างเจื่อน ๆ “ไม่เป็นไรหรอกเอินเออร์ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด” จากนั้นหลี่ซ่างเอินจึงขอตัวลากลับไปยังเรือนของตน ทันทีที่หญิงสาวคล้อยหลังไป รอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าของหลี่ซวงอี๋ก็หายวับไปในทันที! เพล้ง! นางปัดถ้วยชาบนโต๊ะจนตกแตกกระจายด้วยความเดือดดาล! “นังเด็กนั่น! มันรอดมาได้อย่างไร!” “ใจเย็นก่อนอี๋เออร์” หลี่ฮูหยินกล่าวเสียงเรียบ แม้ในใจจะเดือดดาลไม่แพ้กัน “โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ กำแพงมีหูประตูมีช่อง เจ้าต้องใจเย็น ๆ” “แต่ท่านแม่! แผนของเราพังหมดแล้ว! ไม่เพียงแต่มันจะไม่เสียโฉม มันยังดูไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน! แล้วไหนจะเรื่องผู้มีพระคุณอะไรนั่นอีก หากเป็นขุนนางใหญ่โตแล้วสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร!” หลี่ซวงอี๋ร้อนใจจนนั่งไม่ติด “เจ้าคิดว่าพวกโจรป่ากระจอกนั่นจะซัดทอดมาถึงเราได้หรือ” หลี่ฮูหยินแค่นเสียงเย็น “อีกอย่างพวกมันคงไม่มีโอกาสได้ซัดทอดมาถึงพวกเราแน่เพราะพวกมันตายหมดแล้ว” แม้ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร แต่คิดว่าคงไม่ใช่ผู้ที่ให้หลี่ซ่างเอินติดรถม้ากลับมาแน่นอน “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ!” หลี่ซวงอี๋ยังคงไม่หายโมโห “ข้าเกลียดที่มันทำหน้าซื่อตาใส ทั้งที่ในใจอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วก็ได้!” “เจ้าคิดมากไปแล้วอี๋เออร์” หลี่ฮูหยินมองบุตรสาวอย่างอ่อนใจ “ดูจากท่าทางของมันแล้ว มันยังคงโง่งมเหมือนเดิมไม่มีผิด ซ้ำยังคิดว่าบ่าวของมันเป็นคนช่วยไว้ ไจ้หลินน่ะหรือ” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะท่านแม่ ปล่อยมันไว้เช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ตอนนี้ก็ผ่านวันปักปิ่นของมันแล้ว หากท่านพ่อหาคู่ครองดี ๆ ให้มันเล่า” หลี่ฮูหยินยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อวิธีรุนแรงไม่ได้ผล... เราก็ต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีรุนแรงกว่าแต่แนบเนียนยิ่งกว่าเดิม” ในตอนนั้นที่ดวงตาของหวังฮุ่ยจี้ทอประกายอำมหิตขึ้นมา “ในเมื่อมันยังไม่เสียโฉม เช่นนั้น... ก็ทำให้มันกลายเป็นสตรีที่ไม่มีผู้ใดต้องการด้วยวิธีอื่นแทน... ข้ายังมียาพิษชั้นดีที่ได้มาเมื่อหลายปีก่อนอยู่” รอยยิ้มของหลี่ซวงอี๋ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง นางโน้มตัวเข้าไปหาผู้เป็นมารดาด้วยความสนใจ “ยาพิษหรือเจ้าคะท่านแม่” “ใช่” หลี่ฮูหยินพยักหน้าช้า ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด “ยาพิษที่ไร้สี ไร้กลิ่น ออกฤทธิ์รุนแรง ทำให้ผู้ที่ได้กินมันเข้าไปต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ครานี้ต่อให้มันมีสิบชีวิตก็หนีไม่พ้น” หลี่ซวงอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ “เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมากเจ้าค่ะท่านแม่”ตอนพิเศษที่[3]ทายาทของเทพสงคราม (นางมารน้อย)สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ช่วงเวลาที่เมืองเซวียเต็มไปด้วยความสงบสุขและความหวานชื่น แต่แล้วก็มีเทียบเชิญจากวังหลวงส่งมาถึง... งานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮากำลังจะมาถึงอีกครั้ง ทำให้ซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินจำต้องเดินทางกลับสู่เมืองหลวงไทเฮาเมื่อได้เห็นหน้าสะใภ้คนโปรดก็แทบจะวิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง พระองค์จับมือหลี่ซ่างเอินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างละเอียดลออ ก่อนที่สุดท้าย... สายตาที่คาดคั้นจะหันไปทางโอรสองค์เล็กของพระองค์“เว่ยหลิง... เรื่องที่แม่ฝากฝังไปถึงไหนแล้ว”ซ่งเว่ยหลิงถึงกับหน้าเจื่อนลงทันที เขากระแอมไอออกมาเบา ๆ อย่างเก้อเขิน “เอ่อ... เสด็จแม่ ลูก... ลูกก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่... มันยังไม่มีวี่แววเลย”ไทเฮาส่ายพระพักตร์อย่างระอาใจ พระองค์ขยับพระโอษฐ์แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนว่า ไม่ได้เรื่อง! ทำเอาเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบพระเนตรพระมารดางานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อและเชื้อพระวงศ์มากมายมาร่วมถวายพระพร ในงานนี้ห
ตอนพิเศษที่[2]การต่อสู้ในโลกที่ไม่คุ้นเคยคืนหนึ่งในตำหนักเซวียอ๋องที่เงียบสงบ...หลังจาก ‘ทำภารกิจ’ ที่ได้ให้สัญญาไว้กับไทเฮาเสร็จสิ้นลง ซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินก็นอนกอดกันอยู่บนเตียงกว้างอย่างมีความสุข ความเหนื่อยล้าและเรื่องราววุ่นวายที่ผ่านมาทำให้ทั้งสองค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของกันและกันทว่าในนิทรานั้นเอง... จิตของพวกเขาทั้งสองกลับถูกดึงไปยังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง...หลี่ซ่างเอินหลังจากที่สิ้นลมหายใจในห้องขังท้ายตำหนัก นางก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ที่นี่ไม่ใช่ปรโลกที่นางเคยจินตนาการไว้ มันคือโลกที่เต็มไปด้วยแสงสี ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า นางพบว่าตนเองอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่หน้าตาเหมือนนางราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครรู้จักนางเลยแม้แต่คนเดียว นางกลายเป็นคนแปลกหน้าในโลกที่แปลกประหลาดและแล้ววันหนึ่ง นางก็ได้เห็นเรื่องราวชีวิตของตนเองถูกฉายผ่าน ‘จอสี่เหลี่ยม’ ประหลาด มันเล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็กจนโต ความใสซื่อ ความโง่เขลา การถูกหลอกใช้ การถูกทำร้ายจนเสียโฉม และจุดจบอันน่าสลดใจในห้องขัง... นางได้เห็นความจริงทั้งหมดด้วยสายตาของบุคคลที่สาม ได้เห็นรอยย
ตอนพิเศษที่[1]แผนการลองใจ (ที่ล้มไม่เป็นท่า)หลังจากกลับมาถึงเมืองเซวีย ชีวิตของซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง คราวนี้ไม่มีหน้ากากแห่งความใสซื่อมาบดบัง ไม่มีภารกิจแก้แค้นมาเป็นเป้าหมายหลัก มีเพียงสามีภรรยาที่กำลังค่อย ๆ ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายซ่งเว่ยหลิงพบว่าพระชายาของเขานั้นน่าสนใจยิ่งกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้หลายเท่านัก นางไม่ได้มีเพียงความงามและความฉลาดหลักแหลม แต่ยังมีความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่สงบเยือกเย็น ในยามว่างจากการช่วยเขาวางแผนพัฒนาเมือง ทั้งสองมักจะใช้เวลาอยู่ในลานฝึกซ้อมส่วนตัว“อีกครั้งนะเพคะ” หลี่ซ่างเอินในชุดฝึกซ้อมที่ทะมัดทะแมงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มท้าทาย ในมือของนางคือดาบไม้ที่ชี้ตรงมายังเขาซ่งเว่ยหลิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะตั้งท่ารับอย่างมั่นคง เขายอมรับว่าในช่วงแรกที่ประมือกัน เขายังคงออมมือให้นางอยู่บ้าง แต่หลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับกลยุทธ์และเพลงดาบที่แปลกประหลาดแต่ร้ายกาจของนางไปหลายครั้งติด ๆ กัน บัดนี้... เขาต้องใช้ฝีมือทั้งหมดที่มีเพื่อต่อกรกับนาง!เพลงดาบของนางนั้นไม่เหมือนใคร
ตอนที่[46]บทสรุปของหนี้แค้น (ตอนจบ)วันประหารมาถึงในที่สุด...หลี่ซู่ หวังฮุ่ยจี้ และหลี่ซวงจวน รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องถูกคุมตัวมายังลานประหารกลางเมือง ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับพันที่มามุงดูจุดจบของตระกูลที่เคยมีหน้ามีตา บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งและสมน้ำหน้าหลี่ซู่นั่งคุกเข่าอยู่บนลานประหารด้วยแววตาที่เลื่อนลอยและว่างเปล่า เขาไม่ได้สนใจเสียงก่นด่ารอบข้างแม้แต่น้อย ในหัวของเขาเอาแต่ฉายภาพเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนซ้ำไปซ้ำมา... เหตุการณ์ที่บุตรสาวซึ่งเขาละเลยมาตลอดชีวิตได้มาหาเขาเป็นครั้งสุดท้ายในคุกหลวงวันนั้น... ประตูห้องขังของเขาถูกเปิดออก ร่างในอาภรณ์งดงามของหลี่ซ่างเอินเดินเข้ามาอย่างสง่างาม พร้อมกับกลุ่มชายชราในชุดหมอหลวงและหมอทั่วไปอีกหลายคนหวังฮุ่ยจี้ที่ถูกขังอยู่ด้วยกัน พอเห็นหน้าหมอเหล่านั้นก็ถึงกับใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี!‘ท่านพ่อ’ หลี่ซ่างเอินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ‘ท่านยังจำหมอเหล่านี้ได้หรือไม่ พวกเขาคือหมอที่เคยรักษาท่านแม่’ หลี่ซู่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของบุตรสาว!‘และนอกจากนั้นพวก
ตอนที่[45]บทสนทนาสุดท้ายในห้องขังเดิมแสงจันทร์สีเลือดสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เข้ามาในห้องขังที่อับชื้นและเหม็นคาวเลือด หลี่ซวงอี๋นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นฟางสกปรก ร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ถูกกรีดทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิม ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างจนแทบจะทานทนไม่ไหว แต่น่าแปลกที่ความเจ็บปวดทางกายนั้นยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดและอัปยศในใจนางแพ้แล้ว... แพ้อย่างราบคาบ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเคยไขว่คว้าได้พังทลายลงในพริบตา หญิงสาวคร่ำครวญกับตนเองเพียงลำพังก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้... ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นเพียงผู้คุมที่มาตรวจตรา แต่ฝีเท้านั้นกลับมาหยุดลงตรงหน้าห้องขังของนาง เงาร่างของใครผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ในความมืดสลัว... ร่างนั้นสง่างามในอาภรณ์หรูหราที่ดูสูงค่า ตัดกับสภาพอันน่าสมเพชของนางโดยสิ้นเชิง “ใคร...” หลี่ซวงอี๋เค้นเสียงถามออกมาอย่างยากลำบาก ร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องลมเล็ก ๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามหมดจดที่นางทั้งเกลียดชังและคุ้นเคยเป็นอย่างดี... หลี่ซ่างเอิน! “น้อง... น้องรอง
ตอนที่[44]ละครฉากสุดท้ายข่าวการกลับมาของกองทัพเซวียอ๋องสร้างความโกลาหลและแตกตื่นไปทั่วทั้งตำหนักองค์ชายรอง! ซ่งซือเหยียนแทบจะสิ้นสติเมื่อได้ยินข่าวร้ายนั้น ความฝันอันหอมหวานของเขาพังทลายลงในพริบตา เขารู้ในทันทีว่าตนเองติดกับดักของเสด็จอาผู้ชาญฉลาดเข้าให้แล้ว!“เป็นไปได้อย่างไร! เขาชนะได้อย่างไร!” เขาทึ้งผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง “แล้วเหตุใดเขาจึงกลับมาเงียบ ๆ เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่!”ในขณะที่องค์ชายรองกำลังสติแตกอยู่นั้น ที่คุกหลวง...หลี่ซู่ที่ถูกคุมขังมาหลายวันจนร่างกายซูบผอมและจิตใจย่ำแย่ ก็กำลังพยายามหาทางเอาตัวรอดอย่างสิ้นหวัง เขาใช้เส้นสายและเงินทองที่ยังพอมีเหลืออยู่ลักลอบส่งสารออกไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายรองผู้เป็นลูกเขย เขายังคงเชื่อมั่นว่าองค์ชายรองจะต้องหาทางช่วยเขาได้อย่างแน่นอนเพราะที่เขาตัดสินใจนำลงตนเองลงมาย่ำโคลนตมในครั้งนี้ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นคนยื่นข้อเสนอมา ข้อเสนอที่เย้ายวนใจทางด้านหวังฮุ่ยจี้ก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย นางไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของสามีหรือตระกูลแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นห่วงบุตรสาวสุดที่รักอย่างหลี่ซวงอี๋ที่ถูกขังอยู่ที่ตำหนักองค์ชายรอง นางกลัวว่าบุตร