แชร์

ตอนที่ 3 || อู่จั๋วซือหม่า

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-02 11:02:35

ยามเหม่า แสงยามเช้าพลางฟ้าเพิ่งสาดสีเงินอ่อน ๆ ลงเหนือทุ่งหมู่บ้านนอกนคร เสียงนกการ้องดังอยู่บนกิ่งไม้แห้ง บริเวณบ่อร้างกลางหมู่บ้านชานเมืองจิ้งโจวบัดนี้กลับคลาคล่ำด้วยผู้คน

ศพหนึ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ วางไว้บนพื้นหญ้าชื้น มีกลิ่นเน่าคละคลุ้งจนชาวบ้านพากันปิดจมูก บ้างหันหน้าหนี บ้างอาเจียนจนตัวงอ มีเด็กหลายคนที่ตามบิดามารดามาด้วยถึงกับร้องไห้เสียงแหลม

ผู้ที่ยืนอยู่กลางฝูงชนในวันนี้ คือบุรุษหนุ่มในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนา ดูเย็นชาราวน้ำแข็งเขาคือซือหม่าหยาง คุณชายสามแห่งตระกูลซือหม่า ผู้ไม่เดินตามรอยบิดา บรรพบุรุษ หรือพี่ชายพี่สาวในฐานะแม่ทัพ หากแต่เขาเลือกทางตนเองด้วยการเป็น หมอชันสูตรศพ หรืออู่จั๋ว ประจำศาลต้าหลี

ทหารรักษาการณ์ประจำหมู่บ้านโค้งตัวรายงาน “ศพนี้พบตั้งแต่ยามสองเมื่อคืน ก่อนรุ่งสางจึงลากขึ้นมาขอรับ (*) อู่จั๋วซือหม่า”

ซือหม่าหยางพยักหน้า รับคำในลำคอสั้น ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ศพที่เพิ่งวางบนเสื่อฟาง กลิ่นเหม็นคลุ้งยิ่งแรงเมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออก ชาวบ้านหลายคนถอยกรูดด้วยสีหน้าขาวซีด กับภาพศพคนตายที่ขึ้นอืดคนยากจะจำได้ว่าเป็นผู้ใด

ร่างศพเป็นเพศชายยังมิอาจบอกอายุได้เนื่องจากศพเปลี่ยนสภาพ ถูกจับนอนหงาย ผิวหนังบวมอืดเขียวคล้ำ ผมเปียกพันยุ่งกับใบหน้า นัยน์ตาที่ปิดไม่สนิทเผยให้เห็นตาขาวขุ่นมัว ปากอ้าออกเล็กน้อย น้ำเหลืองสีเหลืองเขียวไหลออกข้างมุมปากและจมูก ผิวหนังบางส่วนปริแตกจนเห็นเนื้อเยื่อเละเป็นวุ้น

บางคนอุดจมูกร้อง “โอ๊ย! กลิ่นมัน…ไม่ไหวแล้ว!”

เสียงอาเจียนดังเป็นระยะจากชาวบ้านที่ทนดูไม่ได้

ทว่าซือหม่าหยางก้มลงโดยไม่หวั่น เขาใช้แท่งไม้ไผ่เล็ก ๆ พลิกปากศพ ตรวจดูในลำคอ น้ำโคลนผสมฟองขาวคั่งอยู่ภายใน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบถุงมือผ้าชนิดพิเศษมาสวม แล้วกดเบา ๆ บนผิวคอด้านข้าง

“หัวหน้าเฉา ท่านดูตรงนี้” เขาน้ำเสียงเรียบแต่มั่นคง มิได้หันไปกล่าวกับหัวหน้ามือปราบเฉาที่คุ้นเคยกันดีแม้แต่น้อย

หัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนข้าง ๆ ก้มลงตาม พลันเห็นรอยแดงคล้ำเป็นเส้นยาวรอบลำคอ ศพเน่าเปื่อยไปมากแล้ว แต่รอยรัดกลับยังชัดเจน

ซือหม่าหยางเอ่ยช้า ๆ

“หากจมน้ำตายจริง ร่างกายจะสำลักน้ำจนเต็มปอดและท้อง ก่อนหน้านั้นผิวหนังจะยังตึงแน่น แต่รายนี้…กล้ามเนื้อคอฉีกขาด เลือดคั่งอยู่ชั้นใต้ผิว นั่นหมายความว่า เขาถูก รัดคอจนขาดใจ ก่อนถูกโยนลงบ่อ”

เสียงซุบซิบดังระงมขึ้น ชาวบ้านบางคนตัวสั่น “แสดงว่าถูกฆ่าใช่หรือไม่!”

ซือหม่าหยางไม่ตอบทันที เขาค่อย ๆ ใช้มีดปลายแหลมตัดเสื้อผ้าที่เปื่อยยุ่ยออกจากอกศพ กลิ่นเหม็นเน่ายิ่งฟุ้งขึ้นจนคนหลายคนหันหนีไปไกล เขาจดจ่อกับบาดแผลและร่องรอยบนร่างกาย ตรงข้อมือมีรอยขัดถูคล้ายถูกมัด ด้านหลังแขนมีรอยถลอกยาวเหมือนดิ้นรน

เขาสรุปเสียงนิ่ง

“ใช่เขาถูกฆาตกรรมแน่นอน ถูกมัด ถูกบีบรัดลำคอจนตาย แล้วโยนศพลงน้ำเพื่ออำพรางกลิ่นและร่องรอย”

รอบตัวเงียบกริบ ก่อนชาวบ้านบางคนเริ่มร่ำลือ “แล้ว…คนร้ายเป็นใครกันแน่”

“น่ากลัวนัก อยู่หมู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ …”

แต่ซือหม่าหยางไม่ใส่ใจเสียงเหล่านั้น เขาเพียงลุกขึ้น ถอดถุงมือพิเศษสวมสำหรับป้องกันมือจากคราบเน่าจากศพ แล้วจึงค่อยล้างมือในน้ำสะอาดที่คนสนิท ‘เผยเซียว’ เตรียมมาให้ เสียงของเขาเรียบนิ่งเช่นเดิม

“ส่งศพนี้ไปยังศาลต้าหลี ให้ข้าตรวจอีกครั้งในห้องชันสูตร ข้าจะบันทึกรายละเอียดให้ชัดเจน”

สายตาคมกริบตวัดมองรอบ ๆ ชาวบ้านพลันก้มหน้าหลบ ไม่มีใครกล้าสบตากับชายหนุ่มผู้มีความกล้าอยู่กับความตายยิ่งกว่าคนเป็น ถึงเขาจะหล่อเหลานัก แต่สตรีใดก็มิกล้ามองหน้าซือหม่าหยางตรงๆ แม้แต่คนเดียว

ยามเฉินปลาย ศพจากบ่อร้างถูกเกวียนบรรทุกเข้ามายัง ศาลต้าหลี ซือหม่าหยางอยู่ในรถม้าที่เผยเซียวเป็นสารถี ก็มาถึงใกล้เคียงกัน

เบื้องหลังตึกหลวงคืออาคารไม้ทึบที่คนทั้งศาลเรียกกันติดปากว่า ห้องชันสูตร

กลิ่นฉุนคละคลุ้งตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าไป ขุนนางหนุ่มบางคนเพียงได้กลิ่นก็เมินหน้าหนี

ภายในห้องสว่างด้วยแสงตะเกียงมากกว่าอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกรงไม้ โต๊ะหินอ่อนกว้างตั้งกลางห้อง ศพถูกหามมาวางลงบนนั้น มีขันน้ำสะอาด ถังไม้ใส่น้ำส้มสายชูสมุนไพรเพื่อลดกลิ่นเหม็น และกล่องเครื่องมือวางเรียง ทั้งมีดเล่มเล็ก มีดใหญ่ ตราสลักเหล็ก และตะเกียบไม้ยาว

ซือหม่าหยาง สวมถุงมือพิเศษคู่ใหม่ ใช้ผ้าปิดจมูกแล้วเริ่มตรวจ โดยมีเผยเซียวคนสนิทควบฐานะผู้ช่วยคอยยืนจดบันทึกอยู่ไม่ไกล

“ผู้ตายเพศชาย สูงห้าฉือสามชุ่น (165-183เซนติเมตร) อายุราวสามสิบห้าถึงสามสิบแปด เวลาตาย...” ตรวจสภาพภายนอกแรกเริ่มไปพลางปากก็บรรยายไปพลางจนเสร็จ

เขาจึงเริ่มลงมือตรวจลึกขึ้นไปอีกขั้นชายหนุ่มก้มลงเปิดเปลือกตาศพด้วยตะเกียบไม้ “ตาขุ่นขาวเต็มที่ แสดงว่าตายมาเกินสามวัน”

เผยเซียวจดบันทึกลงไปตามที่ซือหม่าหยางเอ่ย เขาติดตามซือหม่าซานกงจื่อผู้นี้มาสิบปี แรกเริ่มงานนี้ทำเขากินอาหารไม่ได้ไม่หลายวัน ทว่ายามนี้เขาชินชาเสียแล้ว

ซือหม่าหยางยังคงตรวจอย่างช้าๆ จากส่วนบนลงไปส่วนล่างเขาใช้นิ้วกดที่ท้อง ศพบวมเป่ง น้ำเหลืองสีเขียวคล้ำทะลักออกจากปาก กลิ่นเหม็นเน่าจนศิษย์ผู้ช่วยสองคนอาเจียนข้างกำแพง หากแต่ติงเซียวยังจดบันทึกอย่างสงบ

และซือหม่าหยางยังขยับเรียวปากภายใต้ผ้าปิดครึ่งใบหน้าเสียงเรียบ ดวงตามุ่งมั่น

“ถึงท้องบวมแต่ไม่มีน้ำไม่มีฟองอากาศที่ปอด นี่ไม่ใช่คนจมน้ำเอง แต่ศพถูกโยนลงบ่อหลังตายแล้ว”

เขาหยิบมีดเล่มเล็กแต่คมกริบ ลากแนวลงใบมีดคมกรีดผ่าตรงกลางอกช้า ๆ เลือดสีคล้ำปนน้ำหนองพุ่งสวนออกมา มองแล้วน่าขนลุกยิ่ง กลิ่นแรงจนคราวนี้แม้แต่เผยเซียวผู้ช่วยยังต้องยกแขนปิดจมูก

“กล้ามเนื้อคอแตก เลือดซึมไปทั่วชั้นใต้ผิวหนัง เห็นหรือไม่ นี่คือร่องรอยถูกบีบรัดเต็มแรง” เขาแหวกชั้นกล้ามเนื้อให้เห็นรอยช้ำสีดำคล้ำชัดเจน

ถัดมา เขาผ่าเปิดช่องอกและช่องท้อง ตรวจอวัยวะทีละชิ้น ปอดแห้งเกินกว่าที่คนจมน้ำควรจะเป็น หัวใจหยุดในสภาพขาดอากาศ เลือดคั่งรอบหลอดลม

“นี่คือหลักฐานสำคัญไม่ใช่การจมน้ำตายโดยธรรมชาติ แต่เป็นการฆ่ารัดคอแล้วนำศพมาอำพรางแน่นอน”

เผยเซียวจดทุกอย่างลงบนแผ่นกระดาษด้วยอักษรคมกริบ ทั้งแม่นยำและครบถ้วน เพื่อที่จากนี้ซือหม่าหยางจะนำมันไปบันทึกในสมุดรายงาน ส่งหัวหน้าศาลต้าหลี ใต้เท้าจิ้งสวีเป็นอันดับสุดท้าย นี่ก็นับว่างานในวันนี้ของเขาจบลงแล้ว

“เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้ามาจัดการแต่งศพผู้ตายให้เรียบร้อยด้วย” ซือหม่าหยางหันไป สั่งลูกศิษย์ทั้งสองคนที่เพิ่งอาเจียนจนหมดสภาพเสียงเรียบ

เมื่อพิธผ่าตรวจศพเสร็จ เขาล้างมีดในถังสมุนไพร กลิ่นสมุนไพรแรงกลบกลิ่นเน่าเพียงเล็กน้อย ซึ่งก่อนนั้นเขาถอดถุงมือผ้าชนิดพิเศษออก พลางเอ่ยเสียงเรียบไม่ต่างจากแรกเริ่ม

“จงจำเอาไว้ทุกศพหลังเขาบอกความจริงแก่พวกเรา ต้องให้เกียรติพวกเขา ส่งเขาไปอย่างสงบ”

แววตาของซือหม่าหยางเฉียบคมเย็นชา ราวกับอยู่กับคนตายมากเสียจนชินชา แต่ในความสงบนั้น กลับมีความเด็ดขาดของผู้ที่คุ้นเคยความจริงที่ไม่อาจปกปิดได้ต่อจากห้องชันสูตร

หลังจากตรวจครบทุกส่วน ซือหม่าหยางใช้เวลานั่งเขียนบันทึกลงบนกระดาษรายงานอย่างถี่ถ้วน ลายมือคมชัด ตัวอักษรเรียงตรงไม่ผิดเพี้ยน

"พบร่องรอยรัดคอรอบลำคอทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กล้ามเนื้อฉีกขาด เลือดคั่งใต้ผิวหนังแน่นอน ข้อมือทั้งสองมีรอยกดลึก ลักษณะเหมือนเชือกปอหยาบ ๆ"

"เล็บมือผู้ตายมีดินสีคล้ำและเส้นใยผ้าติดอยู่ คาดว่าเป็นการดิ้นรนสุดท้าย สรุป เสียชีวิตเพราะถูกฆ่ารัดคอ แล้วนำศพไปโยนบ่อร้างเพื่ออำพราง"

เมื่อเขียนเสร็จ เขาไม่ใส่ความเห็นเกินเลย ไม่พยายามคาดเดาตัวคนร้าย เพราะนั่นไม่ใช่งานของเขา มือเรียวเพียงม้วนรายงาน ปิดผนึกด้วยตราศาลต้าหลี

ยามเว่ยสองเค่อ ซือหม่าหยางก้าวเข้าห้องของใต้เท้าจ้งเงียบ ๆ รายงานในมือถูกส่งตรงไปยังโต๊ะไม้อู่ถงที่ตั้งอยู่กลางห้อง

เบื้องหลังโต๊ะนั้นคือ ใต้เท้าจ้งสวี ขุนนางวัยสามสิบห้า ผู้มีชื่อเสียงทั้งในความเฉียบขาดและความสุขุม ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความกดดันจากงานว่าคดี เขารับรายงานจากซือหม่าหยาง เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว

ห้องเงียบลง เหล่าบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่สองข้างไม่กล้าแม้แต่จะไอ ใต้เท้าจ้งสวีอ่านจบ พยักหน้าช้า ๆ สายตาเหลือบมองซือหม่าหยาง “เจ้าทำงานละเอียดเช่นเคย อู่จั๋วซือหม่า”

เสียงตอบกลับเรียบเฉย “ข้าเพียงช่วยเป็นปากแทนผู้ตายเท่านั้น…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับใต้เท้าจ้งแล้ว”

จ้งสวีหัวเราะบาง ๆ แต่แฝงความเคร่งเครียด “เจ้ามิคิดจะร่วมสืบคดีบ้างหรือ อย่างน้อยไปตรวจสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง?”

“ข้าไม่ถนัดงานบู๊” ซือหม่าหยางโค้งศีรษะเล็กน้อย จ้งสวีถึงกับคิ้วกระตุก ผู้ที่เกิดอยู่ในครอบครัวทหารมาสิบเจ็ดรุ่นกลับกล่าวว่าไม่ถนัดงานบู๊ เช่นนั้นคนในใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดเชี่ยวชาญอีกเล่า?

“หน้าที่ข้าคือหาความจริงจากร่างที่ไร้เสียงพูดเท่านั้น ขอตัว”

คำตอบนั้นทำเอาขุนนางผู้ใหญ่รอบข้างพยักหน้ารับรู้ จ้งสวีก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรอีก เพียงกวักมือเรียกนายอำเภอประจำเขตเข้ามารับคำสั่งให้ไปสอบสวนเพิ่มเติมต่อจากศาลต้าหลีเท่านั้น

ซือหม่าหยางออกจากศาลต้าหลีในยามบ่ายแก่ เขามิได้ขึ้นรถม้าแต่เลือกจะเดินเลียบถนนหลวงกลับไปยังร้านขายโลงศพที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านใต้เมืองก่อน ซึ่งเผยเซียวเป็นผู้นำรถม้าไปรอที่ร้าน อันเหมียนถัง เขามิได้เร่งร้อน เพียงก้าวเดินเงียบ ๆ ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่านในนครจิ้งโจว

แต่ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงฆ้องดังลั่นขึ้นไปทั้งถนน “หลีกทาง! ขบวนเสด็จของหลีไทเฮาและฉางหลันจ่างกุงจู่เสด็จผ่าน!”

ไม่ถึงอึดใจทหารหลวงในชุดเกราะสีเงินก็รีบกางแถวกันประชาชนออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว

ชาวบ้านพากันก้มศีรษะ ถอนตัวออกไปแนบกำแพง ซือหม่าหยางเองก็ก้าวหลบตาม แต่ยังยืนหลังตรง สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว ไม่ถึงสองเค่อ

เสียงกีบม้ากระทบหินก็ดังก้อง ธงผืนใหญ่ปักลายมังกรหงส์สะบัดกลางลม องครักษ์นับร้อยเรียงเป็นแนวสง่างาม รถม้าหลวงที่ประดับม่านทองและระย้าเคลื่อนมาช้า ๆ ราวก้อนเมฆทองเคลื่อนผ่านกลางถนน

ขณะรถม้าหลวงเคลื่อนมาใกล้ ม่านแพรสีทองด้านข้างถูกแหวกออกเล็กน้อย ร่างอรชรในอาภรณ์งามปรากฏครู่เดียว จ่างกงจู่คนงามกวาดตามองออกมาทางฝูงชน

สายตาคู่งามของนางสบเข้ากับดวงตาเย็นชาของบุรุษหนุ่มที่ยืนท่ามกลางฝูงชนแต่เขาค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตาที่สุดในกลุ่มพอดี

เวลานั้นราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปครู่เดียว แต่ก็เพียงเท่านั้น…

นางมิได้รู้สึกสะดุดตาหรือสะดุดใจอันใดเพราะชีวิตนางคบเจอคนหล่อเหลาชินชินชาแล้ว คนผู้นี้ก็เพียงบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตา แล้วก็ผ่านเลยไป เช่นเดียวกันกับซือหม่าหยางเองก็มิได้แสดงอารมณ์ใด ดวงตาคมเรียบเฉย มองผ่านขบวนโอฬารที่เคยเห็นมานักต่อนักนิ่งๆ

ม่านรถม้าค่อย ๆ ปิดลง ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านไป เหล่าชาวบ้านรีบเงยหน้าตามด้วยความตื่นตะลึง แต่ซือหม่าหยางเพียงก้าวเท้าออกเดินต่ออย่างสงบ สีหน้าและแววตาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย


(*"อู่จั๋ว" (仵作) คือคำเรียกผู้ที่ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ หรือหมอนิติเวช ในยุคโบราณของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิยายหรือวรรณกรรมที่อิงประวัติศาสตร์ อู่จั๋วจะทำหน้าที่ตรวจสอบและสืบสวนสาเหตุการตาย มักจะได้รับมอบหมายให้ชันสูตรผู้เสียชีวิตผิดธรรมชาติ หรือน่าสงสัยว่าผิดธรรมชาติ)

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำราม

    ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำรามดังนั้นพอถึงวันถัดมา หลิ่วถิงเยว่ตื่นขึ้นด้วยดวงตาที่ใต้ดวงตาดำคล้ำ แต่ความมุ่งมั่นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมหลิ่วถิงเยว่นำภาพวาดที่ตนเขียนไว้ติดตัวออกจากตำหนักฉางหลันหลังนางกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขันทีนางกำนัลพากันขบวนติดตาม นางกำนัลประจำหอตำราหลวงต่างรีบออกมาก้มศีรษะต้อนรับด้วยความเคารพ หลังอากุ่ยไปแจ้งว่าฉางหลันจ่างกงจู่ต้องการศึกษาตำราฉางหลันจ่างกงจู่ ผู้สูงศักดิ์เสด็จมาอ่านตำรา ใครเล่าจะกลัวขวางทาง ไม่ว่านางจะไปแห่งหนใด ขุนนางทั้งหลายล้วนต้องถอยหลีกทางร่างอรชรก้าวเข้าสู่หอตำราหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงอาทิตย์สาดลอดหน้าต่างสูงสะท้อนคัมภีร์และตำราที่เรียงรายสุดสายตา เสียงฝีเท้าของถิงเยว่ดังก้องไปตามทางเดินที่ถูกขันทีและนางกำนัลผู้ดูแลหอตำราขัดถูจนสะอาดเงาวับตลอดวันนั้น นางกางภาพหมาป่าดำเทียบกับตำราไปไม่น้อย มือเล็กหยิบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ค้นทั้งหมวดสัตว์ป่าหวงห้าม ตำราพิธีบูชา ไปจนถึงบันทึกตำนานโบราณ ทว่าทุกเล่มล้วนเงียบงันไร้คำตอบวันเดียวไม่พอ…สองวันก็ยังว่างเปล่าจนกระทั่งครบเจ็ดวันเต็ม นางยังวนเวียนอยู่ที่หอตำราหลวง ใบหน้างามมีแต่ซีดขาวเพ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!

    ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!เสียงฆ้องสามครั้งดังสะท้อนทั่วตำหนักจิ้งหยางหลังไท่หยางฮ่องเต้มีดำรัสให้เลิกงานเลี้ยงเพียงเท่านี้ แขกเหรื่อแตกตื่นลุกขึ้นก้มศีรษะคำนับตามรับสั่ง ไท่หยางฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมหลีไทเฮาเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเสียงซุบซิบอื้ออึงของเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ยังไม่ทันดื่มกินให้สำราญใจ งานเลี้ยงที่ควรเป็นเกียรติสูงสุดกลับถูกยุติกลางคันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันในความวุ่นวายนั้น ซ่งอวิ๋นโม่ ยืนนิ่งราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสว่างวาบไปด้วยความหลงใหล กลับมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัวเพียงเพราะหญิงงาม เขากลับหลงลืมภารกิจสำคัญไปจนสิ้น!ซ่งอวิ๋นโม่กำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซึม ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นต่อตนเองที่หลงลืมเพลิงแค้นยี่สิบปี เพียงสบตากับซือหม่าอวี้ หลงลืมเป้าหมายที่จะโดดเด่นต่อไท่หยางฮ่องเต้ และทำตนให้สะดุดตาฉางหลันจ่างกงจู่อวิ๋นโม่เอ๋ย อวิ๋นโม่ เจ้าช่างโง่งมสิ้นดี! เจ้ามาเพื่อแก้แค้น เพื่อชะตาตระกูล ที่สูญสิ้นเพราะพวกคนแซ่เหลิ่วมิใช่มาเพื่อจมอยู่ในห้วงรักแรกพบที่ไร้ค่า!ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับบิดเ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๒ || หนึ่งฉิน หนึ่งกระบี่

    ทันทีที่เสียงขันทีใหญ่เอ่ยขานจบ บุตรสาวคนรองแห่งจวนติ้งถิงโหว ซือหม่าอวี้ ก้าวออกจากแถวด้วยกิริยาสงบ ดวงตาคมกริบสะท้อนประกายมั่นใจ งามหยดย้อยแต่แฝงกลิ่นอายดุดันของนักรบหญิงถัดมา ซือหม่าหยวน พี่ชายคนโต ก้าวออกเคียงข้างใน อาภรณ์ขุนนางฝ่ายบู๊สีชาดขลิบทอง สง่างามราวเพลิงไฟ มิใช่ชุดออกศึกเช่นยามอยู่ที่ค่ายทหาร ท่วงท่ามั่นคงดุดันสมฐานะแม่ทัพผู้ปกป้องบูรพาสองพี่น้องหยุดยืนกลางท้องพระโรง ค้อมกายคำนับบัลลังก์มังกร ก่อนที่ขันทีจะส่งกระบี่ยาวคู่หนึ่งเข้ามาในมือเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นจังหวะหนักแน่น กลองใหญ่กระหึ่มก้อง ปี่และขลุ่ยสอดประสานดุจเสียงลมกรรโชกซือหม่าอวี้สะบัดปลายแขนยกกระบี่ขึ้น ฟาดหมุนวาดเป็นวงกลมงดงาม ก่อนพุ่งก้าวไปข้างหน้าเหมือนพยัคฆ์สาวตะปบเหยื่อ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสะท้อนกับแสงโคมไฟระยิบระยับราวอัสนีแลบซือหม่าหยวนโต้ตอบด้วยกระบี่ที่มั่นคงและทรงพลัง ทุกกระบวนท่าผสานรับส่งกับน้องสาวอย่างคล่องแคล่ว หนักแน่นเสมือนขุนเขา แต่ก็พลิ้วไหวราวสายน้ำเสียงเหล็กกระบี่กระทบกันดัง เคร้ง! ก้องกังวานสะท้อนทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวประสานกันไม่ต่างจากบทกวีแห่งสงคร

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๑ || งานเลี้ยงรับรองบัณฑิตใหม่

    ราตรีหนึ่งในราชสำนักต้าเจาในปลายฤดูร้อนกลางเดือนห้าเจิดจ้าด้วยแสงประทีปนับหมื่นดวงคืนนี้ตำหนักจิ้งหยางอันโอ่อ่าถูกเปิดกว้าง ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรโปร่งหลากสีพาดลดหลั่นดั่งม่านเมฆ ลวดลายมังกรกับหงส์ทองปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนระยิบระยับราวดวงดาวตกลงมาประดับพื้นดินหอสูงทั้งสี่มุมตำหนักแขวนโคมไฟลวดลายงดงามแปลกตา ริมทางเดินปูพรมผ้าไหมสีชาดทอดยาวตั้งแต่หน้าตำหนักขึ้นสู่บันไดท้องพระโรง เสียงดนตรีพิณ คงโหว ขลุ่ยบรรเลงกล่อมด้วยท่วงทำนองนุ่มนวลต้อนรับแขกเหรื่อ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้หรูหราเกินเปรียบบนโต๊ะยาวเรียงรายทั่วห้องโถง เครื่องคาวและหวานถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารเลิศรสจากทั่วทุกหัวเมืองส่งมารวม ณ ที่นี้ ทั้งปลากรายนึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลตัวใหญ่แกะเปลือกวางบนจานเงินเนื้อกวางตุ๋นยาจีนหอมฉุย ขนมหวานงดงามอย่างดอกเหมยน้ำผึ้ง ผลไม้หายากจากแดนไกล สายน้ำชาและสุราบ่มนานถูกทยอยรินไม่ให้ขาด นางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ ขับเน้นความเอิกเกริกสมกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ราชสำนักจัดเพื่อต้อนรับบัณฑิตผู้สอบผ่านของปีไท่หยางที่ 7 นี้อย่างใหญ่โอฬารบัณฑิตหนุ่มจากหัวเมืองต่าง ๆ สวมชุดยาวสีน้ำ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือด

    ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือดสายหมอกหนาหนักโอบล้อมครอบคลุมทั่วทั้งหลังเขา ความเงียบวังเวงจนแม้เสียงลมหายใจของตนเอง หลิ่วถิงเยว่ยังได้ยินดังสะท้อนในหู ร่างเล็กก้าวไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายถูกใครบางคนดึงรั้งให้เดินสืบเท้าต่อไปโดยไม่อาจฝืนฉัวะ!เสียงคมดาบฟาดเฉือนผ่านอากาศ ฉับพลันก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนสะท้านวิญญาณ เลือดคาวคลุ้งลอยมากับลมเย็นยะเยือกจนขนกายลุกชัน หญิงสาวใจสั่นระรัว อยากหันหลังหนีแต่ร่างกลับแข็งทื่อ เท้าทั้งสองกลับก้าวต่อไปอย่างดื้อรั้น“ไม่นะ!…เจ้าเท้าไม่รักดีห้ามพาข้าไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็นสิ!…” นางพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งก้าวลึกเข้าไปในหมอก เสียงฟาดฟันโลหะปะทะโลหะก็ถี่กระชั้นขึ้น ทั้งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมนุษย์ที่ถูกเชือดขาดสะบั้นก้องกังวานทั่วผืนเขา จนหลิ่วถิงเยว่เหมือนจะหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อม่านหมอกขาวสลายคลายออก ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจนางแทบหยุดเต้นกลางลานดินกว้างเต็มไปด้วย ซากศพ นับร้อย เลือดแดงสดไหลรวมเป็นธารนองพื้น กลิ่นคาวคลุ้งคละคลุ้งสะอิดสะเอียนท่ามกลางกองซากน่าสะพรึงนั้น เด็กชายผู้หนึ่งยังคงยืนหยัด ร่างเล็กวัยเพียงสิบถึงสิบเอ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!

    ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!หลังจากถูกอาหลิวกับอากุ่ยพากลับมายังตำหนักฉางหลัน หลิ่วถิงเยว่ก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องบรรทม น้ำตาไหลเปียกแก้ม ภาพพี่ชายตะคอกใส่พร้อมทุบหยกและเผาสมุดบันทึกต่อหน้าต่อตายังคงวนเวียนไม่หาย ทุกครั้งที่นึกถึง ใจดวงน้อยก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ“จ่างกงจู่เพคะ ฝ่าบาทคงมิได้ตั้งทัยหรอกเพค” อาหลิวเอ่ยปลอบใจ เพราะทราบดีผู้เป็นนายคงสะเทือนใจไม่น้อย“ไม่ตั้งพระทัยหรือ? เจ้าหรอกใครอยู่กันเล่า อาหลิว พวกเจ้าออกไปเถอะ เปิ่นจ่างกงจู่อยากอยู่ผู้เดียว” กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แต่มิอาจทราบได้ว่านางเย้ยหยันผู้ใดอยู่ใดกันแน่“แต่ว่า…” อาหลิวยังห่วงนายสาว เนื่องจากฉางหลันจ่างกงจู่นั้นบอบบางราวแก้ว ไท่หยางฮ่องเต้คราวนี้รุนแรงไปแล้ว“ออกไปเถอะ!” หลิ่วถิงเยว่จำต้องทำเสียงเคร่ง เพราะอาหลิวกับอากุ่ยมักเป็นเช่นนี้ในยามที่นางกล่าววาจาดีด้วยก็ไม่ค่อยจะรับฟังชอบให้นางเอ็ดเสียงดัง แต่ในยามนี้เด็กสาวอยากอยู่ลำพังจริงๆ“พี่เยี่ยน…เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” นางพึมพำแผ่วเบา เสียงสะอื้นติดคอ เติบโตมาด้วยกัน หลิ่วเยี่ยนเฟยไม่เคยขาดเหตุผลเช่นนี้ หรือเพราะเมิ่งหรูจื่อ?หลิ่วถิงเยว่สะ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status