ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมขบวนขันทีและนางกำนัลยาวเหยียด ที่นำขบวนมาคือหัวหน้าขันทีเฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า "จื่อกง" ชายชราในอาภรณ์สีสุภาพผู้มีใบหน้าแววตาเก๋าเกมและปากไวระดับตำนานไม่ผิดแน่หากตามบทที่หลี่หว่านชิงเคยปะทะคารมมาอีกทั้งขันทีผู้นี้ยังมีไฝติดที่ริมฝีปากเม็ดใหญ่โตมโหฬาร
ตามหลังเขาคือ ฮ่องเต้ "หลี่เซวียนอี้" ฮ่องเต้ผู้มีชื่อเสียงเรื่องการสงคราม รบจนเป็นฮ่องเต้ไร้พ่าย แต่กลายเป็นพ่อที่อ่อนยวบเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวคนโต
"หลี่หว่านชิง! ลูกพ่อออออออ" ฮ่องเต้โผเข้าหาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ท่าทีเคร่งขรึมตามตำราจักรพรรดิหายวับ เหลือไว้แต่สีหน้าร้อนรนเหมือนพ่อบ้านธรรมดาดวงตายิ่งอ่อนโยนยิ่งนัก
"พ่อได้ข่าวว่าเจ้าล้มป่วย แล้วจู่ ๆ ก็ส่งคนไปบอกว่าจะไปเรียนหนังสือ! เจ้าตื่นเช้าได้! เจ้าลุกจากเตียงได้! บอกพ่อมาเถอะลูก เป็นอะไรรึเปล่า! ฝืนรึเปล่า!ไหวหรือเปล่า เจ้าป่วยไข้หรือหัวไปกระแทกที่ไหนมาหรือเปล่าไหนให้พ่อดูหัวของเจ้ามีรอยบาดแผลไหม"จับตัวหลี่หว่านชิงมาพลิกซ้ายขวาหมุนรอบตัวและวิ่งวนดูรอบๆ ศีรษะของหลี่หว่านชิงค้นหาบาดแผล
ที่ตามมาด้วยนั่นคือขันทีอีกสิบคน ขนห่อหยก ห่อสมุนไพร กระติกยา และกระถางกำยานรักษาโรค จากสำนักโอสถหลวง เสียงถอนหายใจจากนางกำนัลดังเป็นระยะ ขณะหัวหน้าขันทีต้องคอยกวักมือให้ขบวนแถวหยุดวิ่งและจัดระเบียบไม่ให้หกล้มในห้ององค์หญิงใหญ่ให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท
หลี่หว่านชิงยิ้มบาง ๆ ก่อนแสดงสีหน้าตื้นตันและอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
"ท่านพ่อ...ไม่ต้องห่วงหรอกเพคะ ข้าแค่...แค่รู้สึกว่าถ้าไม่เปลี่ยนตัวเองตอนนี้ ข้าคงได้ทำร้ายความรักของท่านไปตลอด ท่านจะต้องคอยห่วงลูกคนนี้ตลอดไป"
หว่านชิงเอื้อมมือจับแขนฮ่องเต้ น้ำเสียงสั่นพอประมาณ ดวงตาพร่างพราวไปด้วยน้ำตา
“โธ่ลูกพ่อช่างมีจิตใจที่ดีเสียจริงนึกห่วงพ่อสินะลูกพ่อ”
"ลูกห่วงท่านพ่อกว่าใครอยู่แล้ว เพียงแต่อยาก...อยากทำให้ดีขึ้น อยากเป็นลูกสาวที่ท่านภูมิใจ ไม่ใช่คนที่วันหนึ่งท่านต้องทอดถอนใจว่า... ลูกพ่อมันโง่เหลือเกินจึงเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่"
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนทันทีจากกังวลเป็นสะเทือนใจอย่างแรง เขารีบโอบลูกไว้
"หว่านชิง! เจ้าไม่เคยโง่! อย่าได้ดูแคลนตนเองเด็ดขาด! เจ้าแค่...เกิดมาในโลกที่คนรอบตัวมันช่างโง่เขลาไม่เข้าใจความดีงามของเจ้าเท่านั้น!"
"ท่านพ่อ..." หลี่หว่านชิงเอียงคอซบไหล่ฮ่องเต้อย่างอ่อนโยน
“ข้าอยากเข้มแข็งพอที่จะไม่ให้ท่านต้องกังวลอีก...แม้แต่นิดเดียว”
“ลูกพ่อโตแล้ว..แต่ถ้าเจ้าเหนื่อยขึ้นมาเมื่อใด หรือคิดว่าไม่ไหว...ไม่ต้องฝืน! พ่อจะไม่บังคับลูกให้เรียน จะไม่บังคับให้กลายเป็นคนอื่น เจ้าแค่มีความสุข พ่อก็พอใจแล้ว พ่อคนนี้แค่อยากเห็นเจ้ามีความสุขดั่งคำมั่นที่ข้าเคยให้ไว้กับมารดาเจ้า…จิวอวี้เมียรักของข้าเจ้าดูสิลูกของเราน่ารักเพียงใด นางกลัวว่าข้าจะต้องขายหน้าถึงกลับเปลี่ยนตัวเอง”
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังจากเหล่านางกำนัลและขันทีรอบข้าง จื่อกง กระซิบกับนางกำนัลข้างๆ ว่า
"อา...ถ้าข้าร้องไห้จะผิดมั้ยเนี่ย ข้าอยู่ในราชสำนักมาสี่สิบปี ไม่เคยเห็นฮ่องเต้ตามใจใครเท่านี้เลย"
ซื่อซื่อที่ยืนอยู่มุมห้อง ท่าทีตกใจในใจแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ใจหนึ่งไม่อยากจะเชื่อท่าทีน่าสงสารของหว่านชิง กับอีกใจคาดหวังว่าหว่านชิงจะดีขึ้น
หลี่หว่านชิงเหลือบตามองแล้วแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในใจ นักแสดงอย่างเธอ...ถ้าจะเล่นบทลูกกตัญญูผู้ใฝ่ดี หว่านชิงก็เล่นให้สมจริงจนคนดูน้ำตาไหลไปเลยสิ แผนการเริ่มต้นแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
“ท่านพ่อข้าสัญญาต่อนี้ไปข้าจะเป็นองค์หญิงที่ดีตั้งใจเล่าเรียนและ…และ… ไม่ทำให้ท่านผิดหวังจะงดงามดังหยกขาวและอ่อนหวานเยือกเย็นราวกับธารน้ำแข็ง”
“ไม่ต้องแล้วแค่นี้พ่อก็พอใจแล้วและเข้าใจเจ้าแล้ว”
“เช่นนั้นลูกอยากจะไปเล่าเรียนกับท่านราชครูจะได้ไหม”
บิดาผู้แสนจะโอ๋ลูกกลับเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน สีหน้าที่อ่อนโยนพลันแปรเป็นเด็ดขาด น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ทรงอำนาจ กลับมาสู่โหมด “จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่” ในพริบตา
“แต่ถึงเจ้าจะมีใจกลับตัวกลับใจ พ่อ... ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากห้องเด็ดขาด!”
เสียงนั้นจริงจังจนขบวนขันทีที่กำลังหอบยาบำรุงอยู่สะดุ้งพร้อมกัน หัวหน้าขันที “จื่อกง” ที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่พลันเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก
“จื่อกง ไปแจ้งไป๋เหวินหลง ให้นำองครักษ์มาประจำการที่เรือนนี้โดยทันที ห้ามให้ใครแม้แต่ลูกหมาหลุดเข้าออกได้โดยข้าไม่อนุญาต และอีกเรื่อง...ให้ไปบอกราชครูโม่ชิงเหยียน ให้มาสอนองค์หญิงใหญ่ที่ห้องนี้แทน”
หลี่หว่านชิงชะงักไปหนึ่งจังหวะ สมองอันเฉียบคมของอดีตนักแสดงสาวสาวแล่นวาบในพริบตา ให้พระรองโม่ชิงเหยียนมาเจอฉันในสภาพนั่งไขว่ห้างบนเตียงกับชุดนอนแบบนี้? พับผ่าสิ
หว่านชิงรีบเปลี่ยนโหมด เสียงหวานฉ่ำเอ่ยแผ่วเบา ยิ้มละมุนละไมแบบที่คนเป็นพ่อไม่มีวันต้านไหว
“ท่านพ่อเจ้าขา~ ลูกเข้าใจแล้วเพคะ ว่าท่านห่วงใย แต่พระอาจารย์โม่ก็งานยุ่งมาก อีกทั้งเป็นผู้ที่เคารพในกฎระเบียบ การให้เขาต้องละทิ้งตารางการสอนมาหาข้าเช่นนี้...นับว่ากระทบหลายฝ่ายนะเพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่หว่านชิงจะรีบยื่นมือไปจับปลายแขนเสื้อของบิดาอย่างแนบเนียน พร้อมส่งสายตาออดอ้อน
“ลูกคิดว่าวันนี้เพียงพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้หากร่างกายดีขึ้นแล้ว ลูกจะไปเรียนที่ตำหนักศึกษาด้วยตนเอง ดีหรือไม่เพคะ? อยู่ใกล้พี่น้อง อยู่ใกล้ท่านไท่จื่อ ย่อมได้เรียนรู้ทั้งวิชาและความกลมเกลียว...ลูกอยากทำให้ท่านภูมิใจจริงๆ นะเพคะ ไม่ใช่แค่ให้ท่านสบายใจเฉยๆ”
คำพูดนั้น อ่อนหวาน แต่ไม่อ่อนแอจริงใจ แต่ไม่บีบบังคับ หว่านล้อมได้พอดีจนฮ่องเต้ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
จื่อกงมองอากัปกิริยาแล้วลอบถอนหายใจอีกครั้ง โอ๊ย...จะมีองค์หญิงที่ไหนกล่อมฮ่องเต้เหมือนกล่อมแมวได้ขนาดนี้กันเล่า...
“อืม...ก็ได้” ฮ่องเต้ตอบรับในที่สุด แม้ยังมีแววกังวลอยู่บ้าง
“แต่ถ้าร่างกายยังไม่ฟื้นเต็มที่ จะไม่มีการฝืนตัวเองเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
“เพคะท่านพ่อ~” หลี่หว่านชิงยิ้มสว่างไสวเหมือนแสงอรุณรุ่ง
หว่านชิงยิ้มอ่อนๆ แววตาอ่อนลงอย่างอบอุ่น“ใช่ไหมล่ะ น้องเยี่ยนอิงน่ารัก อ่อนหวาน เหมือนกระต่ายน้อยตัวนุ่มๆ ...”เหมือนรับรู้ถึงสายตา ทั้งคำพูดของทั้งสอง เยี่ยนอิงเงยหน้าขึ้นทันที มือของนางก็กำลังถือพู่หยกเส้นหนึ่งอยู่พอดี หยกขาวใสสะอาด แกะเป็นรูป กระรอกน้อยอุ้มลูกวอลนัตกลมโต สีหน้าของเจ้ากระรอกดูอิ่มเอิบ แก้มตุ่ยนิดๆ อย่างซื่อๆเยี่ยนอิงเอียงคอมองอย่างแปลกใจ หยางหลินพูดขึ้นก่อนพลางยิ้มมุมปาก“พี่หว่านชิงคิดว่าอันนี้เหมาะกับพี่เยี่ยนอิง ส่วนพี่เยี่ยนอิง… คิดว่าอย่างไร”เยี่ยนอิงมองพู่หยกกระต่ายน้อยในมือพี่สาว แล้วดวงตาก็เป็นประกายทันที นางพยักหน้ารัวๆ แบบไม่ลังเลแม้แต่น้อย“น่ารักมากเลยค่ะ... ข้าชอบขอบคุณพี่สาว”หว่านชิงหัวเราะเบาๆ ขณะมองสีหน้าสดใสของน้องสาว ก่อนจะเหลือบเห็นหยกในมือของเยี่ยนอิงบ้าง“น้องเยี่ยนอิง… แล้วในมือเจ้าคือ?”เยี่ยนอิงรีบยื่นพู่หยกในมือตนให้ดู “ข้าคิดว่าอันนี้เหมาะกับน้องหยางหลินมากเลยค่ะ!”หว่านชิงมองกระรอกน้อยอ้วนป้อมในแผ่นหยก แล้วพลันนึกถึงภาพหยางหลินเมื่อบ่าย ที่พึ่งกินขนมสามชิ้นติดกันจนแก้มตุ่ย ริมฝีปากเลอะน้ำเชื่อม ภาพนั้นฉายชัดในความทรงจำ จนหว่านชิงหลุดห
เสียงกระดิ่งเงินตรงประตูดังกรุ๊งกริ๊ง เมื่อสามพี่น้องเหยียบย่างเข้าสู่ร้านหยู่อวี้ซิน ร้านหยกที่ประดับตกแต่งด้วยไม้แกะสลักเก่าแก่ ผนังเต็มไปด้วยตู้กระจกเรียงราย โชว์หยกมากมายละลานตา ทั้งหยกดิบ หยกขาวเนื้อใส หยกเขียวเนื้อแน่น ปิ่นหยกจิ๋วสลักเป็นกลีบดอกไม้ กำไลหยกเรียบเนียน และจี้หยกสารพัดรูปทรง“โอ้โห...สวยหมดเลย ข้าเลือกไม่ถูกนอกวังมีหยกงดงามเพียงนี้เชียวหรือ” หยางหลินอ้าปากพึมพำทันที เยี่ยนอิงก็ชะเง้อมองป้ายหยกและเครื่องประดับต่างๆ สีหน้าเงียบขรึมแต่นัยน์ตาเป็นประกาย หว่านชิงที่เดินนำอยู่ก็ยิ้มขำๆ ก่อนจะหยุดดูที่ตู้กระจกตรงมุมหนึ่ง นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ก่อนหันไปถามเถ้าแก่ที่เพิ่งเดินตรงเข้ามาอย่างสุภาพ เถ้าแก่ร่างท้วมใบหน้าผ่อง ยกมือประสานคำนับเล็กน้อย“คุณชาย คุณหนูทั้งสอง เชิญดูได้ตามสบายเลยขอรับ ร้านข้ามีหยกดีๆ เยอะมาก เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มี สนใจแบบไหนเล่า”หว่านชิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงนุ่ม“ตอนนี้มีหยกอะไรสวยๆ แปลกตาไหม ข้าอยากได้ของขวัญสักสามชิ้น ให้พี่น้องข้าน่ะ”“อ้อ เช่นนั้นต้องทางนี้เลยขอรับ เชิญ เชิญ~”เถ้าแก่ยิ้มแป้น พาเดินมายังอีกมุมหนึ่งของร้าน ก่อนเปิดกล่องหยกแกะสล
หว่านชิงหัวเราะเบาๆ พลางหันไปทางอีกข้าง เยี่ยนอิงกำลังตาโตมองร้านขายของจุกจิก ทั้งเครื่องประดับเล็กๆ จานชามเคลือบลวดลายงดงาม หรือแม้แต่ขนมแปลกตาแล้ววิ่งที่หน้าร้านในทันทีปกติแล้วฮองเฮาไม่อนุญาตให้องค์หญิงรองออกมานอกเขตวังหลวงเด็ดขาด หยางหลินรีบวิ่งตามไปเพราะเป็นห่วง หว่านชิงเลยตบมือเบาๆ ให้พวกเขาได้สติ ทั้งคู่หยุดกึกไม่กล้าขยับตัว“เอาล่ะๆ พวกเจ้าอยากดูอะไรเป็นพิเศษไหม วันนี้พี่จะดูแลพวกเจ้าเองนะ พาเที่ยวให้ครบ แล้วเดี๋ยวซื้อของที่ระลึกจากการหนีเรียนครั้งแรกของเราติดไม้ติดมือกันคนละชิ้นดีไหม”หยางหลินพยักหน้าทันทีอย่างตื่นเต้น อดคิดไม่ได้ว่าทำไมองค์หญิงใหญ่ใจดีขนาดนี้“ข้า…ข้าอยากได้ของที่ใช้ได้…พกเก็บไว้ได้…”หว่านชิงทำท่าครุ่นคิด เอานิ้วจิ้มคาง หรี่ตาอย่างนักวางแผนใหญ่ “งั้น...ต้องเป็นพวกเครื่องประดับแล้ว เอาแบบนี้ดีไหม ข้ากับน้องเยี่ยนอิงจะเลือกให้เจ้า ข้ากับเจ้าจะเลือกให้น้องเยี่ยนอิง แล้วเจ้าและน้องเยี่ยนอิงก็เลือกให้ข้า เป็นยังไง”หยางหลินหันไปมองเยี่ยนอิงที่ยังคงดูนิ่งๆ แต่อีกฝ่ายก็พยักหน้าช้าๆ ด้วยรอยยิ้มบางเบาแต่ดวงตาเป็นประกาย“ดีเลย…” หยางหลินพูดอย่างดีใจหว่านชิงจึงโอบรอบ
ปลายประโยคกลายเป็นวาจาประชดประชัน เสียงดังจนแม้แต่พัดในมือขันทีก็แทบสะดุด เหวินหลงที่คุกเข่าอยู่เงยหน้าขึ้นช้าๆ ประสานมือ ก้มศีรษะเล็กน้อย กล่าวเรียบเฉยอย่างไม่มีเยื่อใย "ฝ่าบาทเป็นผู้สั่งให้ปล่อยมือจากองค์หญิง ข้าจึง...""แต่เจ้ากอดนางไว้! ลูกข้าใครห้ามกอด" ฮ่องเต้ทรงยกมือขึ้น ชี้หน้าราวจะตำหนิอย่างถึงที่สุด "จับแขนก็ได้! ใครให้โอบเอว กอดแน่นขนาดนั้น!?"พระวรกายสูงใหญ่ของฮ่องเต้ที่เคยเป็นแม่ทัพมาก่อนลุกขึ้น ย่างก้าวไปมาเหมือนพยัคฆ์กราดเกรี้ยว"หากไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นแม่ทัพคนโปรดของเรา ข้าคงฟาดเจ้าไปแล้ว!"น้ำเสียงจริงจังเหวินหลงถอนหายใจเบาๆ ไม่แม้แต่จะโต้แย้ง เขาเพียงแต่ประสานมือกล่าวเบาๆ“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะต่อไปไป๋เหวินหลงไมกล้าอีกแล้ว”เหวินหลงถอนหายใจเบาๆ รู้ดีว่าเถียงไปก็ไม่ชนะ ฮ่องเต้ก็เป็นแบบนี้เมื่อเป็นเรื่ององค์หญิงใหญ่ก็จะไม่ยอมใครเด็ดขาดจึงเป็นฝ่ายไม่แก้ตัวต่อ เขาเองตอนนั้นก็ไม่ตั้งใจทำรุนแรงเพียงแต่เขารู้ฤทธิ์ฮ่องเต้ดี เขาชินแล้ว “คราวหลังห้ามกอดถึงจะกอดได้ก็ห้ามกอดแน่น” ยังไม่เลิกราเรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกสาวคนโปรดไม่มีทางยอมใคร"กระหม่อมไม่ตั้งใจ"ชิงเหยียนที่นั่งข้างๆ อมย
เสียงรองเท้าหนังขลิบทองกระทบพื้นหินอ่อนกึกก้องอย่างเป็นจังหวะ ราชครูโม่ชิงเหยียนในชุดคลุมสีดำสนิทปักลายเมฆขาวเดินเคียงข้างแม่ทัพไป๋เหวินหลงผู้สง่างามดุดันในชุดเกราะเบาบางลายอสรพิษเงิน พวกเขาเดินผ่านระเบียงทางเดินยาวข้างตำหนักกว้าง เหล่าขันทีและนางกำนัลที่ยืนอยู่ตามข้างทางต่างก้มหน้าหลบสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงแต่พอทั้งสองผ่านพ้นไปแล้วกลับมีนางกำนัลบางคนที่ห้ามใจไม่อยู่ เหลือบตามองตามหลังสองบุรุษผู้เปรียบเสมือน "มันสมองและกำลัง"ของฮ่องเต้ หล่อเหลาคนละแบบแต่กลับดูเหมือนเข้าขากันอย่างแปลกประหลาด จนถูกขนานนามว่าสองพยัคฆ์แห่งวังหลวงราชครูโม่ชิงเหยียนเลิกคิ้วน้อยๆ หันหน้าไปมองอีกฝ่ายที่ยังคงเดินอย่างมั่นคงและนิ่งงันตลอดทาง เอ่ยด้วยเสียงเรียบขรึมแต่แฝงความเหนื่อยหน่าย“ฝ่าบาทให้ท่านมาตามข้าด่วนถึงเพียงนี้ มีเรื่องอะไรหรือ”“เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก…เกี่ยวกับองค์หญิงใหญ่” แม่ทัพไป๋เหวินหลงตอบสั้นๆ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางโม่ชิงเหยียนถอนหายใจยาวอย่างระอา ดวงตาเรียวยาวสีนิลลอบจับสีหน้าอีกฝ่าย แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับจะไม่อยากพูดถึงนัก“ท่านคงไม่รู้สินะ... ข้าว่าน่าจะเป็นเรื่อง บ่อปลาคาร
“หา? ข้าหรือ”หว่านชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นใช้สองมือจับแก้มหยางหลินไว้แน่น ล็อกสายตาให้มองหน้าตัวเองตรงๆ สบตาน้องชายต่างโลกนิ่ง“ข้าตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น! ตอนนี้คือข้าแล้ว! เรียกสิ เรียกเลย~ พี่สาว~ หวานๆ ด้วยนะพี้สาววววววว”ดวงตาของหยางหลินวูบไหวเล็กน้อย หยางหลินหน้าแดงก่ำ ลังเลไม่กล้าเอ่ยคำออกมาในขณะที่หว่านชิงกำลังจะตื๊ออีกคำ จู่ๆ ก็หยุดนิ่งไป ราวกับมีเสียงสะท้อนในใจ…ข้ารู้ดี…เด็กคนนี้เดิมน่าสงสารนักในต้นฉบับ เขาก็แค่ตัวประกอบที่โผล่บ้างไม่โผล่บ้าง…พูดน้อย บทน้อยกว่าสาวใช้ข้างกายเยี่ยนอิงเสียอีกทุกครั้งที่มีฉากของเขา เขาก็มักอยู่ตัวคนเดียวเงียบ นิ่ง ราวตอไม้ประดับฉากไม่ใช่เพราะนักแสดงเล่นแข็ง แต่เพราะเขาเป็นรัชทายาทตำแหน่งที่หนาวเหน็บที่สุดในใต้หล้า…ผู้คนรอบตัวหวังเพียงผลประโยชน์จากเขายังดีที่เขาไม่มีพี่ชายน้องชายมาอิจฉารังแกแย่งตำแหน่งเพราะไม่มีพี่ชายน้องชายก็ทำให้เขาไม่เคยมีเพื่อนเล่นมาก่อนเลยองค์หญิงในวังก็ไม่มีใครมาเล่นกับเขาไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีพี่น้องเข้าใจ ไม่มีใครเล่นด้วย…แม้แต่องค์หญิงใหญ่ในต้นฉบับก็ไม่เคยแม้แต่จะทักเขามีแต่เขา…ที่อยากเรียกนางว่าพี่สาวแต่เ
ซื่อซื่อมองตามหลังองค์หญิงใหญ่ที่ก้าวเดินรับเช้าวันใหม่ที่จะไปเรียนหนังสืออย่างสดใสไปทางห้องเรียน รู้สึกเหมือนมีพลังสายลมแห่งภารกิจเป่าโบกตามหลังอยู่เบาๆ คำว่าเก็บแต้มๆๆๆๆๆๆๆ ลอยตามหลังไปติดๆเมื่อหว่านชิงมาถึงตำหนักศึกษาหลวง ก้าวย่างอย่างร่าเริงยิ่งกว่านกน้อยที่เพิ่งหลุดจากกรง ทว่า...วันนี้กลับไม่เห็นเงาราชครู โม่ชิงเหยียนตามเคย คนอะไรหายไปทุกที ไปมาลึกลับไร้ร่องรอยหว่านชิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่คิดมาก รีบไปประจำที่นั่งอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็พบว่า ไทจื่อหยางหลินกับเยี่ยนอิงมาถึงก่อนแล้ว และนั่งอยู่ใกล้กันตามตำแหน่งไท่จื่อหยางหลินรีบหลบตาพี่สาวต่างมารดาทันทีเพราะความทรงจำเก่าๆแต่ความเงียบแปลกๆ ทำให้นางรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ขาดหาย… หว่านชิงเหลือบมองที่ว่างของราชครูโม่ชิงเหยียน อย่างกังวลเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้าแล้วตบไหล่หยางหลินเบาๆ“นี่น้องรัก ครูเราหายไปไหนล่ะ? เจ้ารู้ไหม”หยางหลินสะดุ้งเล็กน้อยราวกับถูกสะกิดกลางใจ แล้วก็หลุบตาลงต่ำโดยไม่หันมามองนาง ก้มหน้าบ่นอะไรเบาๆ ประมาณว่าซวยแล้วอะไรแบบนี้“ว่าไงนะน้องรัก”“ท่านราชครูติดธุระ... สั่งให้พวกเราอ่านทบทวนรอไปก่อน อา
แสงแดดยามเช้าเอื่อยเฉื่อยสาดต้องชายผ้าของเหล่านางในที่เดินวุ่นอยู่ในห้องเครื่องในวังหลวง กลิ่นโจ๊กหมูตุ๋นยาจีนคลุ้งลอยมาแตะปลายจมูก ไอน้ำร้อนระอุเหนือหม้อเหล็กยักษ์ราวกับม่านหมอกในหุบเขาซื่อซื่อเดินเข้ามาเงียบๆ เพื่อมายกสำรับขององค์หญิงใหญ่หว่านชิง สีหน้านางเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ ทว่าหูของนางไม่อาจหลีกพ้นถ้อยคำที่เล็ดลอดจากกลุ่มนางในห้องเครื่องซึ่งกำลังเม้าท์มอยกันสนุกปากถึงเรื่องใหญ่ของเมื่อวาน"เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อวานองค์หญิงใหญ่ออดอ้อนขอฝ่าบาทให้กลบบ่อปลาคราฟทั้งวังทิ้งหมดเลยนะ!"นางในห้องเครื่องคนหนึ่งป้องปากพูดแต่กลับพูดดังราวกับตะโกนกระนั้น“ไม่ใช่แค่ทั้งวังฝ่าบาทยังให้คนออกไปกลบบ่อปลาคราฟนอกเขตวังหลวงอีกด้วยได้ยินว่าเพราะโปรดปรานองค์หญิงใหญ่มากจึงกลบมาก แล้วยังกลับในส่วนที่นางบอกว่าเป็นส่วนของความรักพระมารดาของนางที่ฝ่าบาทจะต้องทดแทนส่วนนั้นอีกด้วย”"องค์หญิงใหญ่ผู้นี้นี่ก็ช่างจิตใจโหดร้าย บ่อปลาคราฟนั้นอุตส่าห์เป็นที่โปรดของฝ่าบาทและสนมทั้งหลายแล้วยังเกี่ยวพันถึงฮวงจุ้ยของแคว้นเราอีกด้วย ยังจะให้ถมทิ้งเพียงเพราะฝันร้าย?!"หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย นึกสงสารปลาคราฟ"ข้ายังได้ยินมาอีกว
หว่านชิงหันไปสบตากับซื่อซื่อที่ยังทำหน้าห่วง ๆ อยู่ ซื่อซื่อเรียกสติหว่านชิงอย่างร้อนรน "คุณหนู! คุณหนู! เป็นอะไรไปเจ้าคะ!"บัตรเช่าหนึ่งชั่วโมงของเธอ...เตะตัดขา ความฝันไปเลยลูก! 5555 แต่เดี๋ยวก่อน ยังไม่ทันได้ซึมซับความน้อยใจ บรรยากาศก็เปลี่ยนฮวบ!"หว่านชิงลูกพ่อออออออออ!!!"เสียงตะโกนกังวานของฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้แว่วมา พร้อมเสียงฝีเท้าดัง ตุบตุบตุบ และชุดคลุมจักรพรรดิสะบัดอย่างองอาจเข้ามาหาเธอ"ลูกพ่อ! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่! เจ้าเจ็บตรงไหน!!โอ๊ย ใจพ่อร้อนยิ่งกว่าเปลวเพลิงเสียอีก!” ขันทีข้างกายหน้าซีดเป็นกระดาษ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ฮ่องเต้ก็ตวาดลั่น"ยังจะยืนโง่อยู่ทำไม! ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!!ลูกข้าอาการเป็นอย่างไรทำไมพวกเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยขององค์หญองค์ใหญ่ให้มากกว่านี้ ลูกพ่อออเจ้าทำไมนิ่งไปเล่าช็อคหรือไรหรือว่าเจ็บตรงไหน"หว่านชิงถึงกับสะดุ้ง รีบยกมือห้ามทัพ "ท่านพ่อเจ้าขา ใจเย็นๆ ก่อนเพคะ ลูกไม่เป็นอะไรเลย แค่... แค่ตกใจนิดหน่อยเอง"ในใจเธอก็แอบขำตัวเอง ก็แค่กำลังคุยกับระบบอยู่นี่นา ฮ่องเต้หรี่ตามองไปทางแม่ทัพที่เดินหันหลังไปไกลแล้ว"ไป๋เหวินหลง...เจ้าบ้านั่น! ข้าบอก