แชร์

บทที่ 31 ไม่ชอบ

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:40:51

กว่าจะถึงเทศกาลหยวนเซียวยังต้องผ่านเทศกาลฉลองปีใหม่ไปเสียก่อน เฉียวซื่อจึงยังไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับเฉินเจียวเจียว แม้ว่าจวนผิงกั๋วกงจะต้องฉลองเทศกาลกันอย่างเงียบเหงาอยู่บ้างเพราะปีนี้บุรุษภายในจวนล้วนยังอยู่ที่หัวเมืองชายแดนแต่ก็ยังคงมีบรรยากาศของความเป็นมงคล

เฉินเจียวเจียว เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมีช่วยกันปักผ้าเพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้อาวุโสภายในจวน ส่วนบ่าวไพร่ก็ล้วนได้รับเงินทองและเครื่องประดับจากเจ้านายเพื่อเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่กันอย่างถ้วนหน้า สิ่งที่ทำให้ผู้คนภายในจวนมีความสุขมากที่สุดก็คือจดหมายที่มาจากชายแดนทางเหนือ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างปลาบปลื้มใจเมื่อรู้ว่าบุตรชายและหลานชายของนางยังคงปลอดภัยและมีความเป็นอยู่ที่ดี

เฉินเจียวเจียวมองบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนทั้งจวนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน คืนส่งท้ายปีพวกนางล้วนแล้วแต่แต่งกายกันอย่างดงามมากเป็นพิเศษเพื่อกินอาหารร่วมกันและนั่งพูดคุยกันเพื่อรอส่งท้ายปี เสียงประทัดและดอกไม้ไฟดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งตรอกสุ่ยอัน เฉินเจียวเจียวออกไปยืนมองท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ไฟด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้ามาหานางด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา

“งดงามมากใช่หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“งามมากเจ้าค่ะ ดอกไม้ไฟที่มองจากจวนผิงกั๋วกงของพวกเราน่าจะเป็นดอกไม้ไฟที่งดงามมากที่สุดแล้ว” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

“ทำอย่างกับว่าเจ้าเคยได้ไปดูดอกไม้ไฟที่จวนอื่นมาแล้วอย่างนั้นแหละ เฮ้อ เป็นเด็กสาวเช่นพวกเจ้านี่ช่างดีจริงๆ ไม่ไหวแล้วหญิงชราเช่นข้าคงต้องขอไปนอนก่อนแล้ว อ้อ! เจ้าเองก็อย่าได้นอนดึกนักเล่า วันพรุ่งนี้มีนัดออกไปข้างนอกกับสหายมิใช่หรือ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาพลางรับคำเสียงเบา

“เจ้าค่ะ ท่านย่าไปนอนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินจากไป เฉียวซื่อจึงได้เดินเข้ามาหานางและเอ่ยบอกนางเรื่องเทศกาลหยวนเซียวที่กำลังจะมาถึง

“ข้าก็ต้องไปด้วยหรือเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็หัวเราะออกมา

“ย่อมต้องไปด้วย เด็กสาวเช่นพวกเจ้าน้อยคนนักจะได้มีโอกาส ไม่ต้องกังวลข้าคุยกับอาสะใภ้ทั้งสองของเจ้าแล้วว่าจะพาเจียวเหม่ยและเจียวมี่ไปร่วมงานกับพวกเราด้วย” เมื่อได้ฟังประโยคนี้ของเฉียวซื่อเฉินเจียวเจียวก็ทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ช่วงนี้นางยังไม่อยากจะเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นโดยเฉพาะโซ่วอ๋อง นางหลุดพ้นจากเขามาได้แม้ว่าในใจจะรู้สึกว่างโหวงอยู่บ้างแต่ก็เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสบายใจ ส่วนหลินชิงเหมยผู้นั้นน่ะหรือ

‘หึหึ ปล่อยให้นางลิ้มรสของการเป็นว่าที่พระชายาของเขาไปก่อนเถิด ไม่แน่ว่ายามนี้พระนางเต๋อเฟยอาจจะลงมือหนักเสียจนข้าไม่ต้องลงมือด้วยตนเองเลยก็เป็นได้’ เมื่อเฉินเจียวเจียวคิดได้เช่นนี้ก็รีบตอบรับเฉียวซื่อในทันที

“ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในเทศกาลหยวนเซียวที่จัดขึ้นภายในวังก็ดีเช่นกันเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากจะรู้ว่างานฉลองเทศกาลโคมไฟที่วังหลวงจัดขึ้นจะแตกต่างจากข้างนอกหรือไม่” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ส่งยิ้มให้นาง

“ย่อมแตกต่าง เพียงแต่อาจจะไม่ครึกครื้นเท่าข้างนอก เอาเป็นว่าเมื่องานเลี้ยงภายในวังเลิกแล้วแม่จะพาเจ้าและญาติผู้น้องทั้งสองของเจ้าไปเดินเล่นภายในงานเทศกาลที่จัดขึ้นทางตลาดทิศใต้ก็แล้วกัน” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันมีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาในทันที

“จริงๆ นะเจ้าคะ” เมื่อเฉียวซื่อพยักหน้าเฉินเจียวเจียวก็รีบเดินไปบอกข่าวดีกับน้องๆ ในทันที ซึ่งทั้งเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่รู้ว่าจะได้ไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีพวกนางก็พากันดีอกดีใจในทันที ทำให้ทั้งเฉียวซื่อและน้องสะใภ้ทั้งสองคนต่างส่ายศีรษะให้กับท่าทีเช่นนี้ของพวกนาง หากเป็นเด็กสาวคนอื่นๆ ย่อมจะรู้สึกยินดีที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นภายในวังมากกว่า แต่เด็กสาวจากจวนผิงกั๋วกงกลับดีอกดีใจที่จะได้ออกไปเที่ยวภายในงานเทศกาลที่สามารถเข้าร่วมได้ทุกปีอยู่แล้วมากกว่างานเลี้ยงฉลองเทศกาลภายในวัง

ในขณะที่ทางฝั่งจวนผิงกั๋วกงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่กันอย่างอบอุ่น แต่ทางวังหลวงกลับเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างเป็นงานเป็นการ เริ่มจากบรรดาขุนนางต่างร่วมกันดื่มถวายพระพรให้แก่หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ มีการตกรางวัลและมอบรางวัลให้แก่ขุนนางที่ทำความดีความชอบ ภายในงานเลี้ยงสิ้นปีมีแต่ขุนนางที่มีความสามารถในการประจบสอพลอ และก็ยังมีขุนนางอีกหลายคนที่เมื่อดื่มมากแล้วก็ใจกล้ามากยิ่งขึ้นเอ่ยถึงเรื่องที่ตำหนักบูรพายังคงไม่มีนายหญิงเสียทีออกมาจนทำให้คนในงานต่างพากันเสียอารมณ์โดยเฉพาะหลี่เซียวหลงฮ่องเต้

“ข้าที่เป็นบิดายังไม่ร้อนใจ แต่ขุนนางเหล่านั้นกลับร้อนใจแทนข้าไปเสียแล้ว” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาหลังจากที่ออกจากงานเลี้ยงและได้อยู่ร่วมกันเพียงลำพังกับองค์รัชทายาทแล้ว

“ลูกเองก็ยังสงสัย ตำหนักในของเสด็จพ่อในยามนี้ก็ยังไม่มีนายหญิงอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดพวกเขาจึงไม่คิดจะเอ่ยถึงเรื่องนี้”

“หึ หึ ข้าน่ะแก่แล้วต่อให้แต่งตั้งฮองเฮาในตอนนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็ไม่มีทางเป็นคนสกุลจ้าว ยามนี้คุณหนูรองสกุลจ้าวผู้นั้นก็คงจะต้องรอเจ้ามานานจนเกินไปแล้ว หากไม่เอ่ยถึงเรื่องการแต่งตั้งชายาองค์รัชทายาทเสียทีนางเองก็คงจะรอไม่ไหวแล้วเช่นกัน” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้เอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ถอดถอนใจออกมาในทันที

“นางอยากได้ก็ใช่ว่าข้าจะให้นางไม่ได้ เพียงแต่คนที่มุ่งหวังตำแหน่งนี้แท้ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่เพียงนางนี่สิ” หลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาพลางคิดถึงจ้าวฉีอัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่มุ่งหวังตำแหน่งพระสัสสุระอย่างไม่คิดจะปล่อยวาง

“จริงสิ! เมื่อหลายวันก่อนเฉียวกุ้ยเฟยมาพูดกับข้าเรื่องการแต่งงานของคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกง นางเอ่ยว่าหากให้เด็กสาวจากสกุลเฉินผู้นั้นแต่งกับคนที่อ่อนด้อยกว่าเจ้ารองก็คงจะไม่ยุติธรรมต่อเด็กสาวผู้นั้นเท่าใดนัก เรื่องนี้เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร”

“ไม่อ่อนด้อยกว่าน้องรองหรือ แม้ว่าน้องรองจะได้รับบรรดาศักดิ์โซ่วอ๋องแต่ก็นับว่าเป็นราชโอรสที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานมากที่สุด แล้วจะหาอ๋องที่ทัดเทียมเขาจากที่ไหนกัน อีกทั้งน้องสามและน้องสี่ก็ต่างมีคู่หมายกันไปหมดแล้ว น้องชายที่เหลือก็อายุน้อยจนเกินไป” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางหรี่ตาลง

“ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ข้าโปรดปรานเป็นอย่างมาก คู่หมายก็ตายมาหลายปีแล้วแถมฐานะก็ไม่มีทางจะด้อยกว่าเจ้ารอง” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็เอ่ยถามออกมาตามตรง

“เป็นพระนางเฉียวกุ้ยเฟยทรงตรัสออกมาด้วยตนเองหรือว่าเป็นเพราะผู้อื่นไหว้วานมากันแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“ย่อมจะเป็นฮูหยินผิงกั๋วกงไหววานนางมา” เมื่อพระบิดาตรัสเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ได้ยินมาว่าพวกนางเป็นแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงที่รักและเข้าใจกันมากที่สุด แต่ยามนี้ลูกเข้าใจแล้วว่าข่าวลือก็คงจะเป็นแค่เพียงข่าวลือ หากพวกนางรู้ใจกันจริงผิงกั๋วกงฮูหยินย่อมจะไม่มีทางเข้าวังมาเอ่ยวาจาเหลวไหลกับเฉียวกุ้ยเฟยเช่นนี้เป็นแน่” เมื่อพระโอรสเอ่ยออกมาเช่นนี้ริมฝีพระโอษฐ์ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็พลันยกขึ้น

“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า เด็กสาวผู้นั้นไม่ชอบเจ้าหรือ”

“ผู้ใดบอกว่าไม่ชอบ…” เมื่อเอ่ยจบเขาก็นิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“เสด็จพ่อลูกเหนื่อยแล้วขอตัวกลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางคารวะอำลาแล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจสีพระพักตร์ของพระบิดาเลยสักนิด

“เจ้าลูกคนนี้...” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทำได้แค่เพียงถอนปัสสาสะออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะทรงทำเช่นไรต่อพระโอรสผู้นี้ของพระองค์ดี

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status