ภายใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ บนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ของผืนพนาไพร เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ล้วนเคยออกมาหากินทั่วบริเวณ
แต่ทว่าบัดนี้ แผ่นดินเขียวชอุ่มภายใต้แผ่นฟ้าไร้ขอบเขต กลับชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ตลบอบอวลไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน ที่แสดงถึงความเจ็บปวดจากทัณฑ์ทรมาน เต็มไปด้วยกลิ่นสาบสางจากคาวโลหิตคล้ายธารารินไหล เศษซากของกองทัพกลาดเกลื่อนกระจัดกระจาย มองไปทางใดล้วนมีแต่เศษซากแห่งความตายหลังความวุ่นวายของความเสียหายย่อยยับแห่งแว่นแคว้น
และภายใต้สิ่งแวดล้อมที่บ่งบอกถึงกลิ่นอายความอำมหิตและหายนะครั้งใหญ่ มีหนึ่งบุรุษผู้สง่างามกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางซากปรักหักพังนั่น เขาเพียงยืนอยู่บนซากศพนับร้อยนับพันราวกับเป็นบัลลังก์แห่งจอมมารที่สรรสร้างมาจากเลือดเนื้อของศัตรู เขามีนามว่า หงซือกวน
หงซือกวน บุรุษหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ ผู้ที่ไม่เคยมีใครกล้าต่อกร เขาเป็นผู้นำของกลุ่มอิทธิพลมืดฝ่ายอธรรมที่ใหญ่ที่สุด เป็นประมุขสำนักหมื่นโลกันต์ จ้าวแห่งยุทธภพด้วยวัยเพียงสิบแปดปี
ครั้งนั้นปรมาจารย์ทิฮู้หงวนโส่ย ผู้ที่เปรียบเสมือนเทพแห่งสงคราม ได้รับให้เขาเป็นศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวและได้มอบหมายให้เขาได้ดูแลสำนักของยุทธภพถึงสามสำนักด้วยกัน
สามสำนักนั้น ล้วนโดดเด่นยิ่งใหญ่ มีสำนักย่อยนับร้อยพัน ทว่าหงซือกวนนั้นกลับไม่นำพา เขามิประสงค์ให้มันแบ่งแยกแตกสาขา จึงยุบทั้งสามสำนักเข้าด้วยกันและใช้ชื่อว่า สำนักหมื่นโลกันต์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ผ่านมาแล้วนับสิบปี หงซือกวน ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ยี่สิบแปดปี ก็ยังคงเป็นเอกบุรุษเสมอมา เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ทั้งยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตา หากมีใครกล้าเข้ามา มันผู้นั้นจะต้องเปลี่ยนร่างกายเป็นด้านชาและกลายร่างเป็นสายธาราที่ไหลบ่าด้วยธารโลหิตของตัวมันเอง
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายร้ายกาจของหงซือกวน สายตาคมกริบดุดันไม่เคยมีวี่แววล้อเล่นอยู่ในนั้น ริมฝีปากหยักได้รูปมิเคยมีใครได้เห็นมันแย้มยิ้มผลิบาน รูปร่างของเขาสูงโปร่งกำยำล่ำสัน แต่ทว่าช่างปราดเปรียว เพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้น ที่เขาใช้เยื้องย่างพาดผ่านแต่ละหนแห่ง และความรวดเร็วที่ย่างกรายของเขานั้นหาได้มีใครตามได้ทันไม่
ภายในสำนักหมื่นโลกันต์ที่รายล้อมไปด้วยสมุนลูกพรรคที่มีหน้าตาดำทมึนท่าทางน่ายำเกรงอยู่เต็มพื้นที่
“คารวะท่านประมุข” เสียงทุ้มต่ำดังกังวานของเหล่าสมุนต่างพร้อมใจกันทำความเคารพหงซือกวนยามเมื่อร่างสูงสง่าของเขาย่างกรายก้าวเท้าพาดผ่าน
หงซือกวนเพียงปรายสายตาคมเฉี่ยวดุดันเป็นเชิงยอมรับการคารวะแค่เพียงเท่านั้น ทุกคนในที่นี้ก็พร้อมใจกันก้าวถอยหลังไปคนละหนึ่งก้าวสองก้าวในทันที เพื่อเปิดทางให้แก่ท่านประมุขได้เดินผ่านตัวไป
กลิ่นอายมรณะแผ่กำจาย รังสีสังหารทัณฑ์ทรมานแผ่ปกคลุมไปในทุกที่ ที่หงซือกวนเคลื่อนกายพาดผ่าน และมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นเสมอมา
วันเวลาหมุนเวียนเคลื่อนขับทุกสรรพสิ่งหมุนเวียนเคลื่อนผ่านจากทิวากาลเปลี่ยนเป็นรัตติกาลอยู่หลายเพลา
ภายในห้องอันใหญ่โตโออ่าที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานคละคลุ้ง บรรยากาศอึกครึม มีโต๊ะชงชาลวดลายเขี้ยวเล็บอสรพิษรอบด้าน มีเก้าอี้ตัวใหญ่ไม่ต่างจากแท่นประทับของโอรสสวรรค์ ที่สลักลวดลายอันทรงพลังน่าเกรงขามของกรงเล็บแหลมคมและเกล็ดมังกรปิกัน[1]จำนวนสามสิบหกแผ่น[2] ที่เดิมทีมีท่านประมุขนั่งอยู่ แต่บัดนี้กลับความว่างเปล่า ไร้ร่างทรงอำนาจของท่านประมุขอยู่ตรงนั้น
“ท่านประมุขหายไปที่ใดกัน” เสียงทุ้มต่ำของสมุนคนสำคัญแห่งสำนักหมื่นโลกันต์ผู้หนึ่งเอ่ยถามไปยังสมุนอีกคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดใคร่รู้
“ท่านประมุขไปฝึกวิชาห้ามผู้ใดย่างกรายไปรบกวนจนกว่าท่านประมุขจะเดินทางกลับมาด้วยตัวเอง” สมุนอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างรู้เรื่องราวของท่านประมุขเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าเขาเป็นถึงสมุนมือขวาของท่านประมุขหงซือกวน
“อืม...” สมุนอีกคนรับคำอย่างรู้งานเป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่าสำนักหมื่นโลกันต์จะไร้ประมุขนั่งประจำอยู่ตรงโต๊ะลวดลายน่ากลัว แต่ก็ใช่ว่าจะมีใครที่จะสามารถรุกล้ำย่างกรายเบียดเบียนเข้ามาได้โดยง่าย ด้วยเพราะว่าท่านประมุขหงซือกวนของพวกเขานั้น ย่อมมีหูมีตาอยู่รอบทิศทางครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แน่นอนว่าน้ำบ่อย่อมไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หากแต่ปลาในน้ำกลับมุดดินแทรกซึมไปทั่วทุกหัวระแหง...
[1] มังกรปิกันเป็นมังกรที่รักในการใช้พละกำลัง เป็นการแสดงความดุร้าย
[2] มังกรจีน มีเกล็ดสีเขียวเข้มทั่วทั้งบริเวณลำตัวรวมทั้งสิ้น 117 เกล็ด ซึ่งเกล็ดมังกรจำนวน 81 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยางซึ่งเป็นเกล็ดที่มีความดี เกล็ดมังกรจำนวน 36 แผ่น มีคุณสมบัติเป็นหยินซึ่งจะเป็นเกล็ดที่มีความชั่ว
ที่โต๊ะอาหารหนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมหงซือกวนนั่งนิ่งไม่ไหวติง ในมือคลึงจอกเหล้าอย่างเฉยชา สายตาเย็นเยียบมองผ่านศีรษะของสตรีข้างกายไปทางนอกประตูของโรงเตี๊ยม ท่าทางของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่สนใจใครทั้งสิ้นความรู้สึกอ่อนละมุนบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาบางเบา ความปรารถนาที่มีต่อใครบางคนปกคลุมส่วนลึกของจิตใจชั้นแล้วชั้นเล่า บนใบหน้าเย็นชานั้นปรากฏรอยยิ้มแวบหนึ่งอย่างมิอาจควบคุมเขาทำใครบางคนแง่งอนเสียแล้ว...“อา...ท่านประมุขหง” เสียงหวานของสตรีข้างกายเอ่ยเรียกขานทันใด ยามเห็นรอยยิ้มวูบนั้นของหงซือกวน สายตาเรียวสวยของนางพลันสั่นไหว เรือนร่างพลันสั่นระริกมิคาดว่าจะได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มนี้ เฉินเซียงผู้นี้ตายสักสิบชาติภพก็นับว่าคุ้มค่าแล้วหงซือกวนละสายตาคู่คมออกจากเหม่ยหลินที่กำลังปั้นปึ่งเดินจากไป ท่ามกลางความมืดสลัวที่ยังคงมีแสงโคมสาดส่องไปทั่ว แล้วมองสตรีนามว่าเฉินเซียงนิ่งๆ คงไว้ซึ่งท่าทางเรียบเฉยใบหน้าเย็นชาทันทีที่เขาเดินเข้ามายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เศษเสี้ยวความทรงจำบอกเขาว่า สตรีตรงหน้าคือคนที่เขาต้องการความมืดดำในแววตาพร้อมสีหน้าเย็นเฉียบปานหิมะของหงซือกวนที่จ้องนิ่ง ทำเอาเฉินเซียงต้อง
ภายในห้องอาหารของโรงเตี๊ยมหลังจากได้ฟังเรื่องราวถึงสาเหตุที่ตกหน้าผาทำให้เหม่ยหลินต้องระหกระเหินเยี่ยงนี้ เฟิงหลิวก็มีสีหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อหยวนจงตบโต๊ะเสียงดังสนั่น ปากก็พูดว่า อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเจ้าต่ำช้าที่ทำข้าตกผานั่นเป็นใคร!เป็นความจริงว่า เฟิงหลิวจะมิให้ใครได้ล่วงรู้แน่นอน...การสนทนาเปลี่ยนเรื่องจึงเกิดขึ้น เมื่อเฟิงหลิวเอ่ยชมบรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมว่าดีมาก เหมาะแก่การพักผ่อนเหลือเกิน สาวงามที่ร่ายรำกลางโถงก็ระหงหยาดเยิ้มเหลือเกิน อาหารก็เลิศรสเหลือเกิน ลูกค้าที่เข้ามาก็รูปงามกันเหลือเกิน ทุกอย่างล้วนดีไร้ที่ติทั้งสิ้นฟางหลันนั่งฟังอย่างสงบ ในใจเริ่มรู้สึกว่า เจ้านี่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลยในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารและฟังเฟิงหลิวเอ่ยชมทุกสิ่งของโรงเตี๊ยม สายตาสวยหวานของเหม่ยหลินก็เหลือบไปเห็นใครบางคนบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเข้าพอดีโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีเพียงสองชั้น แต่ทั้งสูงทั้งใหญ่และกว้างขวางมาก แบ่งด้านหน้าและด้านหลังชัดเจน พื้นที่ด้านในของด้านหน้ามีลักษณะโอ่อ่าใหญ่โต ชั้นล่างสุดเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เมื่อเงยหน้าแล้วมองขึ้นไป
โรงเตี๊ยมสูงตระหง่านหลังใหญ่แห่งหนึ่งมีชื่อว่าโรงเตี๊ยมหมื่นลี้ที่มีนามนี้ก็เพราะว่ามันตั้งอยู่ห่างจากเมืองรอบทิศทางไกลเหลือเกิน และที่สำคัญ ยังเป็นสถานที่สำหรับยอดฝีมือจากแปดทิศทั่วแดนมักจะได้มีโอกาสมาพบเจอกัน ได้สนทนากันตามวิสัยแห่งชาวยุทธ์ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ หากแต่ไม่ว่าผู้ใดได้ผ่านมา ล้วนต้องผ่านทางเข้าประตูของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทั้งสิ้นโดยด้านหลังของโรงเตี๊ยมมีลานกว้างและปราการทรงพลัง คล้ายเวทีการประลองขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พี่น้องต่างสำนัก ใช้สำหรับปะทะฝีมือวัดพลังเพื่อข่มขวัญและเพิ่มมิตรมาช้านานทั้งนี้ ถึงแม้จะมีการปะทะกันเป็นประจำ หากแต่ทุกฝ่ายกลับมิได้กระทำการด้วยแค้นเคือง ต่อให้ประลองพ่ายแพ้ก็แค่กลับมาแก้ตัวใหม่ในรอบหน้า การมีปัญหากันระหว่างชาวยุทธ์จึงไม่เกิดขึ้น เพราะการผูกใจเจ็บต่อกันยามประมือ ย่อมหมายถึงปัญหาระหว่างสำนักและอาจลากยาวไปถึงการพาสำนักล่มสลายก็เป็นได้ประโยคที่ว่า ท่านช่างเก่งกล้า ข้ามิอาจต้านทาน และ ขอบคุณที่ออมมือ จึงเกิดขึ้นเป็นเนืองนิตย์ เพียงแต่สลับฝ่ายยามเจอกันแต่ละคราก็เท่านั้นบนทางเดินที่มีฝุ่นดินปลิวว่อนยามสายลมเคลื่อนผ่าน เรือนร่างสูงโปร
ชั่วพริบตาเดียว หญิงสาวรีบเรียกสติของตนโดยละความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไป นางลุกขึ้นยืนตัวตรง พยายามสลัดภาพหงซือกวนออกจากจิตใจ ปากก็กล่าวเสียงเรียบออกไปว่า “ท่านแม่ทัพโปรดสำรวม”“...”เสียงเรียบเรื่อยเย็นเยียบดุจผืนน้ำแข็งแผ่นบาง พาให้รู้สึกเย็นชาห่างเหินหยวนจงนิ่งชะงักทันใด ฝ่ามือแข็งค้างกลางอากาศเหม่ยหลินเอ่ยออกมาอย่างเย่อหยิ่งถือตัวและเว้นระยะห่าง นางทำเช่นนี้เพราะกำลังแง่งอนหงซือกวน ทุกกิริยาล้วนแสดงออกถึงหงซือกวนผ่านหยวนจงหากนางเจอพี่หงอีกครา นางจะทำเช่นนี้กับเขาหญิงสาวเชิดหน้าปรายสายตามองหยวนจงเช่นสตรีสูงส่งมองบ่าวไพร่แล้วเดินออกไปด้วยท่าทางดั่งนางพญานี่คือตัวตนอีกด้านหนึ่งของเหม่ยหลินยามนางอยู่ในพระราชวัง หรือต่อหน้าธารกำนัล นางล้วนต้องรักษากิริยาและท่วงท่างามสง่าอยู่เนืองนิตย์ มิอาจปล่อยตัวได้ตามสบาย นางต้องปกปิดความอ่อนแอด้วยกิริยาเว้นระยะห่างเหิน มิให้ใครได้เข้าใกล้มีเพียงได้อยู่กับใครบางคนเท่านั้น ที่นางไม่เคยคิดจะถอยห่าง ทั้งยังไม่ต้องการอยู่ไกลจากเขาแต่เรื่องนั้นช่างเถิด ในเมื่อทุกอย่างต้องเป็นเช่นนี้ อย่างมิอาจทำสิ่งใดใด้ไปกว่านี้เหม่ยหลินคิดได้ในใจ ยามเยื้องย่างพากาย
หากแต่ซุนตี้ก็มิอาจคิดการณ์แทนท่านประมุขแต่อย่างใดเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแต่มิใช่ตัวแทน เป็นลูกน้องแต่มิใช่ลูกน้อง หรือเป็นคนสนิทก็ยังมิกล้าคิดบังอาจ“ท่านหัวหน้าซุนเชื่อข้าหรือไม่เล่า ว่าท่านประมุขกำลังตามหารักแท้” ชายชุดสีแดงเพลิงคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางภาคภูมิใจมาก ที่ท่านหงซือกวนผู้เคารพรักจักมีภรรยาในเร็ววันได้พบพานก่อเกิดรักจนบังตา พาใจถวิลหาทุกสรรพสิ่งล้วนไร้ความหมายได้เดินทางตามรักแท้ยืนยง เป็นชายกล้าที่มั่นคง ไม่ไหวเอน...บทกลอนนี้ชายชุดแดงแต่งให้ท่านประมุขหงโดยเฉพาะ เขาไม่สนใจเลยสักนิดว่ามันจะไพเราะหรือไม่“เจ้าแน่ใจหรือฟ่านเจิง ว่าท่านประมุขตกเหวลงไป” ซุนตี้เอ่ยถามเสียงเรียบไปทางชายชุดแดงที่มีนามว่าฟ่านเจิงฟ่านเจิงตอบเสียงดัง มั่นใจมาก “ตกเหวหรือไม่หาได้สำคัญไปกว่าท่านประมุขมีคนรัก” เขาไม่มีทางหลงประเด็นเด็ดขาด! ความคิดว่าท่านประมุขตกผาตายไม่เคยมี ในหัวใจล้วนมีแต่สีชมพูแห่งลมวสันต์ของท่านประมุขกล่าวจบก็หันไปมองสมุนคนอื่นๆ ด้วยสายตาคู่เรียวที่ทอประกายวาววับ จนสมุนทุกคนต้องพยักหน้าหนักแน่นเห็นด้วยทุกประการ พวกเขาพากันเชื่อเช่นนั้น ทั้งยังมั่นใจมากซุนตี้เพียงหรี่ตามองด้วยส
“เป็นได้หรือไม่ว่ามีการแอบอ้างนามของเขา” สมุนคนหนึ่งเอ่ยกับหรงชางหลังจากวิเคราะห์อยู่เป็นนาน “เพื่อปั่นหัวพวกเรา”หรงชางหรี่ตาสีหน้านิ่งเรียบแล้วกล่าวแทรกเสียงเครียด “นามของผู้นี้ ใช่ว่าจะแอบอ้างได้โดยง่าย”“เช่นนั้นเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ” สมุนอีกคนถามขึ้นหรงชางทำท่าครุ่นคิดหนักหน่วงจนปวดหัวไปหมด เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เขาจึงพลิกร่างสูงขึ้นรถม้าแล้วเข้าไปด้านในหายเงียบไป ปล่อยให้สมุนพากันมองหน้าไปมาอย่างงุนงง“มีอะไรหรือ?” เหม่ยฮว๋าถามขึ้นเมื่อเห็นหรงชางเข้ามานั่งในรถม้า “ข่าวการตายของน้องสาวข้ากลับมาถึงท่านแล้วใช่หรือไม่” นางถามพร้อมรอยยิ้มหวานหยดแฝงความสาแก่ใจ “พาข้าไปดูศพของมันหน่อยเถิด”หรงชางหาได้ตอบคำแต่กลับถามกลับเสียงเย็น “เจ้ากับน้องสาวมีความแค้นอันใดต่อกัน?”เหม่ยฮว๋าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกอดอกเอนหลังพิงผนังรถม้าในท่วงท่าเย่อหยิ่ง “ทำไม? อย่าบอกนะว่าท่านแค่เห็นภาพของมันก็นึกพึงใจจนตัดใจสังหารไม่ลงเสียแล้ว” นางหึงหวงบุรุษทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสามีคนใด“เจ้าแค่ตอบมา”“ก็แค่ปัญหาทั่วไปของสตรี ท่านจะถามให้มากความทำไม” วังหลังที่นางเติบใหญ่ขึ้นมานั้น ปัญหาอิจฉาริษยา