วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...
สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอน
ผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้
ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทน
และคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่มีใครกล้าเข้าไปหา
แต่ว่านะ...ฉันรู้ถึงความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกที่ต้องอยู่ในแสงไฟ ทั้งที่ใจเต็มไปด้วยความกลัวและเสียงวิจารณ์ดังก้องอยู่ในหัวไม่หยุด ราวกับกำลังเห็นตัวเองเมื่อในอดีตที่ขมขื่น ฉันทนดูภาพแบบนี้ไม่ได้หรอก จึงเดินเข้าไปหาเธอช้า ๆ
“ดีนี่ พี่ขอนั่งด้วยได้ไหม” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงบางเบา เธอเงยหน้ามองฉันช้า ๆ น้ำตาเอ่อล้นไปทั้งนัยน์ตา
“ขอโทษค่ะพี่มิ้น หนูแสดงไม่ได้เลย...หนูควรถอนตัวดีไหมคะ”
“พี่รู้...ว่ามันยาก” ฉันพูดอย่างอ่อนโยนด้วยความเข้าใจ
“จริงเหรอคะ?” ดีนี่เงยหน้ามองฉัน
“จริงสิ ตอนพี่เข้าวงการใหม่ ๆ พี่จำได้เลยว่า ต้องเข้าซีนร้องไห้เพราะโดนแม่ตบต่อหน้าคนทั้งตลาด พี่ถ่ายเทกไปยี่สิบกว่าเทกแน่ะ ร้องไห้ไม่ออกดูปลอมมาก คนในกองก็เริ่มมองแรง ใจพี่แทบอยากจะวิ่งออกจากกองไปเลยนะตอนนั้น”
“พี่ดูไม่เหมือนคนที่เคยแสดงแย่ขนาดนั้นเลยนะคะ” ดีนี่พูดพลางสะอื้นเบา ๆ
“ฮ่า...เพราะพี่ผ่านมันมาแล้วไง เลยอยากให้น้องดีนี่ผ่านมันให้ได้เหมือนกัน”
“แต่...ทุกคนเอาแต่หนูไปเทียบกับพี่ หนูกดดันมากเลยค่ะ” ฉันถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะวางมือบนไหล่ของเธอ
“ดีนี่ฟังพี่นะ ตอนนี้น้องควรโฟกัสบทรุ้งที่ได้รับ แค่เป็นรุ้งที่น้องสร้างขึ้นมาจากหัวใจตัวเอง พี่อยากดูน้องในแบบที่ไม่มีใครเหมือน ไม่ต้องดีกว่าใคร เก่งกว่าใคร แค่เป็นตัวเองก็พอ มะ...ลองต่อบทกับพี่ เดี๋ยวพี่คนนี้จะชี้แนะบางอย่างให้เอง”
ฉันช่วยดีนี่ซ้อมบท บอกเทคนิคเล็ก ๆ ที่เคยใช้เวลาเล่นฉากยาก ๆ พยายามชี้ให้เธอเห็นว่าการแสดงไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์แบบ แต่มันคือการถ่ายทอดอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความเข้าใจในบท
“แอคชั่น!” การถ่ายทำเริ่มขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศในกองเงียบสนิท ดีนี่ที่ยืนอยู่กลางฉาก เสียงสั่น ๆ ของเธอเริ่มเอ่ยออกมา
“แม่...หนูขอโทษ หนูไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไมแม่ถึงต้องเสียสละขนาดนั้น” น้ำเสียงเธออัดแน่นไปด้วยอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำที่ไม่ได้เกิดจากการร้องไห้ แต่มันคืออาการของคนที่อินกับบทอย่างแท้จริง
“คัต!” เสียงของผู้กำกับดังขึ้น พร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราวไปทั่วกอง ผู้กำกับหันมาทางฉันด้วยสีหน้ายิ้มปริ่ม
“ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีน้องมิ้นวันนี้ พี่คงไม่ได้ซีนนี้แน่ ๆ”
“ไม่ใช่เพราะมิ้นหรอกค่ะ น้องดีนี่ต่างหากที่เรียนรู้ได้ไว มิ้นแค่สอนทริคเล็กน้อย น้องก็นำมาปรับใช้ได้รวดเร็วเลย อนาคตไกลแน่นอนค่ะคนนี้” ฉันยิ้มตอบ และทุกคนก็ยิ้มตามกันทั้งกอง
(ห้องพักส่วนตัวนักแสดง)
ในส่วนซีนของฉัน ฉันใช้เวลาถ่ายทำไม่นานก็เสร็จ พอเลิกกอง ฉันก็นั่งเช็ดหน้าลบเครื่องสำอางที่หนาเตอะเพื่อทำให้ดูแก่เกินวัยตามบท ซึ่งคงต้องใช้เวลาพอควร แต่แล้ว...พี่แทนก็เดินเข้ามาในห้องพลางยกยิ้มมุมปาก
“วันนี้เก่งมากครับ” พี่แทนพูดขณะที่ยืนพิงประตูอย่างสบาย ๆ ฉันหันไปสบตากับเขาผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะรีบก้มหน้าลบลิปสติกที่เริ่มเลอะขอบปากเพราะอาย
“มะ...มิ้นแค่ช่วยดีนี่นิดหน่อยเองค่ะ ไม่ได้เก่งอะไรหรอก”
“นิดหน่อย? ไม่หรอกมิ้น พวกเขาผ่านซีนสำคัญได้เพราะหนูเลยนะ” พี่แทนพูดเสียงเรียบแฝงด้วยความจริงใจ
“ก็แค่เตือนสติน้องให้ไม่เครียดเกินไปเท่านั้นค่ะ” ฉันพูดขณะมองเงาสะท้อนของเขาที่ยังคงมองฉันผ่านกระจก ก่อนเขาจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน พร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ทำเอาใจเต้นไปหมด
“แล้ววันนี้ เหนื่อยไหมครับ” เสียงทุ้มละมุนเอ่ยถาม โอ๊ยไม่ไหวชอบเขาอ่ะ
ฉันเงยหน้าขึ้น มองเขาเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะแก้เขิน
“เหนื่อยค่ะ แต่ก็รู้สึกดีนะคะ ที่ได้ช่วยทำให้กองไม่ล่มตั้งแต่วันแรกเนี่ย”
“นั่นสินะ พี่เองก็เกือบแย่ครับ นึกว่าเรื่องที่เขียนจะพังซะแล้ว”
“มีมิ้นอยู่ หนูช่วยพี่แทนเต็มร้อยแน่นอนค่ะ” ฉันหันไปเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจให้เขา
“ว่าแต่ มิ้นชอบเล่นซีนแม่ลูกเหรอครับ” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยถาม
“มิ้นชอบเล่นบทตัวประกอบค่ะ ส่วนบทแม่มีแต่พี่นั่นแหละยัดให้ไม่ใช่รึไงกันคะ” ฉันขมวดคิ้ว มองพี่แทนอย่างไม่เข้าใจว่าถามจริงหรือแซวเล่นกัน
“นั่นสิเนาะ ในเมื่อพี่ชอบยัดบทให้หนูแบบนี้ เมื่อไหร่บทที่พี่ยัดไปให้ อย่างเรื่อง ‘รอยยิ้มของตัวจริง’ มิ้นจะตอบตกลงล่ะ”
“เรื่องนั้นมัน...หนูยังไม่พร้อมค่ะ” ฉันถึงกับชะงัก เมื่อนึกถึงบทนำที่ราวกับบทตัวเอกนั่น มันยังทำให้ฉันกลัวอยู่เลยนะสิ
พี่แทนเลิกคิ้ว แต่กลับไม่พูดอะไรอีก นอกจากยิ้มละมุนให้แล้วเดินออกจากห้องไป ฉันมองตามเขาจบแผ่นหลังนั้นลับตา
แต่ก็นะ...แม้เขาจะยิ้ม แต่นัยน์ตาเขายังคงฉายความคาดหวังมาที่ฉันเสมอ ราวกับเขาพร้อมพยายามที่จะจุดไฟในตัวฉันที่มันมอดดับไปนานแล้ว
“เฮ้อ...เช็ดหน้าเสร็จสักที” ฉันบ่นพึมพำเพราะกว่าจะเช็ดเครื่องสำอางก็ใช้เวลาพอควร ถ้าไม่ติดว่าพี่เนยป่วยป่านนี้คงกลับไปนอนอยู่ที่คอนโดสบายใจเฉิบแล้วล่ะ ช่างแต่งหน้าในกองก็วุ่นวาย จนฉันขอปลีกตัวมาทำเองให้ เพื่อลดภาระให้พวกเขา
แต่เอาเถอะมีอะไรมันก็ต้องช่วย ๆ กันไป ในฐานะที่ฉันก็ค่าตัวสูงที่สุดในนี้อยู่แล้ว ต้องแสดงความคุ้มค่าที่จ้างสักหน่อย
ฉันเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนต์ พร้อมจะกลับคอนโดแล้วล่ะ หลังจากหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง เสียงดีนี่ก็เรียกตามหลังมา
“พี่มิ้น” ฉันหันไปมองดีนี่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“มีอะไรเหรอดีนี่” ฉันหันไปมองด้วยรอยยิ้ม เธอลังเลเล็กน้อย มองซ้ายมองขวา ก่อนจะทำให้สิ่งที่ฉันคิดไม่ถึง เธอก้าวเข้ามากอดฉันแน่น ตัวสั่นนิด ๆ เล่นเอาฉันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือลูบหัวเธอเบา ๆ
“เป็นอะไรเด็กน้อย”
“ขอบคุณนะคะ สำหรับวันนี้ ถ้าพี่มิ้นไม่เดินเข้ามาหาหนู หนูคงร้องไห้จนถอนตัวแน่ๆ”
“ไม่หรอกน่า น้องดีนี่แค่หลงทาง พี่ก็แค่ยื่นมือดึงน้องขึ้นมาเท่านั้นเอง จริง ๆ น้องเป็นคนเก่งมากนะคะ มั่นใจในตัวเองหน่อย”
“แต่พี่ไม่ใช่แค่ช่วยหนูนะ พี่ให้กำลังใจหนูแบบที่ไม่มีใครให้มาก่อน” น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครืออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนแรกหนูกลัวพี่มาก กลัวโดนเปรียบเทียบ กลัวโดนต่อว่า แต่วันนี้หนูไม่กลัวแล้วค่ะ หนูแค่อยากแสดงให้ได้เหมือนที่พี่ทำได้” ฉันยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว มือยังคงลูบหัวเธอเบา ๆ เหมือนปลอบเด็กน้อย
“เก่งมากที่คิดแบบนี้ได้ ไม่สิจริง ๆ น้องดีนี่เป็นคนเก่งนะเพียงแต่...”
“คะ?” เธอเงยหน้ามองฉันอยากสงสัย
“คนรอบตัวน้องดีนี่ไม่ค่อยเหมาะกับน้องเท่าไหร่ ลองเก็บไปคิดนะ” ฉันพูดอ้อม ๆ ให้น้องเขาคิดเอง เพราะจากที่ดู การที่น้องไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้ น่าจะเกิดจากผู้จัดการส่วนตัวกดดันเธอมากเกินไป
“ค่ะ หนูก็คิดแบบนั้นมาตลอด พี่มิ้นคะ...”
“หืม?”
“เรามาเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ได้ไหมคะ...พี่มิ้น” นัยน์ตาใสมองมาที่ฉันประกายวาววับ ทำเอาฉันหัวเราะออกมาเบาๆ “เราไม่ใช่คนเดียวกับเหรอ คุณรุ้งวัยรุ่น” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมา
“พี่สาวดีกว่าค่ะ จะได้กอดกันได้ไม่ต้องเขิน”
“งั้นพี่ของมีสิทธิ์งอแงด้วยนะคะ ถ้าเมื่อไหร่ที่พี่โดนด่า พี่จะมาหาน้องดีนี่ก่อนเลยค่ะ ฮ่า...” ฉันยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น
“ตกลงค่ะ พี่สาว” เธอยิ้มกว้างอย่างจริงใจ น่าจะเป็นยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่ฉันเห็นน้องเขาในกองแล้วล่ะ
เฮ้อ...บางที่วงการบันเทิงที่โหดร้าย ก็มีมุมที่อบอุ่นอยู่เหมือนกันสินะ
10ความอึดอัดและสับสนแสงแดดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ความอุ่นของมันทำให้ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ความรู้สึกแรกหลังตื่นคือหัวหนักอึ้ง ราวกับดื่มเหล้าเมาหนักไปด้วย ทั้งที่คนเมาเมื่อคืนคือพี่แทนแท้ ๆเอาจริงนะ ร่างกายว่าปวดร้าวหนักหน่วงแล้ว แต่ที่ยิ่งกว่าคือ หนักอกหนักใจ มากกว่า‘เรื่องเมื่อคืนมัน เกิดขึ้นจริงใช่ไหมเนี่ย’ภาพในค่ำคืนที่ผ่านมาถาโถม เสียงกระซิบชื่อฉัน สัมผัสของมือที่จับไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุม ยังคงวนเวียนในหัว ฉันจำได้หมด ตั้งแต่เสียง ภาพ และความรู้สึกอันเร่าร้อนแต่ถึงจะจำได้ทุกอณูขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี“เขาเป็นเกย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงมีอารมณ์กับฉันได้” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ “หรือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของเขากัน”ฉันยังหาบทสรุปไม่ได้ เขาเห็นฉันในสถานะอะไรในคืนที่ผ่านมา น้องสาวที่รู้จัก น้องในวงการ หรือคนที่เขาสามารถกอดได้ในคืนเหงาแบบนี้?‘ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจัง’ฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้พี่แทนรู้สึกตัว ฉันนั่งมองไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในคืนที่ผ่านมา แถมยังมีชิ้นยางบาง ๆ อุปกรณ์ป้องกั
ความเมาเป็นเหตุ...สังเกตได้‘Rrrrrr’เสียงมือถือดังขึ้นตอนเกือบตีสอง ขณะที่ฉันกำลังเฝ้าพระอินทร์อยู่แท้ ๆ แต่คนปลายสายก็ไม่หยุดโทรเข้ามาสักทีทำให้ฉันต้องตื่นมารับมันทั้งที่ตายังปิดอยู่ด้วยซ้ำ“ฮัลโหล! โทรมาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ เนี่ย คนนอนอยู่เว้ย!” ฉันตวาดด้วยความหงุดหงิด“มิ้นครับ...อยู่ไหน”“พี่แทน?” เสียงของเขาแหบพร่า แฝงเจือความเมาอย่างชัดเจน“ครับ...” เขาตอบสั้น ๆ แล้วขาดช่วงไป“อยู่คอนโดค่ะ พี่โอเคไหมทำไมเสียงเป็นแบบนี้”“ไม่โอเค...ครับ...พี่อยู่...แถว ๆ คอนโด...เก่า ขับรถ...ไม่ได้”“พี่อยู่คนเดียวเหรอ” ใจฉันกระตุกวูบ อดเป็นห่วงไม่ได้“อืม...” เสียงเขาขาดช่วงไป แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงพึมพำฟังยากมากกว่าเดิม “มารับหน่อยได้ไหม ไม่อยากโทรหาใครอื่นนอกจากหนู”“พี่บอกชื่อร้านมาเดี๋ยวมิ้นไปรับค่ะ” ในขณะที่พูด
8บทที่เปลี่ยนไป‘ปัง!’ พอประตูห้องคอนโดปิดลง ฉันก็ทรุดตัวลงพิงประตูแล้วถอนหายใจยาว นี่มือยังสั่นอยู่เลยนะ หน้าก็ร้อนราวกับไฟลวก ไม่รู้ว่าเป็นไข้หรือเพ้อเกินขนาดกันแน่“พี่แทนจูบฉัน แล้วฉันก็จูบเขากลับไป โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นห้อง วิ่งไปกระโจนลงเตียงนอน หยิบหมอนข้างมากอดแน่นแล้วกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งบนเตียง ร่างกายปั่นป่วนไปหมด“บ้าเอ้ย บ้าจริง บ้าที่สุด!” ฉันทั้งกลิ้ง ตีหมอนข้าง ถีบผ้าห่มจนยับ สภาพเรียกว่าเละก็ทำไงได้ จูบนั่นมันไม่ใช่จูบธรรมดาเลย มันมีเอฟเฟคต่อใจฉันแรงมาก มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉัน‘แทบหยุดหายใจ’แล้วฉันก็ดันเผลอหลับตาพริ้มแบบเต็มใจ ไม่สิรุกเขาด้วยซ้ำ ถ้านี่คือฉากบทนั้นต่อหน้ากล้อง ใครเห็นก็คงคิดว่าฉันตกหลุมรักพระเอกในฉากจริง ๆ แล้วล่ะ“ไม่ใช่โว้ย! เขาเป็นเกย์ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจูบนั้นซะหน่อย” ฉันร้องบอกตัวเองเสียงดังอีกครั้ง เพื่อเตือนสติตัวเอง แล้วดึงผ้าห่มคลุมโป่งไปทั้งตัว หัวใจไม่ยอมฟัง มันยังคงเต้นแรงอยู่ในอกแต่...ตอนนี้ ฉันต้องพยายามคิดไว้ว่ามันคือซ้อมบท การแสดง มันเป็นเพียงแค่...‘งาน’ฉันกอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก กลิ้งไปมาอีกครั้งแล้วสมองก็ผุดคำหนึ่งขึ้นมา ‘เขาเป็
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม