เข้าสู่ระบบแสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านช่องว่างระหว่างหน้าต่าง แสงที่แยงเข้ามานั้นกระทบเปลือกตาของซูเฟยจนถึงกับทำให้เธอต้องลืมตาตื่นขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่ว่าภาพในตาที่มืดมัวมาบัดนี้สว่างขึ้น หรือว่าจะเป็นเช้าวันใหม่ที่ต้องตื่นไปทำงานแล้ว เถ้าแก่ที่ร้านคงต้องรอก่นด่าเธออยู่เป็นแน่ที่ไปทำงานสายถึงขนาดนี้
เสียงเอะอะโวยวายดังมาอยู่ไม่ไกล ฟังแล้วก็เหมือนกับว่าเป็นเสียงคนหลายคนกำลังซื้ออะไรบางอย่าง เพราะว่าซูเฟยได้ยินคำว่า "เท่าไร" ดังขึ้นมาด้วย ซึ่งถ้าเป็นที่บ้านของเธอต้องไม่มีทางที่จะมีเสียงคนมากมายอย่างนี้เป็นแน่
"เถ้าแก่ข้าเอาซาลาเปาสิบลูก" เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนสั่งซาลาเปาดังมาแว่ว ๆ
"ได้ ๆ รอสักครู่ ชุดนี้กำลังนึ่งใหม่ ๆ ร้อน ๆ เดี๋ยวก็ได้แล้ว" เป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่งตอบกลับ เสียงนี้ฟังดูแล้วก็น่าจะมีอายุแล้ว
“ส่วนของข้าเอาหมั่นโถยี่สิบลูกนะ ไม่ต้องเป็นแบบนึ่งร้อน ๆ ก็ได้ เดี๋ยวข้าเอาไปอุ่นเอง ข้ารีบ” ชายคนหนึ่งในชุดเตรียมพร้อมทำงานตะโกนสั่งเสียงดัง ปกติคนงานซ่อมแซมอย่างพวกเขาไม่ได้สนใจว่าอาหารที่กินจะต้องมาแบบร้อน ๆ หรอก เพราะงานที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า
“ได้เลยพี่เกา เดี๋ยวข้าจัดให้” เสียงของเจ้าของร้านวัยกลางคนตะโกนกลับไป
“ท่านพี่ไส้ซาลาเปาหมดแล้ว ข้าต้องไปเตรียมไส้ซาลาเปาก่อน” ภรรยาเจ้าของร้านกล่าว น้ำเสียงค่อนข้างเป็นกังวลเพราะไม่รู้ว่าหากปล่อยให้สามีอยู่หน้าร้านคนเดียวจะสามารถขายซาลาเปาทันตามที่ลูกค้าสั่งหรือไม่
“เจ้าไปเตรียมเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ แต่ว่าอย่าใช้เวลานานนักเล่า ประเดี๋ยวลูกค้าจะรอ” ผู้เป็นสามีตอบกลับ
เสียงสั่งซาลาเปาดังมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพียงแค่คิดก็พอจะจินตนาการออกได้ว่าข้างล่างจะต้องวุ่นวายขนาดไหน แต่ว่าซูเฟยที่เพิ่งตื่นและรู้สึกเหมือนยังงัวเงียอยู่จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวข้างล่างมากนัก
เมื่อรู้สึกว่าผิดปกติจึงลืมตาแล้วเด้งตัวขึ้นจากที่นอน ซูเฟยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าเป็นห้อง ๆ หนึ่งที่มีสภาพโดยรวมแตกต่างไปจากบ้านของเธออย่างสิ้นเชิง ผนังห้องนี้รวมทั้งเสาและเครื่องเรือนต่าง ๆ ทำด้วยไม้ อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ก็ดูโบราณเหมือนกับไม่ใช่ยุคสมัยของปัจจุบัน ในใจก็คิดว่ามีใครมาเล่นตลกกับเธอหรือเปล่าที่พาเธอมาไว้ที่นี่
สถานที่ที่พอจะเป็นไปได้เท่าที่เธอนึกออกก็คงมีแต่เหิงเตี้ยนที่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและถ่ายทำละครย้อนยุค แต่ว่าเธอจะมาที่เหิงเตี้ยนทำไมกันเล่ามันไม่น่าจะมีความเป็นไปได้เลยสักนิด ขณะที่คิดอยู่นั้นสายตาก็เหลือบมาเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองกำลังสวมอยู่ จากที่ตกใจอยู่แล้วก็ตกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นตัวเองกำลังสวมชุดของหญิงชาวบ้านแบบโบราณ
"นี่มันอะไรกันเนี่ย งงไปหมดแล้ว" ซูเฟยพูดออกมาเสียงดัง
พอนึกถึงภาพสุดท้ายของชาติที่แล้ว ซูเฟยจำได้ว่าตนเองอยู่ในห้องแล้วร้องไห้ฟูมฟายเรื่องที่หยางจื้อเจ๋อประสบอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิต ตอนนั้นเธอร้องไห้อยู่นานจนลืมไปแล้วว่านานเท่าไร ร้องนานเข้าก็หลับไปและไม่รับรู้อะไรอีกเลย เมื่อตื่นขึ้นมาก็โผล่มาอยู่ที่แล้ว
เพื่อเป็นการค้นหาความจริง ในห้องนั้นมีกระจกทองเหลืองบานเล็ก ๆ อยู่บานหนึ่ง หญิงสาวไม่รอช้ารีบลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วไปส่องกระจกดู ปรากฏว่าใบหน้าที่อยู่บนกระจกนั้นไม่ใช่ของเธอแต่กลับเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่อายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้ารูปไข่ที่รับกับจมูกโด่ง ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อยที่มองอย่างไรก็ไม่ใช่เธอชัด ๆ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” คราวนี้เธออุทานออกมาดังกว่าเดิม
อยู่ ๆ ความทรงจำบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ในความทรงจำนั้นทำให้ซูเฟยเห็นภาพว่าที่นี่คือร้านขายซาลาเปาที่ตลาดใหญ่ในเมืองถู่หยาง เธอเข้ามาอยู่ในร่างของลูกสาวร้านขายซาลาเปาแห่งนี้ซึ่งมีนามว่าฟางหนิงฮวา
เมืองถู่หยางถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเมืองที่อยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์ฮั่น เป็นเมืองที่เกือบจะติดชายแดน ในสมัยมัธยมตอนที่ซูเฟยเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก็จำเรื่องราวของเมืองนี้ได้ดี เนื่องจากเจ้าเมืองถู่หยางแต่ละรุ่นนั้นเป็นคนที่มีความสามารถมาก บางคนได้เลื่อนขั้นจากเจ้าเมืองจนได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่เลยทีเดียว
และนี่คงจะเป็นความผูกพันธ์ของเธอกับเมืองถู่หยาง เมื่อชาติที่แล้วเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าหากว่าก่อนตายจิตเรายึดติดอยู่กับสถานที่ใดวิญญาณของเราก็จะได้ไปยังสถานที่นั้น สงสัยว่าตัวเองคงนึกถึงเมืองถู่หยางก่อนตายละมั้งถึงได้ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ แต่การที่มาโผล่ในร่างของหญิงสาวนามว่าฟางฟนิงฮวาที่บ้านหลังนี้ก็ยังคงดูไม่มีเหตุผลอยู่
“หรือว่าสวรรคจะรู้ว่าเราชอบทำอาหารก็เลยส่งเรามาอยู่ที่ร้านขายซาลาเปา” ซูเฟยคิดในใจ
จะว่าไปแล้วเธอเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องของการทะลุมิติมาสักเท่าไร บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ว่าความฝันครั้งนี้เหมือนจริงมาก แม้แต่ตอนที่สัมผัสตัวเองยังรู้สึกได้ว่าเป็นการสัมผัสจริง แต่เพื่อความแน่ใจซูเฟยจึงได้ลองเอานิ้วดีดหน้าผากตัวเองครั้งหนึ่ง
“โอ๊ย” เธอร้องอุทานออกมาเสียงเบา
การดีดหน้าผากตัวเองครั้งนี้ทำเอาเจ็บจนน้ำตาเล็ด ตอนนี้ซูเฟยรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน เธอทะลุมิติมาอยู่ที่นี่จริง ๆ เธอถอนหายในด้วยความท้อแท้
"ถึงยังไงก็มาแล้วก็คงต้องอยู่ต่อไปสินะ เดี๋ยวค่อยหาวิธีกลับไปก็แล้วกัน หวังว่าร่างของเราที่โลกยุคปัจจุบันคงไม่เน่าไปเสียก่อน" ซูเฟยบ่นพึมพำ
ที่นี่เป็นร้านซาลาเปาของสกุลฟาง ตอนนี้ที่ร้านมีคนอาศัยอยู่สี่คนได้แก่ บิดาและมารดาของเจ้าของร่าง ฟางหนิงฮวาแล้วก็อารอง พวกเขาทำซาลาเปาขายที่หน้าร้านและส่งให้จวนต่างๆ ด้วย จวนเจ้าเมืองก็คือหนึ่งในลูกค้าประจำของร้าน แสดงว่ารสชาติของซาลาเปาร้านนี้คงไม่ธรรมดาเป็นแน่ ตอนเช้าอารองจะนำซาลาเปาไปส่งยังจวนต่าง ๆ หน้าที่ของสามคนที่เหลือก็คือต้องทำซาลาเปาออกมาให้ทันส่ง
ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามานั้นเป็นเรื่องของสกุลฟางทั้งหมด ที่จริงแล้วพวกเขามีบ้านอยู่นอกเมือง เมื่อก่อนทำนาแต่ว่าประสบภัยแล้งจึงไม่สามารถทำนาต่อได้ ก็เลยพากันมาเช่าร้านอยู่ในเมืองแล้วทำซาลาเปาขายอาศัยว่าบิดาของฟางหนิงฮวามีฝีมือในการทำอาหารที่ค่อนข้างอร่อย ส่วนบ้านที่นอกเมืองนั้นมีอาสะใภ้กับหลานชายตัวน้อยเฝ้าอยู่จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด เงินที่ได้จากการชายซานลาเปาก็แบ่งกันอย่างลงตัวแม้แต่ฟางหนิงฮวาที่เป็นบุตรสาวเองก็ได้ค่าจ้างด้วย
ฟางหนิงฮวาเจ้าของร่างเดิมทีเป็นเด็กหญิงที่ร่างกายไม่แข็งแรง นางป่วยกระเสาะกระแสะอยู่นานก่อนที่จะสิ้นใจภายในห้องนอนของตนเองโดยที่ไม่มีใครรู้ในวัยเพียงสิบหกปี ที่ผ่านมามีหมอมาตรวจร่างกายและพยายามรักษานางอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ หมอได้แต่ตอบว่าเป็นเพราะหยินบกพร่องเท่านั้น และเมื่อคืนที่นางจากไปซูเฟยก็มาเข้าร่างนี้แทน เมื่อนึกถึงเจ้าของร่างเดิมแล้วซูเฟยก็รู้สึกสงสารแม่นางผู้นี้อยู่ไม่น้อย อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
"ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วงนะฟางหนิงฮวา ข้าจะดูแลรักษาร่างของเจ้าเป็นอย่างดีและจะพาร่างนี้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ไปเลย" ซูเฟยกล่าวก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองเพื่อจะออกไปสำรวจโลกภายนอก
บทที่ 50 บิดามารดามาเยี่ยม ตั้งแต่ที่ฟางหนิงฮวามาที่เมืองเสวี่ยคังนี่ก็เป็นเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว นางยังไม่ได้กลับบ้านเสียที มีแต่เขียนจดหมายไปบอกบิดามารดาเท่านั้น ฟางตวนกับนิ่งหรงพอเห็นว่าบุตรสาวไม่กลับบ้านก็คิดถึงและเป็นห่วงจึงได้คิดที่จะไปเยี่ยมนาง พวกเขาเริ่มออกเดินทางส่วนร้านซาลาเปานั้นก็ฝากไว้กับอารอง “ท่านพี่ เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง” นิ่งหรงเอ่ยถามสามีที่กำลังจัดของของตัวเองใส่ห่อผ้าอยู่ เขาเอาสิ่งนั้นเข้าสิ่งนี้ออกอยู่หลายครั้งจนนางรำคาญ “ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ แต่ขอข้าคิดก่อนว่าควรจะเอาเนื้อกวางแห้งนี่ไปฝากหนิงฮวาดีหรือไม่” ฟางตวนพูดพลางหยิบเนื้อกวางแห้งนั่นใส่เข้าไปในห่อผ้าอีกครั้ง “ท่านไม่ต้องเอาอะไรไปฝากนางทั้งนั้นแหละ
บทที่ 49 ดวลสุรา เป็นเพราะว่าเห็นคุณชายผู้นี้พูดคุยกับฟางหนิงฮวาทำให้เซียวป๋อเหวินอดไม่ได้ที่จะหึงขึ้นมา เขาตัดสินใจนั่งร่วมโต๊ะกับเหยียนจื่อจิง ทั้งนี้ก็เพื่อจะเอาตัวเองขวางกั้นไม่ให้เหยียนจื่อจิงได้สนทนากับฟางหนิงฮวาได้สะดวก “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะให้พ่อครัวจัดอาหารมาให้” ฟางหนิงฮวาพูด “อ้อ...ท่านแม่ทัพอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ทำให้” “แล้วแต่เจ้าเถิด แต่ว่า...ข้าขอสุรามากหน่อย วันนี้รู้สึกอยากดื่มสุรา” เซียวป๋อเหวินพูด หลังจากที่ฟางหนิงฮวาหายเข้าไปในครัวแล้วบรรยากาศในร้านก็เปลี่ยนไป เซียวป๋อเหวินที่แย้มยิ้มเมื่อสักครู่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสายตามาดร้ายจ้องไปที่เหยียนจื่อจิงอย่างไม่วางตา
บทที่ 48 ตุ๊กตาหมี เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของฟางหนิงฮวากับเซียวป๋อเหวินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นจนเหล่าทหารทั้งกองทัพต่างก็มองว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันไปแล้ว ฟางหนิงฮวามักจะเอาอาหารไปให้เขาที่ค่าย ส่วนเขาก็มักจะทำอะไรให้นางประหลาดใจอยู่บ่อย ๆ วันนี้ที่ร้านยุ่งมากจนฟางหนิงฮวาไม่สามารถปลีกตัวออกจากร้านได้ เดิมทีนางคิดว่าจะทำไก่ผัดพริกเสฉวนไปให้เขากินที่ค่ายแต่ว่าทำเสร็จนานจนอาหารเย็นชืดก็ยังไม่ได้ไป กว่าลูกค้าจะออกจากร้านหมดก็ปาเข้าไปปลายยามเซินแล้ว ฟางหนิงฮวากลับมาที่จวน นางถือกล่องอาหารมาด้วยและก็พบเข้ากับเซียวป๋อเหวินที่กลับมาพอดี “ไก่ผัดพริกเสฉวนนี่เย็นชืดหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเข้าครัวไปอุ่นให้ท่านใหม่นะ” “ไม่เป็นไรหรอก ให้สาว
บทที่ 47 ร้านอาหารเสฉวนแห่งเมืองเสวี่ยคัง หนึ่งเดือนต่อมาร้านอาหารก็เปิด ฟางหนนิงฮวาเปิดร้านอาหารรูปแบบของเสฉวน เน้นอาหารรสชาติเผ็ดร้อนที่เซียวป๋อเหวินชอบ แถมยังมีหม้อไฟหม่าล่าซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ของที่นี่อีกด้วย สร้างความฮือฮาในหมู่ชาวเมืองเสวี่ยคังเป็นอย่างอยิ่ง เมื่อได้ยินว่ามีร้านอาหารมาเปิดใหม่ผู้คนต่างก็อยากรู้อยากเห็น พากันแวะเวียนมาเดินผ่านหน้าร้านกันแต่ว่าก็ยังไม่มีใครกล้ามาลองกินดูสักคน จนเมื่อฟางหนิงฮวาเปิดหม้อน้ำแกงหม่าล่าออกก็ถึงกลับทำให้คนที่เดินไปมาอยู่หน้าร้านถึงกลับชงัก กลิ่นของน้ำแกงนั้นหอมเตะจมูกเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งกลิ่นที่กลมกล่อมของมันวัวและกลิ่นเครื่องเทศที่หอมฟุ้ง ชาวเมืองที่อยู่แถวนั้นต่างก็กลืนน้ำลายกันเป็นแถว “นี่มันอาหารอะไรเนี่ย ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้มาก่อนเลย” ชายวันกล
บทที่ 46 เริ่มต้นกิจการ “นี่...หัวหน้าองครักษ์กู้ ช่วงนี้ท่านแม่ทัพกำลังยุ่งอยู่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม นางมาดักรอหัวหน้าองครักษ์ที่ทางเดินไปห้องหนังสือของเซียวป๋อเหวิน “ช่วงนี้ท่านแม่ทัพค่อนข้างยุ่งน่ะ ต้องเตรียมเรื่องการฝึกทหาร ยิ่งตอนนี้มีการรับทหารใหม่เข้ามา งานก็เลยล้นมือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ตอบ “เหตุใดเจ้าไม่ไปถามกับท่านแม่ทัพเอาเล่าหนิงฮวา” “ข้าไม่อยากรบกวนเขาน่ะ และข้าก็รู้ว่าท่านต้องตอบข้าทุกอย่างอยู่แล้ว” ฟางหนิงฮวายิ้มน้อย ๆ “เจ้านี่ฉลาดเอาเรื่อง ว่าแต่ถามหาท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ถาม “ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าช่วงที่ข้า
บทที่ 45 หุบเขาวัดเสวียนคงและสวนต้นกุ้ยฮวา หลังจากการศึกจบลง บ้านเมืองสงบเซียวป๋อเหวินได้มีเวลาของตัวเอง วันนี้เข้าจะพาฟางหนิงฮวาออกไปเที่ยวนอกเมืองสักหน่อย เขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความงามของธรรมชาตินอกเมืองมานานแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องยุ่งอยู่กับการศึกจึงไม่ได้มีเวลาออกไป วันนี้ว่างแล้วจึงเป็นเวลาที่เหมาสมพอดี เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางหนิงฮวาที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานกำลังนั่งแต่งตัวจัดเครื่องประดับอยู่ที่หน้ากระจกทองเหลืองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบออกมาเปิดทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวป๋อเหวินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเช้าตรู่เช่นนี้เขาจะอยู่ที่ห้องหนังสือมิใช่หรือ “ท่านแม่ทัพ มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถาม&nb







