แชร์

บทที่ 8 แฟนคลับยุคโบราณ

ผู้เขียน: หนึ่งบุปผา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-10 20:00:53

ที่ด้านนอกของจวนเจ้าเมืองมีหญิงสาวราวสิบกว่าคนยืนออกันอยู่ บางคนก็ถือกล่องใส่อาหาร บางคนถือห่อยา บางคนถือของขวัญอย่างอื่นมามากมาย ตรงนั้นค่อนข้างวุ่นวายจนองครักษ์สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแทบจะกันเอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดบ่าวรับใช้ในจวนคนหนึ่งที่เฝ้าหน้าประตูเรือนนอนของท่านเจ้าเมืองต้องออกไปช่วยยุติความวุ่นวายด้วย ฟางหนิงฮวามองออกไปก็พอจะดูออกว่าหญิงสาวเหล่านี้น่าจะมาถามข่าวเรื่องการบาดเจ็บของท่านเจ้าเมือง เสียงหญิงสาวเหล่านั้นแย่งกันพูดดังมาแต่ไกล

ข่าวเรื่องที่เจ้าเมืองได้รับบาดเจ็บนั้นโด่งดังไปทั่วเมืองถู่หยางได้สามวันแล้วนับตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากการไปปราบโจรภูเขา จะมีก็แต่ฟางหนิงฮวานี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในร้านตลอด อีกทั้งบิดามารดาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ได้ยินด้วย

        การพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงท่านเจ้าเมืองกับเหล่าทหารเท่านั้นที่บาดเจ็บ แต่กลับทำให้หัวใจของคนทั่วทั้งเมืองถู่หยางเจ็บปวดไปด้วย เพราะเจ้าเมืองเป็นเหมือนเสาหลักของเมืองนี้ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีคุณธรรมปกครองเมืองถู่หยางในหลายปีที่ผ่านมาอย่างสงบร่มเย็นจนชาวเมืองอยู่ดีกินดีมีความสุข ที่ดูเสียใจยิ่งไปกว่านั้นเห็นจะเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนกว่าครึ่งเมือง เมื่อพวกนางรู้ข่าวว่าท่านเจ้าเมืองได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นห่วงอย่างมาก

        "ให้พวกเราเข้าไปหน่อยเถอะ พวกเรารับรองว่าจะไม่สร้างความวุ่นวาย เพียงแต่อยากเห็นท่านเจ้าเมืองใกล้ ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง" หญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าใกล้กับองค์รักษ์กล่าวขึ้น สีหน้าของนางดูเป็นกังวลยิ่ง ถึงแม้ว่าจะพูดอยู่กับองค์รักษ์แต่ทว่าสายตากลับสอดส่องมองเข้ามายังทิศทางของเรือนนอน

        "จะไม่วุ่นวายได้อย่าง นี่ขนาดพวกเจ้ายืนอยู่หน้าจวนยังวุ่นวายถึงเพียงนี้ หากปล่อยให้เข้าไปจะไม่รบกวนท่านเจ้าเมืองหรอกหรือ" องค์รักษ์ผู้หนึ่งกล่าว

หญิงสาวเหล่านี้พอได้ยินก็หาได้สงบปากสงบคำไม่แต่กลับกล่าวเร่งเร้าเหล่าองค์รักษ์มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังขยับตัวดันเข้ามาพยายามจะเข้าประตูให้ได้

        ฟางหนิงฮวาที่ยืนอยู่ด้านในเห็นเหตุการณ์แล้วก็คิดว่าคงกลับออกไปตอนนี้ไม่ได้เป็นแน่ จึงได้ยืนดูต่อสักครู่เพราะอยากรู้ว่าระหว่างองครักษ์กับพลังของสตรีผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ

        "แต่พวกเราเป็นห่วงท่านเจ้าเมืองจริง ๆ นะเจ้าคะ ให้พวกเราเข้าไปเถอะ บางทีหากท่านเจ้าเมืองรับรู้ได้ว่ามีคนมาให้กำลังใจเขาอาจจะหายเร็วขึ้นก็เป็นได้" หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูด

        องครักษ์ได้แต่ส่ายศีรษะให้อย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะใช้ทวนกั้นตรงกลางประตูเอาไว้ "พวกเจ้าเข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด พวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน มีความสามารถในการรักษาอย่างนั้นหรือ เมื่อสักครู่ท่านหมอหลิวได้เข้าไปแล้วเจ้าอย่าได้ไปรบกวนสมาธิของท่านหมอจะดีกว่า เอาเป็นว่าพวกเจ้ากลับไปก่อน หากมีข่าวอย่างไรทหารก็จะไปติดประกาศให้ชาวเมืองได้รับรู้โดยทั่วกัน

        หญิงสาวพวกนั้นพอได้ฟังแล้วก็เหมือนจากสำนึกอยู่บ้าง พวกนางต่างทำหน้าสลดและก้มหน้าลงพยักหน้าหงึก ๆ ว่าเข้าใจ ก่อนที่จะยื่นทุกอย่างในมือให้กับองค์รักษ์สองคนนั้น

        "อันนี้พวกเราเอามาเยี่ยมท่านเจ้าเมือง ต้องส่งให้ถึงมือท่านเจ้าเมืองนะ พวกท่านอย่าแอบเอาไปกินเองเป็นอันขาด" หญิงสาวคนเดิมกล่าว

        "เอาเถอะ ๆ ข้าจะบอกท่านเจ้าเมืองให้" องครักษ์พูดพลางโบกมือให้บ่าวรับใช้มาหอบหิ้วเอาของเยี่ยมพวกนี้ไปเก็บไว้ด้านใน

        จบเรื่องแล้วหญิงสาวพวกนั้นก็พากันแยกย้าย ฟางหนิงฮวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าพวกนางไปแล้ว เหตุการณ์เมื่อสักครู่ทำเอานางประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าคนในยุคนี้จะมีการคลั่งไคล้ไอดอลเหมือนกับยุคที่นางจากมาด้วย เมื่อพิจารณาตามประวัติศาสตร์แล้วหญิงสาวในยุคนี้ควรที่จะรักนวลสงวนตัวเป็นกุลสตรีที่สงวนท่าทีอยู่ที่บ้านถึงจะถูก แล้วเหตุใดพวกนางถึงได้รวมตัวกันมาเยี่ยมไข้ถึงจวนท่านเจ้าเมืองได้ คิดไปแล้วก็หวนนึกถึงตอนนี้ตัวเองไปรวมกลุ่มกับพวกแฟนคลับรอรับหยางจื้อเจ๋อที่สนามบินขึ้นมา

        พอคิดถึงหยางจื้อเจ๋อความเศร้าเสียใจก็บังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใดในตอนนี้ก็ไม่มีหยางจื้อเจ๋อแล้ว ที่ที่นางจากมานั้นเขาได้ตายไปแล้วและที่ที่นางมาอยู่ใหม่นี้ก็คงจะไม่มีเขาอยู่ดี หากจะชื่นชมคลั่งไคล้ผู้ใดให้ได้เหมือนเขาก็คงไม่มีอีกแล้วเพราะเขาคือคนที่นางรักที่สุด

        ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะเป็นไอดอลของยุคนี้แต่ทว่านางก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้ง แต่ดูจากท่าทางของหญิงสาวพวกนั้นก็เหมือนกับนว่าเขาจะต้องมีดีอยู่มากถึงได้มัดใจหญิงสาวมากมายถึงเพียงนี้ได้ คิดแล้วฟางหนิงฮวาก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาว่าเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร เรื่องความสามารถคงไม่ต้องพูดถึงเพราะหากว่าเป็นเจ้าเมืองได้ตั้งแต่ยังหนุ่มก็คงจะเก่งไม่เบา

        จินตนาการแล้วก็นึกถึงซีรีย์ย้อนยุคที่เคยดู พวกเจ้าเมืองหรือว่าแม่ทัพที่เก่ง ๆ นั้นก็มีหน้าตาที่หล่อเหลาอยู่พอสมควร แต่ว่านั่นก็คือนักแสดงซึ่งพวกผู้กำกับก็ต้องเฟ้นหานักแสดงที่หล่อเหล่ามาเป็นพระเอกอยู่แล้ว แต่แล้วความจริงจะใกล้เคียงกับเหล่าคนจริง ๆ ในยุคที่นางอยู่ตอนนี้หรือไม่ก็ไม่รู้

        บุคลิกก็คงจะเป็นแบบนิ่ง ๆ เคร่งขรึม เย็นชา อะไรทำนองนั้น เพราะการเป็นเจ้าเมืองหรือว่าเป็นแม่ทัพจะต้องวางมาดให้น่าเกรงขาม อีกทั้งคงมีเรื่องปัญหาต่าง ๆ ให้ขบคิดมากมายก็เลยไม่ค่อยยิ้มกันสักเท่าไร คิดไปด้วยก็วาดภาพท่านเจ้าเมืองในหัวไปด้วย ได้ออกมาเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ไร้หนวดเคราแต่หน้าตาดุดันผู้หนึ่ง

        ฟางหนิงฮวายืนคิดอยู่นานจนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปแล้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงเรียกขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าดังมา

        "นี่…แม่นาง เจ้าจะออกไปหรือไม่ ถ้าจะออกไปก็รีบเข้าข้าจะปิดประตูแล้ว" องครักษ์คนที่คอยห้ามหญิงสาวพวกนั้นเมื่อสักครู่เป็นคนพูด

        "เจ้าค่ะ ข้าจะกลับออกไปเดี๋ยวนี้" ฟางหนิงฮวารีบรับคำก่อนจะเดินตรงไปยังประตู

        แต่พอถึงประตูนางกลับยังไม่ก้าวขาออกไป ด้วยความอยากรู้ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นจึงได้รวบรวมความกล้าถามคำถามกับองครักษ์ผู้นั้น

        "ท่านองครักษ์ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บมาหรือ"

        "เจ้าไม่ใช่ชาวเมืองถู่หยางหรอกหรือเหตุใดจึงไม่รู้ข่าว หรือว่าเจ้าไปอยู่ที่ใดมา" องครักษ์ถามกลับอย่างแปลกใจ

        "หลายวันมานี้ข้าป่วยก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลยเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาตอบ

        "ท่านเจ้าเมืองไปราบโจรภูเขามาจึงได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ผ่านไปสามวันแล้วยังไม่ฟื้นเลย" องครักษ์ผู้นั้นพูดด้วยนำเสียงและสีหน้าที่เศร้าสร้อย

        เห็นองครักษ์เศร้าใจแล้วฟางหนิงฮวาก็สงสารเขา จึงกล่าวให้กำลังใจไปว่า "เมื่อครู่ข้าเห็นท่านหมอมาแล้ว เห็นว่าเป็นท่านหมอที่เก่งที่สุดในเมืองถู่หยาง เขาต้องรักษาท่านเจ้าเมืองได้แน่"

        "ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น" องครักษ์กล่าว

        "ข้าต้องกลับร้านแล้วพวกท่านเองก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ เจียโหย่ว1" ฟางหนิงฮวากล่าวจากนั้นจึงเดินจากมา ทิ้งให้องครักษ์สองคนงุนงงกันคำว่าเจียโหย่วที่นางพูดเมื่อสักครู่

        "เติมน้ำมันคืออันใด เหตุใดพวกเราจึงต้องเติมน้ำมันด้วย"

        "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นางคงหมายความว่าได้เวลาต้องทำอาหารเช้าแล้วกระมัง"

1เจียโหย่ว มีสองความหมาย หนึ่งคือสู้สู้ เป็นการให้กำลังใจ สองแปลว่าเติมน้ำมัน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทะลุมิติมาพบรักกับเมน   บทที่ 50 บิดามารดามาเยี่ยม

    บทที่ 50 บิดามารดามาเยี่ยม ตั้งแต่ที่ฟางหนิงฮวามาที่เมืองเสวี่ยคังนี่ก็เป็นเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว นางยังไม่ได้กลับบ้านเสียที มีแต่เขียนจดหมายไปบอกบิดามารดาเท่านั้น ฟางตวนกับนิ่งหรงพอเห็นว่าบุตรสาวไม่กลับบ้านก็คิดถึงและเป็นห่วงจึงได้คิดที่จะไปเยี่ยมนาง พวกเขาเริ่มออกเดินทางส่วนร้านซาลาเปานั้นก็ฝากไว้กับอารอง “ท่านพี่ เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง” นิ่งหรงเอ่ยถามสามีที่กำลังจัดของของตัวเองใส่ห่อผ้าอยู่ เขาเอาสิ่งนั้นเข้าสิ่งนี้ออกอยู่หลายครั้งจนนางรำคาญ “ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ แต่ขอข้าคิดก่อนว่าควรจะเอาเนื้อกวางแห้งนี่ไปฝากหนิงฮวาดีหรือไม่” ฟางตวนพูดพลางหยิบเนื้อกวางแห้งนั่นใส่เข้าไปในห่อผ้าอีกครั้ง “ท่านไม่ต้องเอาอะไรไปฝากนางทั้งนั้นแหละ

  • ทะลุมิติมาพบรักกับเมน   บทที่ 49 ดวลสุรา

    บทที่ 49 ดวลสุรา เป็นเพราะว่าเห็นคุณชายผู้นี้พูดคุยกับฟางหนิงฮวาทำให้เซียวป๋อเหวินอดไม่ได้ที่จะหึงขึ้นมา เขาตัดสินใจนั่งร่วมโต๊ะกับเหยียนจื่อจิง ทั้งนี้ก็เพื่อจะเอาตัวเองขวางกั้นไม่ให้เหยียนจื่อจิงได้สนทนากับฟางหนิงฮวาได้สะดวก “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะให้พ่อครัวจัดอาหารมาให้” ฟางหนิงฮวาพูด “อ้อ...ท่านแม่ทัพอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ทำให้” “แล้วแต่เจ้าเถิด แต่ว่า...ข้าขอสุรามากหน่อย วันนี้รู้สึกอยากดื่มสุรา” เซียวป๋อเหวินพูด หลังจากที่ฟางหนิงฮวาหายเข้าไปในครัวแล้วบรรยากาศในร้านก็เปลี่ยนไป เซียวป๋อเหวินที่แย้มยิ้มเมื่อสักครู่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสายตามาดร้ายจ้องไปที่เหยียนจื่อจิงอย่างไม่วางตา

  • ทะลุมิติมาพบรักกับเมน   บทที่ 48 ตุ๊กตาหมี

    บทที่ 48 ตุ๊กตาหมี เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของฟางหนิงฮวากับเซียวป๋อเหวินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นจนเหล่าทหารทั้งกองทัพต่างก็มองว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันไปแล้ว ฟางหนิงฮวามักจะเอาอาหารไปให้เขาที่ค่าย ส่วนเขาก็มักจะทำอะไรให้นางประหลาดใจอยู่บ่อย ๆ วันนี้ที่ร้านยุ่งมากจนฟางหนิงฮวาไม่สามารถปลีกตัวออกจากร้านได้ เดิมทีนางคิดว่าจะทำไก่ผัดพริกเสฉวนไปให้เขากินที่ค่ายแต่ว่าทำเสร็จนานจนอาหารเย็นชืดก็ยังไม่ได้ไป กว่าลูกค้าจะออกจากร้านหมดก็ปาเข้าไปปลายยามเซินแล้ว ฟางหนิงฮวากลับมาที่จวน นางถือกล่องอาหารมาด้วยและก็พบเข้ากับเซียวป๋อเหวินที่กลับมาพอดี “ไก่ผัดพริกเสฉวนนี่เย็นชืดหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเข้าครัวไปอุ่นให้ท่านใหม่นะ” “ไม่เป็นไรหรอก ให้สาว

  • ทะลุมิติมาพบรักกับเมน   บทที่ 47 ร้านอาหารเสฉวนแห่งเมืองเสวี่ยคัง

    บทที่ 47 ร้านอาหารเสฉวนแห่งเมืองเสวี่ยคัง หนึ่งเดือนต่อมาร้านอาหารก็เปิด ฟางหนนิงฮวาเปิดร้านอาหารรูปแบบของเสฉวน เน้นอาหารรสชาติเผ็ดร้อนที่เซียวป๋อเหวินชอบ แถมยังมีหม้อไฟหม่าล่าซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ของที่นี่อีกด้วย สร้างความฮือฮาในหมู่ชาวเมืองเสวี่ยคังเป็นอย่างอยิ่ง เมื่อได้ยินว่ามีร้านอาหารมาเปิดใหม่ผู้คนต่างก็อยากรู้อยากเห็น พากันแวะเวียนมาเดินผ่านหน้าร้านกันแต่ว่าก็ยังไม่มีใครกล้ามาลองกินดูสักคน จนเมื่อฟางหนิงฮวาเปิดหม้อน้ำแกงหม่าล่าออกก็ถึงกลับทำให้คนที่เดินไปมาอยู่หน้าร้านถึงกลับชงัก กลิ่นของน้ำแกงนั้นหอมเตะจมูกเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งกลิ่นที่กลมกล่อมของมันวัวและกลิ่นเครื่องเทศที่หอมฟุ้ง ชาวเมืองที่อยู่แถวนั้นต่างก็กลืนน้ำลายกันเป็นแถว “นี่มันอาหารอะไรเนี่ย ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้มาก่อนเลย” ชายวันกล

  • ทะลุมิติมาพบรักกับเมน   บทที่ 46 เริ่มต้นกิจการ

    บทที่ 46 เริ่มต้นกิจการ “นี่...หัวหน้าองครักษ์กู้ ช่วงนี้ท่านแม่ทัพกำลังยุ่งอยู่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม นางมาดักรอหัวหน้าองครักษ์ที่ทางเดินไปห้องหนังสือของเซียวป๋อเหวิน “ช่วงนี้ท่านแม่ทัพค่อนข้างยุ่งน่ะ ต้องเตรียมเรื่องการฝึกทหาร ยิ่งตอนนี้มีการรับทหารใหม่เข้ามา งานก็เลยล้นมือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ตอบ “เหตุใดเจ้าไม่ไปถามกับท่านแม่ทัพเอาเล่าหนิงฮวา” “ข้าไม่อยากรบกวนเขาน่ะ และข้าก็รู้ว่าท่านต้องตอบข้าทุกอย่างอยู่แล้ว” ฟางหนิงฮวายิ้มน้อย ๆ “เจ้านี่ฉลาดเอาเรื่อง ว่าแต่ถามหาท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ถาม “ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าช่วงที่ข้า

  • ทะลุมิติมาพบรักกับเมน   บทที่ 45 หุบเขาวัดเสวียนคงและสวนต้นกุ้ยฮวา

    บทที่ 45 หุบเขาวัดเสวียนคงและสวนต้นกุ้ยฮวา หลังจากการศึกจบลง บ้านเมืองสงบเซียวป๋อเหวินได้มีเวลาของตัวเอง วันนี้เข้าจะพาฟางหนิงฮวาออกไปเที่ยวนอกเมืองสักหน่อย เขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความงามของธรรมชาตินอกเมืองมานานแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องยุ่งอยู่กับการศึกจึงไม่ได้มีเวลาออกไป วันนี้ว่างแล้วจึงเป็นเวลาที่เหมาสมพอดี เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางหนิงฮวาที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานกำลังนั่งแต่งตัวจัดเครื่องประดับอยู่ที่หน้ากระจกทองเหลืองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบออกมาเปิดทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวป๋อเหวินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเช้าตรู่เช่นนี้เขาจะอยู่ที่ห้องหนังสือมิใช่หรือ “ท่านแม่ทัพ มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถาม&nb

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status