เข้าสู่ระบบยิ่งได้มองดวงหน้าหวาน ความรู้สึกบางอย่างแล่นกลับมาในห้วงความคิด ความรู้สึกเมื่อแรกพบหวนกลับมา
วันที่เขาพบกับนางเป็นครั้งแรก วันที่นางตกลงมาจากฟ้าสู่อ้อมแขน ช่วงเวลานั้นทุกสิ่งราวกับหยุดนิ่ง ร่างของนางเบาบางอยู่ในอ้อมแขน สายลมพัดไปรอบตัว ฝนแรกที่ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้าหลังจากแห้งแล้งมาหลายเดือนโอบล้อมพวกเขาทั้งสอง ยามสบตาคล้ายกับถูกบางอย่างดึงดูดจนมิอาจต้านทานได้
คล้ายกับหัวใจจะหยุดเต้นในตอนนั้น…
ไม่ใช่เพราะความงามเหนือมนุษย์ของนาง ไม่ใช่เพราะความแปลกประหลาดของสถานการณ์ แต่เป็นเพราะสิ่งใดบุรุษเองก็มิอาจหาคำตอบได้
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็ได้เวลาเดินทางต่อ มิเช่นนั้นอาจจะไปถึงช้ากว่ากำหนด เพ่ยเพ่ยสาวใช้ของหนิงอวี้เฟยพานางไปที่รถม้า นางเงยหน้ามองรถม้าที่รออยู่ก่อนจะถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปมองหยวนซีซวน
“ข้าขอนั่งม้าไปกับท่านได้หรือไม่?” สตรีตัวน้อยทำสายตาออดอ้อนระคนน่าสงสารราวกับลูกกวางตัวน้อย หยวนซีซวนมองนางนิ่งๆ ราวกับไม่หวั่นไหวไปกับการออดอ้อนของนาง ก่อนจะเอ่ยถาม
“เหตุใดจึงอยากนั่งม้า?” บุรุษเลิกคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากไม่เคยเห็นสตรีใดเอ่ยปากขอขึ้นม้ามาก่อน
“ข้าคิดว่าถ้าได้สูดอากาศอาจจะไม่เมาก็ได้ รถม้ามันโคลงเคลงเกินไป”
หยวนซีซวนพินิจพิเคราะห์นางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ได้”
…ถึงอย่างไรอีกไม่นานนางก็ต้องเป็นภรรยาข้า จะมีสิ่งใดไม่เหมาะสมกัน อีกอย่างให้เรื่องนี้ไปถึงหูของฝ่าบาทด้วยย่อมดี...
สตรีตัวน้อยอุทานด้วยความดีใจก่อนจะเดินตามหยวนซีซวนไปที่ม้าตัวหนึ่ง ขนสีดำขลับสะท้อนแสงราวกับเส้นไหม ดวงตาสีเข้มของมันนุ่มลึกไม่ต่างไปจากเจ้าของ หนิงอวี้เฟยรู้สึกราวกับว่ามันเหลือบสายตามองนางแวบหนึ่งก่อนจะหันไปอย่างไรอย่างนั้น
หนิงอวี้เฟยกำลังเตรียมตัวขึ้นม้าด้วยความตื่นเต้น แต่จู่ๆ ร่างของนางกลับลอยขึ้นไปเหนือพื้น พร้อมกับสัมผัสที่เอวของนาง!
“ว้าย!” นางอุทานด้วยความตกใจ เมื่อหยวนซีซวนสามารถอุ้มนางขึ้นม้าได้โดยง่ายราวกับจับวาง
นางเพิ่งรับรู้ถึงพละกำลังที่แท้จริงของเขาก็ตอนนี้ ตอนที่อุ้มนางจนตัวลอย!
หลังจากนั้นหยวนซีซวนก็กระโดดขึ้นมานั่งด้านหลัง แผ่นหลังของนางแนบชิดกับแผงอกของบุรุษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แขนแข็งแกร่งของเขายื่นมาจับบังเหียนม้า ราวกับโอบกอดนางโดยไม่ตั้งใจ
หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย หรือเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดบุรุษมากขนาดนี้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทาง ไม่นานอาการเมื่อครู่ก็หายไป นางมองไปรอบตัวด้วยความสนอกสนใจ ตอนอยู่บนรถม้านางไม่มีโอกาสได้มองโดยรอบดีๆ เพราะมัวแต่เมารถ แม้สองรอบด้านเป็นป่า มีแต่ต้นไม้เรียงราย ทว่าก็มีบุปผางอกเงยให้ได้ชื่นชมอยู่บาง นกบินผ่านต้นไม้ ใบไม้ไหวไหวไปตามสายลม นางรู้สึกเพลิดเพลินเหลือเกิน
“ท่านพี่ นั่นคืออะไร?” นางชี้ไปที่ทุ่งบุปผาที่ไกลออกไป
“ทุ่งดอกอิงหลัน”
“สวยจังเลย” นางมองรอบตัวไม่หยุด แล้วเอ่ยถามต่อเสียงเจื้อยแจ้ว “แล้วนั่นล่ะ?”
“ภูเขาหลัวซาน เป็นเขตแดนหนึ่งของแคว้น”
“แล้วเราจะถึงเมืองหลวงเมื่อใด?”
“อีกห้าวัน หากเดินทางไปตามเส้นทางนี้”
“โอโห! เจ็ดวันเลยเหรอ?”
หนิงอวี้เฟยอดตกใจไม่ได้ ในซีรี่ย์ที่นางเคยดูไม่ค่อยเอ่ยถึงการเดินทางสักเท่าไหร่ เมื่อฉากสำคัญจบก็ตัดภาพไปถึงเมืองหลวงแล้ว แต่นี่นางต้องรออีกตั้งเจ็ดวัน
“การเดินทางยาวนานจริงๆ” นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา หยวนซีซวนคิดว่านางเอ่ยถามสิ่งใด จึงยื่นหน้ากดลงมาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าเอ่ยสิ่งใดนะ?”
“เฮือก!”
สตรีตัวน้อยตกใจสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู นางหันไปด้วยความตกใจทำให้ริมฝีปากของนางสัมผัสที่ข้างแก้มของบุรุษอย่างแผ่งเบา
“ฉะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!” นางตกใจจนเผลอเอ่ยถ้อยคำจากยุคปัจจุบันออกมา
หยวนซีซวนดึงใบหน้ากลับ ยืดตัวตรง ใบหน้าทมึงทึงเฉกเช่นเดิม หนิงอวี้เฟยคิดว่าบุรุษคงโกรธเป็นแน่จึงได้แต่นั่งนิ่งทำตัวลีบแบน
“คำพูด” บุรุษเอ่ยเตือน ทำให้หนิงอวี้เฟยเพิ่งนึกได้
“ขะ ข้าจะระวังเจ้าค่ะ...”
หลังจากเรียนมารยาทนางก็เรียนรู้อะไรมากมาย โดยเฉพาะการใช้คำพูด หากนางทำตัวแตกต่างมากเกินไปจะเป็นจุดสนใจ และผู้คนก็จะยิ่งคิดว่านางเป็นเทพธิดา ฉะนั้นหากนางไม่อยากถูกเข้าใจผิดก็จำเป็นต้องทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คน โดยเฉพาะคำพูดของนางที่มักลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง
จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีกเลย หากแต่ดวงตาของหนิงอวี้เฟยมองซ้ายมองขวาไม่หยุด กระทั่งนางเอนศีรษะซบแผงอกของเขาอย่างไม่ตั้งใจ ลมหายใจของนางจะสม่ำเสมอขึ้น ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ ปิดสนิทลง
บุรุษกดสายตามองนางนิ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับไปมองเส้นทางเบื้องหน้า...
และแล้วในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง ผู้คนเดินขวักไขว่ไปตามถนนกว้าง เสียงพ่อค้าแม่ค้าโห่ร้องเรียกลูกค้าดังเซ็งแซ่ แผงขายผลไม้สด แผงเครื่องหอมส่งกลิ่นอบอวล คละเคล้ากับเสียงหัวเราะของเด็กเล็กที่วิ่งไล่จับกันไปตามตรอกซอกซอย
มีร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายผ้าแพร ร้านอาหารที่ตั้งเตาต้มซุปหอมกรุ่นและปิ้งย่างเนื้อหอมฉุย ควันลอยคลุ้งเหนือกระทะเหล็ก เสียงมีดสับดังเป็นจังหวะ หนิงอวี้เฟยมองผ่านม่านรถม้าที่นางแอบแง้มออกเล็กน้อย ดวงตาของนางส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
“เพ่ยเพ่ย นั่นคืออะไร?” นางชี้ไปยังร้านที่แขวนซี่โครงเป็ดรมควันเรียงราย
“นั่นเป็นร้านเป็ดพะโล้เจ้าค่ะ” เพ่ยเพ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วร้านนั้นล่ะ?” นางชี้ไปยังร้านขายขนมที่มีขนมหลากสีจัดเรียงบนถาด
“ขนมถั่วหวานเจ้าค่ะ คุณหนูหนิงเคยกินหรือไม่เจ้าคะ?”
“ดูน่าอร่อยมาก” นางเอ่ยพร้อมเริ่มเปิดม่านออกกว้างขึ้น เพื่อที่จะเห็นร้านขายของอื่นๆ ให้มากขึ้น
รถม้าลดความเร็วลงเล็กน้อยขณะผ่านย่านตลาด หนิงอวี้เฟยมิอาจละสายตาจากภาพตรงหน้าได้ แต่นางยังไม่ทันได้เปิดม่านออกเต็มที่ เสียงกระแอ่มไอแผ่วเบาก็ดังขึ้นข้างตัว
“ท่านเทพธิดา โปรดปิดม่านเถิด”
บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อควบม้ามาเทียบอยู่ข้างรถม้าของนาง ท่าทางสุภาพแต่เคร่งขรึมจนนางรู้สึกหวาดหวั่น หนิงอวี้เฟยทำหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงพร้อมกับผ้าม่านที่ปิดสนิท
“ทำไมต้องปิด ข้าก็แค่อยากเห็นเมืองหลวงเท่านั้นเอง”
เพ่ยเพ่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบนาง
“องครักษ์หวังก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เคร่งในกฎระเบียบ”
“มีกฎที่ไหนบอกไม่ให้เปิดผ้าม่านหรือ!”
“คุณหนูหนิงเจ้าคะ ในเมืองหลวงสตรีสูงศักดิ์มักไม่เผยโฉมหน้าให้ผู้คนพบเห็นง่ายนัก ยิ่งในสถานะเช่นท่านแล้ว การปิดม่านย่อมเป็นเรื่องสมควรเจ้าค่ะ” เพ่ยเพ่ยอธิบายอย่างใจเย็น หนิงอวี้เฟยได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ
“แล้วยังเรียกข้าว่าเทพธิดาไม่เลิก”
กระนั้นหนิงอวี้เฟยก็ยังคงบ่นไม่เลิก ยังดีที่เพ่ยเพ่ยและสาวใช้ส่วนใหญ่ยอมทำตามที่นางบอก ว่าไม่ให้เรียกนางว่าท่านเทพธิดา นอกจากนั้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทว่าพวกทหารกลับไม่ทำเช่นนั้น ยังคงเอาแต่เรียกนางว่าเทพธิดา โดยให้เหตุผลว่านางคือเทพธิดาก็ต้องเรียกว่าเทพธิดา ทำเอาหนิงอวี้เฟยเหนื่อยใจเหลือเกิน
...หากฉันเป็นเทพธิดาจริงๆ ป่านนี้ฉันคงบินกลับสวรรค์ไปแล้ว ไม่มาอยู่ให้พวกเขาคอยปรนนิบัติสรรเสริญแบบนี้หรอก!...
“ข้าก็แค่อยากดู... เมืองนี้มีอะไรให้เห็นมากมาย” นางพึมพำเสียงเบา ราวกับเด็กน้อยโดนดุเมื่อทำความผิด
เพ่ยเพ่ยมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยปลอบใจ
“เช่นนั้นลองไปขออนุญาตซวนอ๋องดีหรือไม่เพคะ?”
“นั่นสิ! ขอบใจเจ้ามาก!”
บทที่ 45คืนนี้อีกรอบหนิงอวี้เฟยยังคงอาบน้ำเงียบๆ ในสายน้ำเย็นชื่น ทว่าอยู่ดีๆ ร่างของหยวนซีซวนก้าวเข้ามาใกล้ นางยังไม่ทันรู้ตัวมือแข็งแกร่งของเขาก็โอบรอบเอวนางจากด้านหลัง“ท่านพี่!!” สตรีตัวน้อยร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อสัมผัสถึงอ้อมแขนที่แนบชิด ร่างของเขาไม่ได้เคลื่อนไหวใดต่อไป เพียงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น“เจ้าคิดหรือยัง?” บุรุษเอ่ยพลางกดใบหน้าเข้าที่ลำคอของนาง แล้วใช้จมูกไล้ที่ผิวกายเบาๆ กลิ่นหอมหวานทำให้หยวนซีซวนแอบกัดฟันกรอด“คิดอะไรเจ้าคะ?” นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“เรื่องลูกของเรา” เขากระซิบเบาๆ พลางจูบลงบนเรือนผมนางอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความออดอ้อน “เจ้าอยากมีกี่คน สามคน ห้าคน หรือสักเจ็ดคนดี?”“ขะ ข้ายังไม่ได้คิด...”“เช่นนั้นก็คิดเสีย”“ให้เวลาข้าอีกนิดเถิดเจ้าค่ะ”“ยังใ
บทที่ 43ไม่ตายไม่แยกจาก“เฮ้อ เจ้าระแวงเกินไปแล้ว เมื่อคืนก็ทั้งคืน ข้าจะไปกล้ารังแกเจ้าต่อได้อย่างไร มาๆ ข้าพาเจ้าไปอาบน้ำดีกว่า”“กรี๊ด! ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า! ท่านพี่!”หยวนซีซวนโอบอุ้มสตรีตัวน้อยขึ้นสู่อ้อมแขน แล้วพาเดินไปที่ห้องน้ำที่สาวใช้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วระหว่างที่นางหลับ เมื่อมาถึงก็ค่อยๆ วางนางลงในอ่างอาบน้ำ จากนั้นก็ช่วยนางอาบน้ำอย่างจริงจัง ทำเอาหนิงอวี้เฟยรู้สึกประหลาดใจยิ่งนักเขาไม่เพียงแต่ไม่รังแกนางในน้ำ ยังช่วยอาบน้ำชำระกายอย่างดี บีบนวดตัวนางเพื่อคลายความเมื่อยล้าให้อีกต่างหาก จนนางวางใจอาจจะเพราะบุรุษรู้สึกผิดที่เมื่อคืนนี้เคี่ยวกรำนางหนักเกินไปก็เป็นได้หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จ ทั้งสองก็นั่งกินข้าวอยู่ในห้อง อาหารมากหน้าหลายตาถูกวางเรียงเต็มโต๊ะ ผลัดกันตักให้ ผลัดกันป้อนอย่างหวานชื่น เมื่อกินอิ่มสาวใช้ก็เข้ามาเก็บสำรับหมับ!หยวนซีซวนโอบกอดนางทันทีที่สาวใช้ออกไป ร่างของบุรุษแนบชิดเข้า
บทที่ 42กอดข้าหน่อยเจ้าค่ะใบหน้าของทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง จากนั้นริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบกันแนบแน่น ขยับบดเคล้าอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ ละเลียดละไม แล้วขบเม้มเบาๆ เมื่อความรู้สึกหนึ่งก่อตัวขึ้น เขาถอนริมฝีปากออกแล้วสบตากับนางอย่างหวานซึ้ง“รักเจ้าเหลือเกิน” โดยไม่ลืมเอ่ยคำหวานหูแล้วบดจูบนางอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่เพียงแต่ใช้ริมฝีปาก ยังใช้ลิ้นเพื่อตักตวงความหอมหวานภายในโพรงปากของนางอีกด้วยหนิงอวี้เฟยเปิดปากออกเพื่อให้เขารุกรานได้ตามอำเภอใจ สองแขนโอบรอบลำคอแกร่ง บางครั้งก็ลูบไล้ที่สันกรามไปจนถึงบ่าหนาที่อยู่ภายใต้สาบเสื้อ แล้วค่อยๆ ดันมันออกช้าๆ ในขณะเดียวกันหยวนซีซวนดึงสายรัดอาภรณ์ของนางแล้วดึงทีเดียวอาภรณ์ผืนบางก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นร่างกายของทั้งสองแนบชิดสนิทกัน จนแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว จูบหวานๆ ดำเนินไปเนิ่นนาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่รู้สึกเพียงพอเลยสักนิด หยวนซีซวนจับนางขึ้นนั่งบนตัก สองแขนที่โอบรอบลำคอของเขาเปลี่ยนมาเป็นประคองใบหน้าคมคาย แล้วก้
บทที่ 41สู่อ้อมกอดของสามีหยวนซีซวนไม่รอช้า ร่างของเขาทะยานออกไปโดยสัญชาตญาณ กะระยะในการรับร่างของนางพลางตวาดสั่งองครักษ์โดยรอบ“คุ้มกันนางไว้!”เหล่าองครักษ์กระโจนออกมา ตั้งแนวรอบจุดที่เทพธิดากำลังร่วงลงมา ฟ้าสว่างวาบ แม้ฝนจะเทกระหน่ำไม่หยุด แต่ทุกสายตากลับจับจ้องไปยังร่างหนึ่งที่กำลังพุ่งลงมาขณะที่บุรุษวิ่ง ร่างของนางเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วเขาก็สังเกตเห็น… นางไม่ได้ตกลงมา ณ ที่ใดก็ได้ แต่นางกำลังตกลงมายังสถานที่เดิมที่พวกเขาพบกันครั้งแรกบนแท่นพิธีบวงสรวงขอฝน!!ไม่รอช้าบุรุษกระโจนออกไปโดยไม่คิดชีวิต ภาพของนางยิ่งชัดเจนขึ้น นางกำลังลดระดับลง ดวงหน้าหวานเผยรอยยิ้มกว้าง พร้อมอ้าแขนราวกับกำลังโผบินสู่อ้อมกอดของสามีที่รอรับนางเบื้องล่างตู้ม!!เสียงน้ำแตกกระจาย ร่างของทั้งสองกระแทกเข้าหากันก่อนตกลงไปยังบ่อน้ำด้านหลังของแท่นพิธีฉับพลันที่ร่างกระแทกเข้าหากัน อ้อมแขนของหยวนซีซวนโอบกระชับร่างของนางไว้แน่
บทที่ 40การจากลามันยากเหลือเกินหลังจากร้องไห้และกอดอากงอาม่าที่รักจนพอใจ เธอก็เอ่ยพูดเสียงเบา...“หนูจะกลับไปค่ะ...”หนิงเทียนและหลิงอวี้เผยรอยยิ้ม แม้จะใจหายแต่ก็รู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด สามารถช่วยชีวิตของหลานสาวได้และยังช่วยให้หลานสาวกลับไปหาคนรักได้ด้วยอีกอย่าง... ร่างกายของหนิงเทียนก็คงทนไปได้อีกไม่ถึงปี...“เก็บนี่ไว้กับตัวนะ” หนิงเทียนเอ่ยพลางยื่นบางอย่างให้กับหลานสาวมันคือล็อกเกตที่ใส่รูปภาพเล็กๆ เอาไว้ด้านในด้วย แน่นอนว่าด้านนอกของมันประดับด้วยหยกแบบที่อาม่าชอบ ส่วนด้านใน…แกร็กเมื่อฝนดาวเปิดดูก็เห็นว่าด้านหนึ่งเป็นรูปถ่ายที่ถ่ายกับพ่อแม่ ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นรูปถ่ายที่ถ่ายกับอากงอาม่าริมฝีปากอวบอิ่มเผยรอยยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ เธอกุมมันไว้ที่หน้าอกด้วยความหวงแหน ก่อนจะช้อนดวงตาขึ้นมองหนิงเทียนอย่างออดอ้อน“ใส่ให้หนูหน่อยสิคะ”หนิงเทียนและหลิงอวี
บทที่ 39กลับไปเถิด“...!!” ฝนดาวตกใจเมื่อได้รู้ก่อนจะเอยถาม “แต่อากงกับอาม่าก็อายุยืนนี่คะ”“อาจจะเป็นเพราะพลังในตัวของอากงอาม่ายังเข้มข้น แต่เมื่อสืบทอดสายเลือดกับมนุษย์ สายเลือดเทพก็เจือจางลง ทำให้รองรับกฎเกณฑ์ของโลกไม่ไหว อาม่าได้อากงแบ่งพลังเทพให้ก่อนที่พลังจะไม่สามารถใช้ได้”“ส่วนวิธีที่จะทำให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็คือการกลับไปอยู่โลกเดิม...” หนิงอวี้เอ่ยเสียงเรียบ“แล้วทำไมอากงอาม่าไม่ไปกับหนูล่ะคะ?”“การเดินทางข้ามเวลาแม้มีสื่อกลางแต่ก็ต้องใช้พลังมาก” หนิงอวี้เอ่ยเสียงแผ่งเบา โดยปิดบังความจริงบางอย่างความจริงที่ว่าตัวเขาที่โลกนี้แม้มีพลังเทพแต่ไม่สามารถใช้พลังของเทพได้ การจะส่งใครสักคนข้ามเวลาไปนั้น ต้องแลกด้วยพลังชีวิตหลายส่วน“อากงพลังไม่พอ ก็เลยส่งหลานไปได้แค่คนเดียวน่ะ”“หนูมีพลังเทพใช่มั้ยคะ งั้นหนูใช้พลังของหนูช่วยอากงด้วยได้มั้ยคะ หนูมี







