เฉินอิ้งถงเร่งร้อนเข้าไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่ ประการแรกนางไม่อยากโต้ฝีปากกับสองแม่ลูกให้เสียอารมณ์ อีกประการเฉินอิ้งถงอยากนำขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยเสริมพลังวิญญาณความอร่อยจากเสี่ยวฮวาไปทดลองขาย
แต่เดิมเฉินอิ้งถงนั้นเปิดร้านขายหมั่นโถวซึ่งกำไรแต่ละวันก็ได้เพียงหยิบมือแทบไม่พอยาไส้สำหรับคนทั้งบ้าน บางคราได้กินเพียงโจ๊กใสดั่งคันฉ่องจนส่องเห็นหน้าคน ยิ่งอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร คุณภาพชีวิตที่คิดใฝ่ฝันก็พลันสลายไปในพริบตา
“นายท่าน ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กงัวเงียดังมาจากเหนือศีรษะ
“ช้าไม่ได้ หากข้าหาเงินได้มากหน่อยจะออกไปใช้ชีวิตอิสระตามใจ” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าการขายขนมที่กำไรต่อชิ้นน้อยนิดแทบไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครได้ทั้งสิ้น
เหตุใดจึงไม่ทะลุมิติเข้ามาเป็นลูกเศรษฐีกันนะ ปัดโธ่…
นางร้ายเรื่องอื่นเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ เหตุใดนางร้ายเรื่องนี้ชะตาถึงได้อเนจอนาถนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่
“เช่นนั้นเสี่ยวฮวาของีบอีกหน่อยนะเจ้าคะ”
“ช้าก่อน”
“เจ้าคะ”
“เสี่ยวฮวา เจ้าบอกว่าสามารถเสริมพละกำลังได้ใช่หรือไม่”
“อื้อ”
“เช่นนั้นความเร็วเล่า เจ้าทำได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าได้เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงยิ้มกว้าง “เช่นนั้นเจ้าเอาขนมที่เสริมพละกำลังและความเร็วมาให้ข้า”
จากปิ่นปักผมก็แปรเปลี่ยนเป็นภูติตัวจิ๋ว ปากน้อย ๆ หาวหวอดออกมาพร้อมดวงตากลมโตที่ดูปริ่มปรือ “ท่านจะเอาไปทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าถามมาได้ หากข้าเดินเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับเต่าป่วยหรือ กว่าจะถึงตัวอำเภอได้หอบตายก่อนกระมัง หากข้ากินขนมของเจ้าไปก็จะถึงเร็วขึ้น”
ภูติน้อยเสี่ยวฮวาเบิกตากว้าง ร่างเล็กร่อนไปมาเริงร่า “เช่นนี้เอง”
พริบตาขนมดอกสาลี่ชิ้นพอดีคำก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือน้อย ๆ “นายท่านหลังจากกินแล้วพละกำลังของท่านจะแข็งแกร่งมาก เพียงแต่อยู่ได้แค่หนึ่งชั่วยาม [1] เท่านั้น…”
ไม่ทันเอ่ยจบ มือเรียวก็คว้าหมับและยัดขนมเข้าปากทันใด “อือ…หวานอร่อยมาก”
“ข้ายังพูดไม่จบเลย ข้าจะบอกว่าการกินเพื่อเพิ่มพละกำลังในหนึ่งวันท่านกินได้ไม่เกินสองครั้ง เพราะหากมากกว่านั้นอาจทำให้ร่างกายของท่านอ่อนเพลียเนื่องจากรับไม่ไหว”
“อ้อ เช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว เราไปกันเถอะ”
พริบตาขาเสลาก็สลับขึ้นลงประหนึ่งลมกรด
“เหวอ…นายท่านรอข้าด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวฮวาร่อนตามไปติด ๆ
ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงที่หมายอย่างน่าอัศจรรย์ เรี่ยวแรงที่มีก็ไม่ถดถอยลงเลย
“โอ้โห เสี่ยวฮวา ขนมของเจ้าสุดยอดเกินไปแล้ว”
เสี่ยวฮวาเชิดหน้าภูมิใจ “เห็นหรือไม่ ว่าภูติเช่นข้าก็มีประโยชน์”
“รู้แล้ว ๆ เจ้าแปลงกายเป็นปิ่นเร็ว เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะแตกตื่นกันหมด”
“เจ้าค่ะ”
ปิ่นหยกลายบุปผาหลากสีปรากฏขึ้นอีกครั้ง เดิมทีเฉินอิ้งถงเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามอยู่แล้ว กระนั้นเมื่อมีภูตดอกไม้ประดับบนศีรษะกลับยิ่งเสริมความพริ้มเพราขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้ดูโดดเด่นและสะดุดตาผู้คนที่ผ่านมาพบเห็น
“แม่นาง ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้าคงเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกกระมัง”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะระหว่างที่หญิงสาวกำลังสาละวนเพื่อตระเตรียมของสำหรับค้าขาย
เฉินอิ้งถงยืดกายเต็มความสูง นัยน์ตาจ้องมองบุรุษวัยใกล้เคียงกันด้วยท่าทีฉงน “คุณชาย ร้านข้ายังไม่เปิด หากท่านอยากซื้อของก็รอข้าอีกครู่เจ้าค่ะ”
เฉินอิ้งถงเตรียมจัดแจงขนมหลากรูปแบบต่อ และไม่ใส่ใจบุรุษตรงหน้าอีก ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตากะล่อนปลิ้นปล้อน แววตาก็แทะโลมนางออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ทั้งที่นางเอ่ยปากเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมจากไปไหน เขายืนนิ่งพลางคลี่พัดในมือสะบัดไปมาหน้าตาเฉย เฉินอิ้งถงไม่สนใจท่าทางประหนึ่งนกยูงรำแพนของเขานางยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเริ่มบังเกิดโทสะขึ้นมาหน่อยแล้ว ครั้นเห็นมือเรียวยื่นออกมาอีกหน ฝ่ามือหยาบระคายก็คว้าหมับข้อมือเล็กเอาไว้
เฉินอิ้งถงตวัดตามองเข้ม ทว่าเขากลับคลี่ยิ้มยียวนตอบ
“คุณชาย ท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม ลูกน้องที่ยืนขนาบซ้ายขวาก็ฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างกัน
“แม่นาง ข้าว่าเจ้าไม่ต้องตรากตรำทำงานเช่นนี้หรอก บ้านของข้ามีเงินทองมากมาย เจ้ามาเป็นฮูหยินข้าดีหรือไม่”
เฉินอิ้งถงขึงตามองอย่างนึกรังเกียจ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เริ่มทยอยตั้งแผงขายของต่างเมียงมองอย่างสนใจ แต่ก็หามีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าสอด เหตุเพราะชายหนุ่มที่กำลังก่อเรื่องเป็นถึงลูกเศรษฐีสกุลฝาน เขามักทำตัวเกกมะเหรกเกเรเช่นนี้เสมอ ยิ่งพบเจอสตรีงดงามอ่อนแอไร้กำลังก็ยิ่งย่ามใจคิดข่มเหงหญิงสาวเหล่านั้นไม่สนถูกผิด
“ข้าบอกให้ปล่อย” เสียงใสกล่าวเย็นเยียบสาดประกายวาววับ
เสียงทุ้มของลูกน้องร่างใหญ่หัวเราะร่วนสวนขึ้นด้วยความสนุก ส่วนตัวก่อเรื่องยังคงยิ้มพรายเจ้าเล่ห์ มิหนำซ้ำมือที่จับแขนของนางไว้ก็เริ่มละลาบละล้วงเลื่อนไล้ไปตามท้องแขนขาวเนียนอย่างถือวิสาสะ
“แขนนุ่มนิ่มดีจริง หน้าตาก็งดงามเพียงนี้อย่าทำบูดบึ้งให้เสียของเลยแม่นางน้อย”
เฉินอิ้งถงสิ้นความอดทน หญิงสาวสะบัดแขนที่ถูกอีกฝ่ายกำลังเอาเปรียบสุดแรง ร่างสูงปลิวไปไกลประหนึ่งลูกหนัง ก้นของเขาหย่อนลงตรงตะกร้าผักเน่าเข้าพอดิบพอดี ผักใบเหี่ยวเฉาที่ลอยกระเด็นขึ้นกลางอากาศร่วงลงตรงกบาลชายหนุ่มเสียงดังแผละ เป็นภาพที่ชวนสะอิดสะเอียนและสุดอับอาย ความหยิ่งยโสของคุณชายจอมกะล่อนหายไปชั่วพริบตา
“นายน้อย!!”
ชายทั้งสองถลาเข้าหาผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเร่งประคองอีกฝ่ายให้ลุกออกจากตะกร้าใบใหญ่ด้วยความทุลักทุเล
บรรดาชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตกอยู่ในอาการพรึงเพริด พริบตาก็ล้วนก้มหน้าลอบขบขันด้วยความสาแก่ใจ
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นได้ก็ขบฟันแน่นชี้นิ้วด่ากราด “พวกเจ้าหัวเราะข้ารึ” เสียงหัวเราะสงัดลง นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเฉินอิ้งถงเต็มเปี่ยมไปด้วยเพลิงอาฆาต “กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้า คอยดูเถิดข้าจะให้ทางการลงโทษเจ้า”
เฉินอิ้งถงจิ๊ปากพลางยกมือขึ้นกอดอก วันนี้อยากหาเงินให้มากหน่อยจึงเลือกมาทำการค้าในตัวอำเภอ ไม่คิดเลยว่าจะดวงซวยปะเข้ากับพวกสุนัขขี้เรื้อน
ชายร่างสูงกระฟัดกระเฟียดใกล้เข้ามา
เฉินอิ้งถงกอดอกเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง “ลงโทษรึ เมื่อครู่ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าทำเรื่องต่ำทรามกับข้าก่อน คนที่ควรถูกลงโทษต้องเป็นเจ้ามากกว่า”
ปลายนิ้วชายหนุ่มชี้ดะสั่นระรัว “นังผู้หญิงปากดี หากวันนี้ข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้าอย่าเรียกข้าว่าฝานฟ่านเลย”
เฉินอิ้งถงขำพรืด “ฮ่า ฮ่า ฝานฟ่าน ข้าว่าหน้าอย่างเจ้าควรชื่อว่า ฝานโกว [2] คงเที่ยวกัดเที่ยวข่มเหงผู้อื่นไปเรื่อยใช่หรือไม่”
ฝานฟ่านได้ยินคำสบประมาทก็ควันออกหู “เจ้า! วันนี้อย่าคิดจะได้ก้าวเท้าไปจากที่นี่เลย” ชายหนุ่มออกคำสั่ง “จับนางเอาไว้!”
“ขอรับ”
ชายฉกรรจ์สองคนดาหน้าเข้าหาเฉินอิ้งถงหวังประชิดตัว ทว่ากลับถูกเท้าเรียวยกสวนจนร่างกระเด็นล้มคะมำจนรู้สึกจุก
ฝานฟ่านหงุดหงิด หน้าผากชายหนุ่มผุดพราวไปด้วยเหงื่อเม็ดเบ้อเริ่ม
“ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พวกเจ้าก็สู้ไม่ได้รึ”
“นายน้อย นางแรงเยอะมาก พวกบ่าวเข้าใกล้นางแทบไม่ได้เลยขอรับ”
“เจ้าพวกโง่ นางจะแรงเยอะกว่าผู้ชายตัวเท่าควายเช่นพวกเจ้าได้อย่างไร” ฝานฟ่านยกเท้าถีบอกลูกน้องของตนซ้ำด้วยความเดือดดาล
ชายหนุ่มกระฟัดกระเฟียดหมายจัดการเฉินอิ้งถงด้วยตนเอง วันนี้นางก็ไม่คิดอ่อนข้อให้ใครทั้งนั้น ใหญ่โตมาจากที่ใดก็อย่าหวังรังแกผู้อื่นเฉกเช่นสิ่งของไร้ค่าได้
พัดในมือชายหนุ่มถูกขว้างออกไปประหนึ่งลูกข่าง เฉินอิ้งถงปัดทิ้งฉับพลัน ก่อนที่ฝานฟ่านจะทันคว้าสาบเสื้อของเฉินอิ้งถงได้ ก็มีเสียงดังกึกก้องแว่วมาไม่ไกล
“เหยียนอ๋องเสด็จ”
ทุกคนที่ยืนมุงดูต่างแตกฮือดุจผึ้งแตกรัง ฝานฟ่านตกใจเบิกตาโพลง เขายืนตัวแข็งทื่อประหนึ่งก้อนหิน
เฉินอิ้งถงที่ได้ยินนามเหยียนอ๋องก็ค้นหาความทรงจำในคลังสมองจ้าละหวั่น กระทั่งจำได้ว่าเขาคือพระเอกธงแดงของเรื่องนี้ อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวกะทันหัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง
เฉินอิ้งถงมองหน้าขาวซีดของฝานฟ่านก็คิดบางอย่างออก กระทั่งม้าตัวสูงใกล้เข้ามาทางนี้ มือเรียวแสร้งคว้าไปยังสาบเสื้อของชายหนุ่มแล้วทิ้งกายลงตรงหน้า
ฝานฟ่านเบิกตาโพลงท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาผู้คน เหตุการณ์เมื่อครู่คล้ายว่าเขาเป็นผู้ผลักนางล้มลงไป
เฉินอิ้งถงเหยียดยิ้มเย็นเยียบ ร่างระหงล้มพังพาบอยู่บนพื้นสกปรก ม้าตัวสูงจึงหยุดฝีเท้าลงและไม่ขยับต่อ
“หยุด…”
ทุกคนต่างใจเต้นระรัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า เฉินอิ้งถงเห็นเช่นนั้นก็เร่งทำตัวน่าสงสาร ขยับกายละล้าละลังเข้าไปหมอบตรงหน้าบุรุษผู้สูงศักดิ์
“ท่านอ๋องโปรดอภัยหม่อมฉันด้วย เมื่อครู่เขาข่มเหงรังแกหม่อมฉัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุล้มขวางขบวนเดินทางของพระองค์เพคะ”
“หา…” ฝานฟ่านอึ้งงันแทบหงายท้องตึง
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้มตามมือเรียวที่ชี้ไปยังชายร่างสูงซึ่งยืนหน้าถอดสีตัวสั่นสะท้านอยู่ด้านข้าง
ฝานฟ่านขาอ่อนยวบ ชายหนุ่มโขกศีรษะลงเดี๋ยวนั้น
“ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ได้ทำสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะ นาง…เป็นนาง…”
“ท่านพี่เกิดเรื่องอันใดหรือ”
ไม่ทันจบประโยคเสียงทุ้มนุ่มก็ดังลอดมาจากด้านในรถม้า เฉินอิ้งถงหูกระดิก นัยน์ตาดอกท้อลอบมองไปยังม่านประตูที่เปิดออก ปรากฏร่างหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดผู้มีใบหน้าซีดขาวทว่ายังคงเค้าความหล่อเหลาให้ได้เห็น
นี่ต้องเป็นเขาไม่ผิดแน่ ดูดีกว่าที่คิดเสียอีก ว่าที่สามีของข้า
ในที่สุดนางก็หาเขาพบจนได้ ริมฝีปากสีกุหลาบขยับยกเป็นรอยยิ้ม
เชิงอรรถ
^1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
^狗 Gǒu โกว หมายถึง สุนัข
สองปีผันผ่าน ณ แคว้นเป่ยเซี่ย“พี่หญิงเฉิน เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ข้าขี่ม้าเก่งหรือไม่” จินม่านม่านกล่าวด้วยแววตาซุกซน“ม่านเอ๋อร์เก่งมาก ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของเจ้าบุรุษยังต้องอับอาย”วันนี้จินม่านม่านรบเร้าอยากให้เฉินอิ้งถงออกมาขี่ม้าเป็นเพื่อน ทำให้แม่ลูกอ่อนเช่นนางต้องปลีกตัวจากลูกน้อยชั่วครู่ ส่วนเจ้าตัวน้อยในยามนี้ก็อยู่ในความดูแลของจินชางหลง และเหล่าแม่นมไม่รู้จะวางใจได้หรือไม่ ทั้งจินชางหลงและเฉินอิ้งถงล้วนเป็นพ่อแม่มือใหม่ด้วยกันทั้งคู่ หากเจ้าตัวเล็กลืมตาตื่นแล้วไม่พบหน้านางเกรงว่าต่อให้เป็นแม่นมหรือจินชางหลงเองก็คงเอาไม่ลง“บ่ายคล้อยแล้ว อากาศเริ่มอบอ้าวเรากลับกันเถิด”“ได้เพคะ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแวะไปหาเจ้าสองแสบด้วยได้หรือไม่”เฉินอิ้งถงยิ้ม “ได้แน่นอน เย็นนี้ม่านเอ๋อร์ก็อยู่ทานสำรับเย็นด้วยกันสิ”จินม่านม่านตาเป็นประกาย “ได้ด้วยหรือเพคะ”“ได้แน่นอน” เฉินอิ้งถงยิ้มทั้งสองเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักจวิ้นอ๋อง ครั้นถึงหน้าตำหนักก็ได้ยินเสียงเหล่านางกำนัลและแม่นมโหวกเหวกกันจ้าละหวั
“ท่านแม่นางเด็กเหลือขอนั่นจะกลับบ้านเหตุใดท่านพ่อจะต้องจัดเตรียมโน่นนี่ให้ลำบาก เงินทองที่นางทิ้งเอาไว้ก็ไม่ให้เราแตะสักอีกแปะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นองค์หญิง ไปแล้วก็ยังมีหน้าอยากกลับมาที่นี่อีกหรือ” เฉินจิงเบ้ปากตั้งแต่นางลอบติดตามเฉินอิ้งถงไม่สำเร็จก็หอบสภาพสุดสังเวชกลับมาบ้าน เฉินจิงเข็ดขยาดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคียดแค้นที่เฉินอิ้งถงกล้าทิ้งนางเอาไว้กลางทาง“ข้าจะไปรู้รึ พ่อของเจ้าไม่บอกอะไรเลย บอกเพียงให้เราปฏิบัติกับนางดี ๆ”“จะทำดีกับนางเพื่อสิ่งใด ท่านก็เห็นแล้วคราวก่อนอุตส่าห์พูดดีด้วยสมบัติพะเนินเป็นภูเขายังไม่คิดจะเจียดให้เราใช้ ชิ” เฉินจิงกระฟัดกระเฟียด คอยดูเถิดหากเฉินอิ้งถงมาถึง นางจะไล่ตะเพิดเยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัขรถม้าขนาดกลางมาจอดที่หน้าจวนสกุลเฉิน เฉินจิงเบ้ปากไม่สบอารมณ์ “ข้าก็คิดว่านางไปได้ดิบได้ดีอันใด ดูสิเจ้าคะท่านแม่รถม้าเล็กกระจ้อยร่อย ยังจะมีหน้าให้ท่านพ่อจัดเตรียมห้องหับอย่างดี ข้าอยากจะเห็นนักว่ากลับมาหนนี้นางจะหอบความลำบากใดมาอีก”เฉินจิ้นซงได้ยินเสียงก็วางมือจากงานตรงหน้า เขารุดเข้ามาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ถงเอ๋อร์”
สามวันสามคืนหลังจากอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายา เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้พักร่าง วันยกน้ำชาทั้งไทเฮาและไท่เฟยก็รบเร้าให้นางเร่งมีทายาท หลานชายก็แสนเชื่อฟังตั้งแต่หายจากอาการป่วยก็ใช้งานตัวเองไม่คิดถนอม“ที่แท้ท่านก็รู้เรื่องราวของหม่อมฉันหมดแล้ว นางไปหาพระองค์แต่เหตุใดไม่เคยปรากฏตัวให้หม่อมฉันเห็นเลย”“คงเพราะเจ้าไม่ได้มีความหวาดกลัวเช่นข้า นางจึงมิอาจพบเจ้าได้ เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่เคยฝันถึงนางอีก”“เช่นนี้เองหรือ อันที่จริงนางน่าเห็นใจมากนะเพคะ บางทีอาจเป็นหม่อมฉันที่ช่วงชิงชีวิตมาจากนาง”จินชางหลงยกมือปิดปากคนในอ้อมแขน “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล นี่คือชะตาของนางและเจ้า มันควรเป็นเช่นนี้ จำเอาไว้เจ้ามิได้ช่วงชิงชีวิตผู้ใดมาทั้งสิ้น และไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากมิติใดข้าก็รักเจ้าที่สุด”เฉินอิ้งถงยิ้ม แววตาคู่สวยระริกไหว “เพคะ เชื่อท่านหม่อมฉันไม่พูดแล้ว ขอบคุณท่านที่เข้าใจและขอบคุณที่เป็นบุพเพของหม่อมฉันนะเพคะ”จินชางหลงยิ้มตอบ เขาโน้มจุมพิตลงบนหน้าผากหญิงสาวอย่างทะนุถนอม “ข้าเองก็ขอบคุณเจ้า หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีข้าจนถึงตอนนี้”“คืนนี้บรรทมเถิดเ
พิธีมงคลผ่านไปอย่างราบรื่น สตรีร่างระหงนั่งตัวตรงภายใต้ม่านมุ้งสีชาด มือเรียวประสานกันไว้พลางบีบแน่น เดิมทีเฉินอิ้งถงคิดว่าตนจะไม่ประหม่าและเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกว่าความเป็นจริงและสิ่งที่คิดช่างแตกต่างกันลิบลับ“นายท่าน การแต่งงานต้องประหม่าเช่นนี้เชียวหรือเจ้าคะ”“เจ้าจะไปรู้อะไร ไม่เช่นนั้นหากเจ้าโตขึ้นก็ลองแต่งงานดูสิ”“น่าเสียดายที่เสี่ยวฮวาโตได้แค่นี้เจ้าค่ะ”เฉินอิ้งถงมันเขี้ยวมือเรียวเขี่ยปลายจมูกเล็กเบา ๆ เสี่ยวฮวาหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั้กจี้ “นายท่านอย่ารังแกข้าสิเจ้าคะ อ้อ…จริงด้วย ในงานเสี่ยวฮวาแอบเห็นว่ามีผู้คนมอบของขวัญวันแต่งงานให้นายท่านและท่านอ๋องเยอะแยะเลย”“เจ้าอยากได้บ้างหรือ”เสี่ยวฮวาลอยโฉบไปมาอารมณ์ดี “เปล่าสักหน่อย เสี่ยวฮวาก็แค่กำลังคิดว่าจะให้ของขวัญใดกับนายท่านและท่านอ๋องดีเจ้าค่ะ”“เจ้ายังต้องให้สิ่งใดข้าอีก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ขอบคุณนะเสี่ยวฮวาฮวา” เฉินอิ้งถงยิ้มปลื้มปริ่ม หากนางไม่บังเอิญได้พบกับเจ้าภูติตัวน้อย ไม่รู้ว่าการเล่นนอกบทนาง
“กุ้ยเฟยเพคะ”มือเรียววางถ้วยชาในมือลงแช่มช้า “มาแล้วหรือ”“ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ” เฉินอิ้งถงประหม่า นางยังไม่เคยสนทนาและอยู่กับเสิ่นกุ้ยเฟยตามลำพังเช่นนี้มาก่อนใบหน้างดงามรับกับท่าทีสูงสง่าดุจนางพญาทว่าแววตากลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนนี่น่ะหรือมารดาที่ไม่แยแสโอรสตนเอง!“เจ้ามาตรงนี้สิ”เฉินอิ้งถงขาแข็งไม่กล้าขยับ นางจะริอ่านนั่งเทียบเคียงพระสนมเอกได้อย่างไร “เอ่อ…”“เป็นท่านหญิงแล้วจึงไม่เชื่อฟังใครงั้นหรือ”เฉินอิ้งถงเร่งคุกเข่า “หามิได้เพคะ เพียงแต่ที่ตรงนั้นหม่อมฉันมิอาจนั่งเทียบเคียงท่านได้”เฉินอิ้งถงอยากตบปากตนเองนัก เมื่อคืนกล่าวเรื่องคุณค่าของคนให้ซูซูฟังเสียดิบดี ทว่ายามนี้นางกลับตกม้าตายเสียเองเสิ่นเพ่ยเหราขบขัน “เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าไม่กี่ประโยค นั่งห่างกันมากเกินไปเกรงว่าข้าคงต้องตะโกนจนเจ็บคอ”“เพคะ”เฉินอิ้งถงจำใจย้ายร่างไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเสิ่นกุ้ยเฟย นางกำนัลรินชาส่งให้นาง“เจ้าชอบหลงเอ๋อร์หรือไม่”เฉินอิ้งถงที่ตั้งใจจิบชาให้คอโล่งแทบสำลัก เรื่อ
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท