แชร์

ฝันร้ายที่ไร้ที่มา

ผู้เขียน: Aesmech
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-20 23:15:24

ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก หัวใจเต้นรัวขณะที่ข้าพยายามหายใจเข้าอย่างตื่นตระหนก ความมืดในห้องชวนให้อึดอัด ผ้าปูที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ราวกับยังคงแบกรับความน่าสะพรึงกลัวของภาพฝันที่ยังติดตรึงอยู่ในความคิด—ภาพของสงครามที่คอยตามหลอกหลอนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ข้ายังคงได้ยินเสียงของกองทัพปะทะกัน เสียงดาบปะทะกันอย่างดุเดือด และเสียงกรีดร้องของเหล่าทหารที่ดังสะท้อนไปทั่ว ทุกเสียงที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดเหมือนกริชที่พุ่งตรงเข้าหัวใจ กลิ่นคาวเลือดที่อบอวล หนาแน่นจนข้ารู้สึกเหมือนกำลังหายใจเอามันเข้าไป มันติดอยู่ในจมูกของข้าแม้กระทั่งตอนที่ข้าตื่นขึ้นมาแล้ว

ในฝัน ข้าเห็นมือของตัวเอง มือที่เปื้อนเลือด กำดาบเอาไว้แน่น—อาวุธที่เย็นเยียบและหนักอึ้ง มันให้ความรู้สึกแปลกแยกแต่ขณะเดียวกันก็ดูคุ้นเคยจนผิดปกติ ข้ายังเห็นภาพของสมรภูมิรบเบื้องหน้า เต็มไปด้วยความโกลาหลและความหวาดกลัว คลื่นแห่งความตื่นเต้นและบันเทิงแล่นไปทั่วร่าง เหมือนข้ากำลังดีใจ ปลาบปลื้ม สะใจ?!

"นี่มันอะไรกัน?" ข้าพึมพำท่ามกลางความมืด เสียงสั่นเครือขณะที่ข้ากอดเข่าตัวเอง "ทำไมข้าถึงรู้สึกแบบนั้น?" คำถามนั้นสะท้อนอยู่ในหัวของข้า ไม่มีคำตอบ มีเพียงความรู้สึกหนักอึ้งที่ข้าไม่อาจอธิบายได้

ข้าไม่เคยผ่านสงคราม ไม่เคยเห็นสนามรบของจริง แล้วทำไมภาพเหล่านี้ถึงฝังแน่นในหัวของข้าราวกับเป็นความทรงจำที่ถูกฝังลึก? ไม่ว่าจะพยายามสลัดความคิดออกไปมากแค่ไหน ฝันร้ายก็ยังเกาะติดข้าราวกับเงาที่ไม่ยอมเลือนหาย

ข้าซุกหน้าลงกับฝ่ามือ พยายามอย่างยิ่งที่จะกำจัดภาพเหล่านั้นออกไปจากหัว ความคิดฟุ้งกระจาย เสียงสะท้อนแห่งความหวาดกลัวและสับสนคอยไล่ตามข้าไม่หยุด

เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ข้ายังรู้สึกเหมือนตัวเองแข็งแกร่ง มือที่กุมดาบ มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง ทรนง และองอาจ กระทำเรื่องโหดร้ายฆ่าฟันคนโดยอย่างไม่แยแสโหดร้ายป่าเถื่อนและบ้าคลั่ง มันเป็นเพียงภาพลวงตาใช่ไหม? —นี่เป็นแค่ฝันร้าย หรือเป็นเศษเสี้ยวของบางสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในตัวข้ากันแน่?

ข้าพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อให้จังหวะการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ

“ข้าแปดขวบแล้วนะ...ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว” ข้ากระซิบบอกตัวเองให้ดึงความเข้มแข็งกลับมา

หน้าอกของข้ายังคงหนักอึ้งไปด้วยความหวาดกลัวและความสับสน ข้าล้มตัวลงนอน หวังว่าหมอนนุ่ม ๆ จะช่วยปลอบประโลมข้าจากความทรงจำที่ข้าเองไม่แน่ใจว่ามันเป็นของข้าจริงหรือไม่ แต่แม้แต่ในอ้อมกอดของความเงียบ ข้ายังรู้สึกถึงสัมผัสของเลือดที่เปื้อนอยู่บนผิว ราวกับมันเป็นตราประทับที่ไม่มีวันลบออก

ข้านอนนิ่งท่ามกลางความมืด และความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามา—มีใครอีกบ้างที่ฝันถึงเรื่องแบบนี้? มีใครที่รู้สึกเหมือนข้าบ้าง? หรือข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ฝันแบบนี้?

แล้วเหตุใดข้าถึงได้รู้สึกปลื้มปีติยินดีในขณะที่ลงมือสังหารผู้คน?

สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือ... หลายเดือนที่ผ่านมาข้าไม่สามารถหนีจากฝันร้ายเหล่านี้ได้ ไม่ว่าข้าจะพยายามเพียงใดก็ตาม

ด้วยหัวใจที่เปราะบาง ข้ารอให้ความง่วงเข้าครอบงำอีกครั้ง หวังเพียงว่าในความปั่นป่วนของความฝัน ข้าจะได้พบคำตอบของปริศนาเหล่านี้สักวันหนึ่ง


เช้าวันใหม่ แสงแดดส่องผ่านหน้าต่าง แต่กลับไม่อาจมอบความอบอุ่นให้กับจิตวิญญาณที่อ่อนล้าของข้าได้เลย ความทรงจำจากฝันร้ายเมื่อคืนยังคงเกาะติดข้าราวกับเงาที่ไม่ต้องการ ภาพของเลือดและสงครามยังคงแจ่มชัดในความคิด ข้าลุกขึ้นนั่งช้าๆ รู้สึกถึงความหนักอึ้งที่กดทับลงบนอกขณะที่พยายามรวบรวมสติ อีกวันหนึ่งเริ่มต้นขึ้นแล้ว เต็มไปด้วยหน้าที่ที่รู้สึกเหมือนเป็นโซ่ตรวนมากกว่าความรับผิดชอบ

หลังจากแต่งตัวอย่างเร่งรีบในชุดกระโปรงประจำวัน ข้าเดินไปตามทางเดินของพระราชวัง ทางเดินยาวสะท้อนเสียงฝีเท้าและเสียงกระซิบเบาๆ เตือนให้ข้ารับรู้ว่าโลกภายนอกยังคงดำเนินต่อไป บางครั้งข้ามักจะสงสัยว่ามีใครบ้างที่มีความวุ่นวายภายในใจเหมือนกับข้า—เวลาฝันร้ายแล้วมันกัดกินลงไปในจิตใจแบบนี้หรือเปล่า แล้วยามฝันร้ายส่วนใหญ่เป็นแบบที่ข้าฝันเห็นไหม? หรือข้าเป็นคนเดียวที่ผิดแปลกไม่เหมือนคนอื่น?

ตารางเวลาของข้าเข้มงวด—บทเรียนกับอาจารย์ที่เข้มงวดไม่แพ้กัน พวกเขาผลักดันให้ข้าดูดซับความรู้ใหม่ๆ และฝึกฝนทักษะของตัวเอง การต้องเผชิญหน้ากับวันอันหนักหน่วงเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ข้าหนักใจมากนัก ข้ามาถึงสนามฝึกดาบ ที่ซึ่งข้าใช้ฝึกดาบส่วนตัวตั้งแต่ท่านดยุค เอลเดรด กลับแดนเหนือไป ข้าก็ไม่มีคู่ซ้อมฝึกฝนดาบอีกเลย

มือของข้าเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและว่องไวกว่าตอนเป็นเด็กมากอาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนมาตลอดเพียงแต่ ภายหลังมานี้ทุกการฟาดฟันและแทงดาบดังก้องในความคิดของข้าเหมือนเสียงกรีดร้องจากฝันร้ายเมื่อคืนมันเหมือนพยายามปลุกอะไรบางอย่างในตัวข้าให้ตื่นขึ้น 

"ข้าควรจะเลิกจับดาบเสียดีกว่า"

หลังจากฝึกจบลง ข้าต้องการคำตอบเกี่ยวกับฝันร้ายของข้า จึงเดินไปยังห้องสมุดของพระราชวังอีกครั้ง ที่นั่นคือสถานที่หลบภัยของข้าก็ว่าได้ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของกาลเวลาและองค์ความรู้ ข้าค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในหนังสือแต่ละเล่ม หวังว่าจะพบเงื่อนงำเกี่ยวกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนข้า

ข้าไล่ดูหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เรื่องราวของวีรบุรุษ และบันทึกสงครามที่ถูกลืมเลือน ทว่าทุกหน้ากระดาษที่เปิดออกก็ไม่ได้ทำให้ข้าเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวในใจ ข้ารู้สึกเหมือนเป็นคนนอกในชีวิตของตัวเอง ไขว่คว้าหาคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่มีอยู่จริง

แล้วในมุมหนึ่งของห้องสมุด ข้าพบหนังสือเล่มหนึ่งที่สะดุดตา ตัวอักษรที่บรรจงเขียนไว้อย่างประณีตกล่าวถึงตำนาน เรื่องราวของเทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์และการทำลายล้าง—อิลิธาและมอร์กาธา ตำนานบรรยายว่าทั้งสองได้มอบพลังให้แก่สายเลือดกษัตริย์ นำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักรอากาธีร์และอาณาจักรดาฟิเลีย หัวใจของข้าเต้นแรงขึ้นขณะอ่านข้อความเหล่านั้น รู้สึกถึงบางสิ่งที่เชื่อมโยงถึงตัวข้าอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกับความฝันของข้าเลยแม้แต่น้อย

“ฝันของข้าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับตำนานพวกนี้หรือเปล่า?” ข้าพึมพำกับตัวเอง ความคิดนั้นทำให้ข้าเกิดความสงสัยขึ้นมันดูไร้สาระ แต่ก็เหมือนมีเสียงกระซิบบางอย่างยังคงก้องอยู่ในใจ ราวกับพยายามบอกความลับที่ข้ายังไม่อาจเข้าใจ 

พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ทิ้งเงาทอดยาวไปตามทางเดินขณะที่ข้าเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ทุกก้าวรู้สึกหนักขึ้น เต็มไปด้วยคำถามและความไม่แน่นอน “ทำไมข้าถึงรู้สึกแบบนี้? ฝันของข้าหมายความว่ายังไง?” ข้าครุ่นคิด เสียงสะท้อนของฝันร้ายปะปนกับเรื่องเล่าของเทพธิดา ร้อยเรียงกันเป็นเครือข่ายแห่งความลึกลับ

วันนี้ได้จบลง ข้ากลับมาที่ห้อง นอนขดตัวอยู่บนเตียง แม้อยากพักผ่อนแต่กลับถูกถ่วงด้วยความรู้สึกที่ว่า การหลับตาลงครั้งนี้จะนำพาฝันร้ายกลับมาอีกครั้งไหม? ข้ามองเงาที่สะท้อนจากแสงเทียนเต้นระบำอยู่บนผนัง พยายามเตรียมใจรับสิ่งที่รอข้าอยู่ในห้วงนิทราและโชคดีที่ค่ำคืนนี้พวกมันไม่ได้กลับมาปล่อยให้ข้าได้พักผ่อน....


อากาศแจ่มใสในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าเปิด หมู่เมฆลอยละล่องอย่างเอื่อยเฉื่อยๆ กลีบดอกไม้สีชมพูลอยผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องของข้า ไหลไปที่โต๊ะทำงาน ขณะที่ข้าพยายามจดจ่ออยู่กับการเรียน หนังสือกองพะเนินเปิดกางอยู่ตรงหน้า เต็มไปด้วยเรื่องราวของตำนานและประวัติศาสตร์โบราณ 

ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเสียงที่เรียกจากเด็กชายตัวน้อยๆ หลังประตู

"พี่สาว?"

เป็นเสียงของคาลิเบล

ข้าหันไปมองและเห็นเขากำลังชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง ดวงตากลมใสเป็นประกายสีเขียวสดด้วยความตื่นเต้น คาลิเบลในวัยสี่ขวบเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หน้าตาของเขาน่ารักน่าชังมีผมสีทองเป็นประกายนุ่มเหมือนเส้นไหม ความสดใสของเขาเปรียบเหมือนแสงตะวัน เขามักพยายามเข้าหาข้าเสมอ โดยไม่รู้ตัวและไม่สนเลยว่ามันมีกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นกำลังกั้นขวางพวกเราไว้อยู่ ข้าเคยเกลียดเด็กคนนี้ เคยคิดอยากจะฆ่า อิจฉาที่เขามีทุกสิ่งที่ข้าต้องการอย่างง่ายดาย ริษยาในความเก่งเหนือทุกอย่างที่ข้าสามารถทำได้แม้ไม่ต้องฝึกฝน

"ท่านพี่เล่นกับข้าได้ไหม?" เขาวิ่งเข้ามาหา ถามพลางดึงชายแขนเสื้อข้า สีหน้าจริงจังราวกับว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลกนั่นทำให้ปลุกข้าออกจากห้วงความคิดที่แสนน่าเกลียด (?) 

ดวงตาใสซื่อนั้นทำให้หัวใจข้าอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ในขณะเดียวกัน ความวิตกกังวลก็ถาโถมเข้ามา

เสด็จพ่อคงไม่ชอบใจแน่หากเห็นพวกเราเล่นด้วยกัน....

"ข้า..." ข้าลังเล ปากแห้งผาก ใจจริงก็อยากจะเล่นกับเขา อยากจะใช้ช่วงเวลานี้ไปกับเขาบ้างเพราะต้องยอมรับว่านอกจากเขาก็ไม่มีใครในวังนี้เห็นหัวข้าสักคน แต่ความกลัวผลที่จะตามมากลับกดทับหัวใจข้าไว้แน่น

"ไม่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรือ?" ในที่สุดข้าก็เอ่ยออกไป เสียงแผ่วเบาราวกับสายลม ความรู้สึกผิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

ดวงหน้าของคาลิเบลสลดลงเล็กน้อย ความสดใสจางหายไป และข้ารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปภายในตัวข้าเอง ข้าอยากปกป้องเขา ข้าอยากเป็นพี่สาวของเขา อยากหัวเราะและเล่นด้วยกัน แต่สายตามากมายในวังแห่งนี้เป็นเหมือนโซ่ตรวนไม่ให้ข้าทำ

"เถอะนะท่านพี่....ข้าอุส่ามาหาถึงวังท่านเลยนะ"

ข้าสบตากับคาลิเบลอีกครั้ง และความอบอุ่นในใจข้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ข้าจินตนาการถึงพวกเราวิ่งเล่นในสวน หัวเราะสนุกสนาน ท่ามกลางเหล่าดอกไม้ที่แย้มบาน

แต่ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจตอบอะไรออกไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

"ท่านคาลิเบล พระองค์ทรงอยู่นี่เอง กระหม่อมเตือนหลายครั้งแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะว่าไม่ให้ท่านมาที่นี่"

เป็นเสียงของคนรับใช้ส่วนตัวของ คาลิเบล เขาก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยอำนาจ หน้าที่ของพวกเขาคือเตือนคาลิเบลถึงกฎของวังว่าไม่ให้ไปในสถานที่ต้องห้าม และข้าก็รู้ดีสถานที่นั้นก็คือข้า....

คาลิเบลหันกลับมามองข้า ดวงตาสับสนแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า ข้าอยากพูดอะไรบางอย่าง อยากบอกเขาว่าข้าก็อยากเล่นด้วย อยากกอดเขาไว้แน่นๆ แต่คำพูดทั้งหมดกลับติดอยู่ที่ริมฝีปาก

"ทำไม? ทำไมผมถึงเล่นกับท่านพี่ไม่ได้?! " เขาบ่นออกมาเสียงดัง "เพราะนี้เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! " พูดจบชายวัยกลางคนก็จูงมือลาก คาลิเบล ออกจากห้องไป

ข้ารู้สึกถึงความปวดร้าวที่แล่นเข้ามาในอก ครั้งนี้ ข้าอยากเป็นพี่สาวของเขาจริงๆ อยากใช้เวลากับเขาโดยไม่ต้องหวาดกลัว ไม่เกลียดแท้ๆ

"บางทีครั้งหน้า..." ข้ากระซิบกับตัวเอง แต่ก็รู้ดีว่า "ครั้งหน้า" อาจต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาถึง

ก่อนที่คาลิเบลจะเดินพ้นประตู เขาหันกลับมามองข้าเป็นครั้งสุดท้าย แววตามุ่งมั่นฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ราวกับว่าเขาตัดสินใจได้แล้ว

"ผมจะกลับมาอีก!" เขาประกาศด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและโบกมือลาข้า

ข้ามองดูเขาเดินจากไป รู้สึกทั้งประทับใจและปวดใจในคราวเดียว

เมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็เข้าครอบงำห้องของข้า ข้าทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ ไหล่หนักอึ้งกว่าก่อนหน้านี้

ทำไมคาลิเบลถึงทำให้ข้ารู้สึกแบบนี้ได้นะ?

ทั้งๆที่ข้าเป็นพี่สาวที่ห่างเหินไม่เคยเข้าหาเขาก่อนแท้ๆ แถมยังเคยจงเกลียดจงชังเขามากมาย ผลักไสไล่ส่งอีกต่างหาก

ข้าหันกลับไปมองหนังสือที่เปิดค้างไว้....


ยามราตรีเข้าปกคลุมน่านฟ้า ความมืดมิดปกคลุมห้องของข้า ข้าปล่อยให้ตัวเองจมสู่ห้วงนิทรา จิตใจหนักอึ้งจากการพักผ่อนน้อยและเรียนรู้อย่างหนักทำให้ข้าผล็อยหลับไปในทันที ข้าหวังว่าจะได้พักผ่อน หลีกหนีจากความคิดสับสนและเรื่องต่างๆมากมายกับที่คิดถึง คาลิเบล

 แต่เมื่อข้าดำดิ่งสู่ห้วงแห่งนิทรา ความฝันนั่นเงื้อมมือโอบรัดจิตสำนึกของข้า ดึงข้าเข้าสู่ฝันร้ายอีกครั้ง

ข้าพบว่าตัวเองกำลังนำทัพ กองทหารนับไม่ถ้วนบุกเข้าโจมตีประตูปราสาทอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวานท่ามกลางความโกลาหลที่ปะทุขึ้นรอบตัวข้า ข้าอยู่แนวหน้า อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านขับเคลื่อนร่างกายให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ข้าเปล่งเสียงสั่งการอย่างเด็ดขาด ฝังความหวาดกลัวและความภักดีลงไปในจิตใจของนักรบของข้า

ในชุดเกราะเต็มยศ ข้ารู้สึกแข็งแกร่ง—ไร้เทียมทาน—ขณะที่ข้าฟาดฟันกับทหารราชองครักษ์อย่างไร้ความปรานี ข้าควรรู้สึกรังเกียจ เดือดดาล และเร่าร้อน จนไม่อาจหยุดได้ หัวใจข้าเต้นรัวราวกับถูกดึงเข้าสู่ห้วงพิศวงแห่งความรุนแรงที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง

และแล้วข้าก็บุกผ่านประตูห้องบัลลังก์เข้าไป ข้าก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พร้อมจะช่วงชิงชัยชนะที่เหมือนเป็นของข้าโดยชอบธรรม! ที่ข้าคู่ควร! ที่เป็นของๆข้ามาตั้งแต่ต้น!

และที่นั่นเอง—ข้าเห็นคาลิเบล

น้องชายของข้า ยืนอยู่กลางห้อง ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่มรูปงามใส่ชุดอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นจักรพรรดิ สวมด้วยมงกุฎอันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์พร้อมใบหน้ารอยยิ้มใสซื่อ ราวกับว่าเขาไม่รู้เลยว่าพายุร้ายที่หมายจ้องจะคร่าชีวิตเขาได้มาเยือนอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ช่างน่าแปลกเพียงชั่วขณะเดียวอยู่ๆความเศร้าก็แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจข้า เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกับภาพแห่งความหายนะรอบตัว

แต่แล้ว…

ฉากตรงหน้ากลับเปลี่ยนไปในพริบตา ราวกับเสียงดีดนิ้วของโชคชะตา และสิ่งที่ข้าเห็นทำให้ข้าหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจ

มือของข้า—มือที่ข้ารู้จักดี—กำลังถือดาบที่เปื้อนเลือดสด ข้ามองดูมันทะลวงเข้าไปกลางอกของคาลิเบล แรงปะทะจากอาวุธที่ข้าถือเอง ทำให้หัวใจข้าเต้นรัวด้วยความหวาดผวา

รอยยิ้มของเขาค่อย ๆ จางหายไป ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจและไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภาพนั้นแทงทะลุจิตวิญญาณของข้าดั่งคมมีด แต่ตัวของข้าในความฝันกลับ หัวเราะ สะใจ! "ในที่สุดใบหน้าโง่ๆนี้ก็จะหายไปจากข้าตลอดกาลเสียที" 

ตัวข้าใช้ขาข้างที่ถนัดกระทืบใส่ร่างของน้องชายที่กำลังนอนแน่นิ่ง "เห็นรึยัง! เสด็จพ่อ ข้านี่แหละเหมาะสมที่จะครองบัลลังก์มากกว่าไอ้น้องชายงี่เง่านี่!"

จากนั้นข้าก็หยิบมงกุฎนั้น ที่เปื้อนเลือดของน้องชายตน ขึ้นมาสวมอย่างหน้ารื่นชื่นบาน "แต่ท่านคงไม่เห็นหรอกเนอะ ก็เพราะท่านลงหลุมไปแล้วนี่ ฮะๆๆ อีกไม่นานพระชายาของท่านก็จะตามท่านไปแน่นอน เหมือนกับลูกชายสุดที่รักของท่านนี่ไง" เสียงหัวเราะดังกึกก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง 

“ไม่นะ!” ข้าพยายามกรีดร้อง แต่ไร้ซึ่งเสียงใดเล็ดลอดออกมา ข้าทำได้เพียงยืนมองอยู่ตรงนั้น ดูทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ข้าไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้ ความอุ่นของเลือดเขาหยดลงบนมือข้า ทำให้ลมหายใจข้าติดขัดราวกับโลกกำลังพังทลายลงตรงหน้า

ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที หอบหายใจถี่รัว หัวใจเต้นรัวแรงในอก ดวงตาข้าเบิกโพลงมองความมืดที่ปกคลุมห้อง แต่ทุกอย่างกลับให้ความรู้สึกราวกับกำแพงกำลังบีบอัดข้าไว้ เศษเสี้ยวของความฝันยังคงเกาะติดกับจิตใจข้าไม่ยอมหายไป ความรู้สึกสะอิดสะเอียนแล่นพล่านไปทั่วร่าง

ข้ากอดตัวเองแน่น ร่างกายยังคงสั่นไหวจากภาพที่เพิ่งประสบ “มันหมายความว่ายังไงกัน?” ข้าพึมพำกับตัวเอง ความสับสนไหลเวียนในจิตใจราวกับพายุหมุน

นี่คืออดีตที่เคยเกิดขึ้นในชาติภพก่อน? หรือเป็นลางบอกเหตุของอนาคต? หรือตัวข้าในอีกโลกหนึ่ง? หรือบางที… นี่อาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของข้า—ด้านมืดของข้าที่เฝ้าใฝ่ฝันให้มันเกิดขึ้นจริง? หรือเพราะเหตุนี้เสด็จพ่อและทุกคนถึงได้จงเกลียดจงชังข้า? มันคืออะไร?! ข้าไม่เข้าใจ?!

คำถามถาโถมเข้ามาไม่หยุด หัวใจข้าเต้นแรงจนแทบแตกสลาย ความกลัวซึมลึกเข้าสู่กระดูก ทำให้ข้าสงสัยในตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ข้าเป็นอะไรกันแน่…” ข้ากระซิบ แทบไม่สามารถควบคุมเสียงสั่นเครือของตัวเองได้ น้ำตาร่วงเงียบ ๆ บนใบหน้า

“ข้าเป็นใคร ข้าคือ‘ออเรเลีย’ ใช่ไหม? แล้วถ้าข้าไม่ใช่แค่ ‘ออเรเลีย’ แล้วข้าเป็นใครกัน?”

คำถามนั้นก้องสะท้อนในความเงียบงันของรัตติกาล หมุนวนอยู่ในหัวข้าไม่รู้จบ และเป็นครั้งแรก… ข้ารู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เล็ดลอดออกจากมือของข้า—ตัวตนของข้าเอง ราวกับทรายที่ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว

ข้าจ้องมองไปในความว่างเปล่า พยายามไขว่คว้าคำตอบท่ามกลางความโกลาหล—คำตอบที่จะช่วยรวบรวมเศษเสี้ยวของตัวข้าที่แตกสลายกลับมาอีกครั้ง

แต่ในคืนนี้ ข้าทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่ในความมืด ปล่อยให้เงามืดร่ายเรื่องราวแห่งความหวาดกลัวและความไม่แน่นอน ทิ้งข้าไว้กับความกลัวต่อตัวเอง… 

"มันอาจจะดีกว่าก็ได้ที่ให้เขาอยู่ห่างๆ ข้าไว้ .....จนกว่าจะรู้ปริศนาเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับข้านี้จะเป็นการดีที่สุดถ้าไม่ให้เขาอยู่ใกล้ข้า"

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   อรุณเบิกนภา

    ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่พิธีราชาภิเษก ข้าก็ยังคงอยู่ในวังหลวง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานแห่งการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง สถาบันเอลโดเรียยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ทำให้คาลิเบลมักวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ข้า เขาแวะเวียนมาที่ห้องของข้าอยู่บ่อยครั้ง ราวกับอยากชดเชยช่วงเวลาที่เราห่างหายกันไปนานและด้วยความคิดถึงกระมั้ง ข้ายินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาเสมอ บอกตามตรงความร่าเริงของเขาเป็นเสมือนดวงไฟอุ่นที่ช่วยปลอบประโลมข้าให้คลายจากความกดดันในบรรยากาศของวังหลวงยิ่งไปกว่านั้น เฟลิกซ์กับโรซลินก็มักจะแวะมาเป็นครั้งคราว และที่น่าแปลกใจที่คือ ทั้งคู่คือเพื่อนที่คาลิเบลเคยเอ่ยถึงในจดหมายที่ส่งมาให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรแต่โลกช่างกลมยิ่งนักอย่างไรก็ตาม ข้ากลับไม่อาจสลัดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองไปได้เลย หลังจากวันพิธี ข้าเริ่มได้รับคำเชิญไปงานน้ำชาจากขุนนางชั้นสูงอย่างต่อเนื่อง มากกว่าทุกครั้งที่เคยได้รับในช่วงที่อยู่ที่ชีทูเรีย เป็นไปได้ว่าท่าทีของข้าในวันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาจับตามอง บันทึกไว้ราวกับเป็นวัตถุจัดแสดงที่น่าสนใจ ช่างน่าขำนี่ขนาดยังไม

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   อีกา และ ราชสีห์

    รองเท้าส้นสูงของข้ากระทบสู่พื้นท้องพระโรงสถานที่จัดพิธี เสียงฮือฮาแห่งความตื่นเต้นยังคงถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นซัดหลังจากเสียง ของมหาดเล็กสิ้นสุดลง ใต้แสงระย้าจากโคมไฟระย้าหรูหรา การตกแต่งสีทองอร่ามส่องประกายเจิดจ้า ทว่าในขณะที่ข้าเดินไปที่บัลลังค์ข้างซ้ายองค์จักรพรรดิ เสียงกระซิบแห่งการดูแคลนและแปลใจต่างแทรกผ่านหมู่ชน ราวกับอสรพิษแฝงตัวกลางฝูงคนไม่หยุดหย่อน เหมือนข้าเป็น"องค์หญิงน้อยคนนั้นใช่ เจ้าหญิงออเรเลีย ใช่ไหม? ข้าพึ่งจะเคยเห็นนางครั้งแรกเลย""ข้าเองก็ไม่เคยเห็นนางออกงานสังคมที่ไหนมาก่อนเช่นกัน ขนาด ท่านคาลิเบล ข้ายังเคยเข้าเฝ้าในงานวันคล้ายวันประสูติ แต่ข้าไม่เคยเห็นนางสักครั้ง""มีเพียงขุนนางชั้นสูงบางคนที่เคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเคยเห็นนางเท่านั้นเอง"“ข้าได้ข่าวว่า นางถูกไล่ให้ไปอยู่แถวชานเมืองจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เองด้วยนะ”"ที่ ชิทูเรีย ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินข่าวว่านางเปลี่ยนแปลงเมืองนั้นยกใหญ่เลยนี่""ไม่ใช่ว่านั่นเป็นฝีมือของเจ้าเมืองและนางแอบอ้างชื่อตนเองเพื่อเอาความดีไปถวายองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?""ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางน่าจะโง่เขลาพอสมควรที่จะเอาใจองค์จักรพรรดิเช่นนั้น

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   ราตรีแห่งหน้ากาก

    ข้ากวาดตามองห้องที่เคยเป็นที่พักพิงของข้ามาหลายเดือน แม้จะรู้ดีว่าสักวันจะต้องจากไป แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ หัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งกว่าที่คิด ข้าปิดหีบสัมภาระใบสุดท้าย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อข้ามาถึงลานกว้างหน้าเรือนหลัก รถม้ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับวังหลวง พวกคนรับใช้ยืนรอส่งข้าอย่างเงียบงัน ข้ารู้สึกเศร้าที่ต้องกล่าวอำลาพวกเขา โดยเฉพาะสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ประตู เอลลี่และเซอร์ไอเดน ข้าหยุดยืนตรงหน้าเอลลี่ ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับนาง "เอลลี่... หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าค่อยเปิดอ่านจดหมายนี้นะ" ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ดวงตาของเอลลี่เต็มไปด้วยความลังเล ข้ารู้ว่านางอยากจะถาม แต่ข้ากลับรีบพูดต่อก่อนที่นางจะเอ่ยปาก "ลองปรึกษากับเซอร์ไอเดนดู ไม่ว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจกันอย่างไรข้าก็จะยอมรับมัน นี่อาจเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว ใจจริงข้าไม่อยากลากพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ว่า..." ข้าพูดไม่จบประโยค เพียงแค่ดึงเอลลี่เข้ามากอดแน่น ข้ารู้ว่านางกำลังสั่นเทา และข้าเองก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะอย

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   สารแห่งโชคชะตา

    เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   ทรยศ?

    เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   เส้นทางที่ไม่อาจบรรจบ

    ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status