งานเลี้ยงในวังหลวง
“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปหรือยัง”
“นายท่านและฮูหยินรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ”
สตรีในชุดสีม่วงอ่อนประดับไหมสีทองถักทอบนผ้าไหมแก้วสุดหรูค่อย ๆ เดินออกจากรถม้าของจวนราชครู เพื่อร่วมงานฉลองกองทัพขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่พึ่งชนะศึกมาได้ร่วมสองเดือน บัดนี้สองกองทัพขององค์ชายทั้งสองก็เดินทางจนถึงเมืองหลวงแล้ว
“คุณหนูวันนี้ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมากอาหรู นั่น….”
“คุณหนูเจ้าคะรถม้าตำหนักองค์ชายรองเจ้าค่ะ”
“อันลี่ซิน” ใช้มือกุมหัวใจเอาไว้แน่นเพียงแค่ได้เห็นตราประดับยศและตำแหน่งหน้ารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนเขามายังลานจอด นางที่พึ่งเดินลงมารู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดหมุน
เมื่อบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสวมฉลองพระองค์สีเข้มพิมพ์ดิ้นทองทั้งชุดเดินลงมา แม้ใบหน้าจะดูบึ้งตึงเย็นชาราวกับฉาบไปด้วยก้อนน้ำแข็งแต่ก็ทำให้หัวใจของสตรีเช่นอันลี่ซินเต้นผิดจังหวะ เพียงแค่สบเนตรที่หันมามองนาง
“อันลี่ซินถวายบังคมองค์ชายรองเพคะ”
“อันลี่ซิน ไม่ได้พบกันนานเจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่”
“มิกล้าเพคะ ยินดีกับองค์ชายที่ชนะศึกเมืองไป่เจียงด้วยเพคะ”
“ขอบใจนะเจ้าจะเดินเข้าไปในงานเลี้ยงหรือไม่”
“เพคะ หม่อมฉันมากับท่านพ่อ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วพบกันใหม่”
อันลี่ซินย่อคำนับเพื่อเป็นการส่งเสด็จองค์ชายรองก่อนที่จะเซจนสาวใช้ต้องรีบพยุงเอาไว้เพราะนางตื่นเต้นจนเกือบยืนไม่อยู่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้า…เกือบจะหยุดหายใจเสียแล้วอาหรู พระองค์ช่างรูปงามและสุขุมเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ท่านชื่นชมองค์ชายรองมานาน เหตุใดครั้งนี้จึงไม่เดินเข้าไปในงานพร้อมกับพระองค์เล่าเจ้าคะ”
“เพราะว่ามันไม่งามน่ะสิ แม้นว่าข้ากับองค์ชายรองจะเคยรู้จักกันมาก่อนตอนที่เขาเคยร่ำเรียนกับท่านพ่อ แต่ข้าก็หาได้จะทำเช่นนั้นได้ไม่ ตอนนี้ข้ากับพระองค์ล้วนเติบโตขึ้นแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ในงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ซึ่งเดิมทีเอาไว้ต้อนรับแขกต่างแคว้น วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่องค์ชายทั้งสองกองทัพกลับเข้าเมืองหลวง ฝ่าบาทจึงสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ในงานวันนี้เหล่าขุนนางต่างพาบุตรสาวของตนเองเข้ามาในงานกันอย่างพร้อมเพรียงเพราะโอกาสเช่นนี้หาได้มีมากไม่ ซึ่งฝ่าบาททรงต้องการให้เหล่าองค์ชายที่เหลือได้พบปะกับบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง
“ยอดเยี่ยมมาก เอาล่ะขุนนางทุกท่านงานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะให้กับกองทัพขององค์ชายรองที่เอาชนะข้าศึกแดนพายัพ และ “องค์ชายใหญ่” ที่ชนะศึกแดนใต้มา มาทุกคนร่วมกันดื่มยินดีให้กับสองกองทัพที่สามารถปกป้องแผ่นดินต้าซ่งนี้เอาไว้ได้อีกครั้ง ดื่ม"
ทุกคนร่วมกันดื่มเพื่อฉลองให้กับเหล่ากองทัพ “อวี้ตงหลาน” องค์ชายใหญ่แห่งต้าซ่ง พระโอรสองค์โตของฝ่าบาทและฮองเฮาในตอนนี้ “อวี้หลินเซียง” ส่วน “เว่ยซ่างเจวี๋ย” เป็นพระโอรสองค์รองของฝ่าบาทกับอดีตฮองเฮา “เว่ยจินเยว่”
“ลูกแม่เจ้าชื่นชมองค์ชายรองมานาน เหตุใดจึงไม่เห็นพูดถึงพระองค์เลยเล่า”
“นั่นสิซินเอ๋อร์ พ่อเองก็นึกแปลกใจที่วันนี้เจ้าไม่เอ่ยปากถึงองค์ชายเลยหรือว่าเจ้าอายงั้นหรือ”
“ท่านพ่อเจ้าคะที่นี่คือวังหลวง อีกอย่างผู้คนมากมายลูกก็แค่ไม่อยากพูดเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“อืม นับว่าเจ้ารู้ความ เฮ้อ…เห็นว่าวันนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะประทานงานหมั้นหมายให้กับองค์ชายทั้งสอง”
“จริงหรือเจ้าคะท่านพี่ แล้วเหตุใดจึงต้องประทานในวันนี้หรือว่า…”
“เหมือนกับเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าผู้ใดจะได้เป็นองค์รัชทายาทนั่นแหละ แม้ว่ากองทัพบูรพาของ "องค์ชายรอง" จะยิ่งใหญ่แต่พระองค์ก็เป็นพระโอรสของอดีตฮองเฮา”
“ท่านพ่อหมายถึง… วันนี้ฝ่าบาทจะ ประทานงานหมั้นให้องค์ชายหรือเจ้าคะ เช่นนั้น…”
“ซินเอ๋อร์แม่ว่าคงจะประทานให้กับองค์ชายใหญ่เท่านั้น เพราะพระองค์คือพระโอรสองค์โต”
“นั่นสินะเจ้าคะ”
หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะจนเกือบหายใจไม่ออก นางจึงขอออกมาเดินเล่นที่สวนด้านนอก เมื่อได้เดินมองดอกไม้ในสวนก็ทำให้จิตใจผ่อนคลายลงได้บ้าง นางเดินไปจนเกือบถึงศาลากลางสวนและได้ยินเสียงคนดังนั้นจึงได้แอบที่โขดหินเพื่อมิให้ผู้ใดเห็นและพยายามพาตัวเองเดินกลับออกไป
“อะไรนะเพคะ หมั้นหมายหรือเพคะ”
ลี่ซินรู้ว่าพลาดไปเสียแล้วที่มาได้ยินสิ่งที่ไม่ควรจากตรงนี้ นางกำลังจะเดินออกไปแต่กลับก้าวขาไม่ออก เมื่อสตรีคนเดิมเอ่ยขึ้น
“พี่ซ่างเจวี๋ยท่านล้อข้าเล่นหรือไม่ แม้นว่าข้าจะเป็นบุตรีท่านแม่ทัพและเราสองคนก็สนิทกันดุจสหายมาก่อน แต่เรื่องการหมั้นหมายนี้มิใช่ว่าต้องเป็นฝ่าบาทหรือฮองเฮาที่ทรงประทานอนุญาตมิใช่หรือเพคะ”
หัวใจของลี่ซินราวกับหยุดเต้นเมื่อรู้ว่าผู้ใดที่ยืนคุยกันอยู่ที่ศาลาในสวนนี้ นางพยายามเดินเลี่ยงออกไปแต่ขบวนสาวใช้กลับสวนเข้ามาจึงทำได้แค่แอบเข้าไปในซอกหินและนั่นทำให้นางได้ยินทุกอย่างชัดขึ้นกว่าเดิม
“ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้น ในเมื่อถึงอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับสตรีสักคนข้าก็อยากจะถามว่าเรื่องนี้บุตรแม่ทัพเช่นเจ้าคิดเช่นไร”
ทูลองค์ชายรอง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้กลับเข้าไปในห้องโถงงานเลี้ยงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้วพวกเราไปกันเถอะ”
“เพคะ”
เสียงฝีเท้าเดินออกไปจากสวนแล้ว แม้ว่าเว่ยซ่างเจวี๋ยจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจหนัก ๆ ของคนและเห็นเพียงขอบชายกระโปรงสีม่วง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาคุยกับ “เฟิ่งถงหลิน” บุตรสาวแม่ทัพใหญ่ “เฟิ่งฉวน” จะหลุดออกไปก็ตาม
ห้องโถง
“ลี่ซินเจ้าไปไหนมา เหตุใดจึงหน้าซีดเช่นนี้”
“เปล่าเจ้าค่ะท่านแม่”
“รีบนั่งลงเร็วเข้าฝาบาททรงรับสั่งจะประกาศราชโองการแล้ว”
อันลี่ซินรีบนั่งลงพร้อมกับซับเหงื่อไปด้วยเมื่อนางค่อย ๆ ยกชาขึ้นมาจิบก็เผลอหันไปสบตากับองค์ชายรองเข้า นางเกือบจะสำลักชาจนต้องรีบหันมาเช็ดปาก
“เจ้าเป็นอะไรน่ะ อย่าเสียมารยาทสิ”
“ขอโทษเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกแค่ไม่ทันคิดว่าชามันร้อนก็เลยลวกปาก”
ลี่ซินพยายามหลบสายตาที่จดจ้องมาที่นางและทำเป็นมองไปที่อื่น แม้จะรู้แล้วเช่นไรกันเล่า นางก็มิได้พูดเรื่องนี้กับผู้อื่นเสียหน่อยเขาจะมาเอาผิดได้เช่นไร
“ราชโองการฉบับแรก องค์ชายใหญ่อวี้ตงหลานรับราชโองการ”
“อวี้ตงหลาน” องค์ชายใหญ่ที่รูปร่างสูงกำยำกว่าองค์ชายรองเล็กน้อยเดินออกมาเพื่อรับราชโองการ
“ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์ชายใหญ่อวี้ตงหลานสร้างคุณงามความดี เอาชนะศึกดินแดนใต้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ข้าในนามโอรสสวรรค์เลื่อนยศให้เป็น “อวี้อ๋อง” ให้ปกครองดินแดนใต้รวมถึงทิศพายัพและดินแดนประจิม มอบทองและอาวุธให้กองทัพทักษิณ ทองเจ็ดพันช่าง เงินสามหมื่นตำลึงทอง ประทานงานหมั้นหมาย…. ระหว่างอวี้อ๋องกับบุตรีคนเล็กของแม่ทัพเฟิ่งฉวนนามว่า “เฟิ่งถงหลิน” รอฤกษ์ดีจัดงานอภิเษกสมรส รับราชโองการ"
“อะไรนะ! ประทานงานหมั้นหมายองค์ชายใหญ่ให้หมั้นหมายกับบุตรีท่านแม่ทัพเฟิ่งงั้นหรือ”
“แต่หากครั้งนี้คุณหนูเฟิ่งยังแอบติดตามพระองค์ไปอีก จะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าถามก็ดีแล้ว เสด็จพ่อทรงสั่งการให้กองทัพของเฟิ่งฉวนตรึงกำลังรักษาเมืองหลวง ครั้งนี้มีอวี่เหริน (องค์ชายห้า) คอยกำกับกองทัพแทนเฟิ่งฉวนที่ถูกลดอำนาจลงเหลือเพียงรองแม่ทัพเท่านั้น”“ถึงจะมีองค์ชายห้าอยู่แต่ว่า…”“หากนางกล้าออกจากจวนคนของเราก็จะทราบทันที อีกอย่างข้าไม่ห้ามที่นางจะมาวุ่นวายที่นี่เพราะถึงอย่างไรนางต้องมาแน่ ลูกหมาป่าหรือจะสู้แม่เสือที่เฝ้าถ้ำอยู่ แม้จะไม่ได้กางกรงเล็บง่าย ๆ ข้าเชื่อว่าแค่ข่มขู่ ลูกหมาป่าก็สู้นางไม่ได้แล้ว”“เหตุใดพระองค์ดูมั่นพระทัยในตัวคุณหนูอันนักเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าเพราะ…”“อย่าพูดเหลวไหล ที่ข้าเลือกอันลี่ซินเพราะนางเป็นคนที่รู้จักธรรมเนียมมารยาท อีกทั้งนางที่อ่อนนอกแข็งในและใช้สติในการแก้ปัญหาย่อมเหมาะสมกว่าผู้ที่ใช้แต่อารมณ์และไร้สติอย่างบุตรแม่ทัพเฟิ่งผู้นั้นแน่นอน”“ท่านอ๋อง พระองค์มิได้มีใจชอบพอนางบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้ารีบนำหนังสือนี้ออกไปส่งให้คนของเราที่นอกเมือง เตรียมการให้พร้อมก่อนที่จะออกศึกในอีกเจ็ดวันข้างหน้า”“พ่ะย่ะค่ะ”เว่ยอ๋องตัดบทองครักษ์ข้างกายในทันที เขามิอาจ
“หม่อมฉันมิได้โกรธพระองค์ เพียงแต่ว่าข่าวลือในเมืองหลวงที่หนาหูนั่นทำให้ไม่อยากเสียเวลา และไม่อยากสร้างความลำบากพระทัยให้พระองค์จึงเลือกที่จะวางเฉยปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบไปเอง แต่ไม่คิดว่าข้าศึกจะมาประชิดเมืองทางตะวันออกอีก”“เช่นนั้นที่เจ้าทำเมินเฉยต่อข้าและไม่มาพบที่ตำหนักก็เพราะเรื่องนี้งั้นหรือ เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่โกรธข้าเลยแม้แต่นิดเดียวลี่ซิน”“หม่อมฉัน… ยอมรับเพคะว่ามีเคืองใจพระองค์อยู่บ้าง แต่ว่าท่านพ่อบอกเสมอว่าให้ถือหน้าที่ของตัวเองเป็นสำคัญ การที่หม่อมฉันเลือกที่จะไม่สนใจและเพิกเฉยต่อข่าวลือทำให้ข่าวนั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไป”“แต่การที่เจ้าไม่ยอมพบข้า จงใจหลบหน้าข้านี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าปฏิเสธไม่ได้นะ”“ที่หม่อมฉันทำเช่นนั้นอาจจะไม่ถูกก็จริง แต่ว่าทุกครั้งที่พระองค์ไปที่จวนก็มิได้มีครั้งใดที่ตั้งใจจะไปหาหม่อมฉันนี่เพคะ”“ข้า…”ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เขาไปที่จวนสกุลอันก็เพียงแค่หาเหตุผลอื่นโดยมิได้ตั้งใจจะไปหานางจริง ๆ แต่คนเช่นเว่ยอ๋องที่มีทิฐิสูงย่อมไม่กล้ายอมรับอยู่แล้วว่าจะไปง้อนาง แม้ว่านางจะเพียงแค่รอให้เขาแสดงความจริงใจแต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นางลง
ฝ่าบาทมองเห็นเนตรที่ตื่นเต้นและโมโหจนนึกลอบขำอยู่ไม่น้อย มิใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้เห็นสิ่งใดเลย ก่อนหน้านี้ก็ทรงเรียกราชครูอันมาไถ่ถามแล้วและพบว่าเว่ยอ๋องเองก็อยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน เมื่อบุตรีของราชครูวางเฉยและไม่มาพบหน้าเขาเลยตั้งแต่กลับจากศึกแดนเหนือมาได้เกือบสองเดือน“ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่รักษาสัญญาเช่นนี้ เจ้าคงมิได้กลัวราชครูอันโกรธใช่หรือไม่ หากว่าพ่อจะประทานสตรีสกุลเฟิ่งให้เจ้าอีกคน”“มิใช่พ่ะย่ะค่ะเพียงแต่ว่าตามที่ลูกรายงานให้พระองค์ทราบ สตรีผู้นี้สร้างความวุ่นวายให้กองทัพ อีกทั้งเฟิ่งฉวนยังใช้เรื่องนี้มาต่อรองกับลูกเพื่อให้ช่วยตัวปัญหาเช่นนาง ลูกไม่มีทางรับสตรีเช่นนี้เข้ามาในตำหนักไม่ว่าจะด้วยฐานะใด ขอเสด็จพ่อโปรดทรงอภัยที่ลูกมิอาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ”“อืม เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าก็แล้วกัน จริงสิเรื่องข้าศึกที่ดินแดนตะวันออกที่เริ่มก่อกบฏเจ้าคิดว่าจะจัดการเช่นไร”“ตอนนี้ลูกสั่งให้กองทัพส่วนหนึ่งดักซุ่มรอดูเหตุการณ์ อีกส่วนหนึ่งเข้าไปสืบข่าวและพบว่าสิ่งที่พวกเป่ยลี่ต้องการคือเหมืองแร่เหล็กสำหรับผลิตอาวุธพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าคิดว่าศึกครั้งนี้จะรุนแรงกว่าศึกกับแคว้นหลันหรือไม่ ครั้งก่อนแคว
“ให้ตายสิแล้วคนที่เดือดร้อนก็เป็นพวกข้า เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นไรดีเล่าขอรับ”“ก็ต้องให้ท่านอ๋อง….”หมัวมัวพูดกับองครักษ์ต้าอู๋ แต่กลับไม่รู้เลยว่าผู้ที่ลอบแอบฟังอยู่อีกฝั่งหนึ่งกำลังยิ้มและรีบเดินกลับไปที่ห้องอักษรมองภาพวาดตรงหน้าอีกครั้ง“อันลี่ซินข้าจะดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะปฏิเสธไม่พบข้าได้เช่นไรกัน”วันถัดมา / หลังประชุมราชสำนัก“อาจารย์ขอรับ”“ท่านอ๋อง ทรงมีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“คือว่าครั้งก่อนที่ข้ากลับมาจากแดนเหนือ มีกลยุทธ์ศึกอย่างหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ จากที่ท่านเคยสอนข้าจดจำได้ว่ามันอยู่ในตำราหนึ่งในพิชัยยุทธ์ซึ่งอยู่ที่ห้องหนังสือในจวนของท่าน ข้าใคร่อยากจะขอติดตามเพื่อไปยืมตำราเล่มนั้นสักหน่อยขอรับ”“พิชัยยุทธ์ของจักรพรรดิตี้หวันลี่ที่สอง อ้อ เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะพาพระองค์ไปด้วยตนเอง”“ขอบคุณท่านอาจารย์”เว่ยอ๋องเดินตามราชครูอันขึ้นรถม้าไปทันที เขาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับราชครูจนกระทั่งถึงจวน เมื่อลงจากรถม้าและติดตามราชครูอันเข้าไปในจวนก็เริ่มมองไปทั่ว ๆ จวนราชครูอันทราบดีอยู่แล้วว่าท่านอ๋องมิได้อยากมาหาตำราอย่างที่ตรัสเอาไว้ เพียงแค่จะหาเรื่องมาหาบุตรส
ท่านอ๋องเดินเข้าไปยังตำหนักชั้นในทันทีโดยไม่หันมามองนางอีก เฟิ่งถงหลินถูกองครักษ์ขวางเอาไว้ก่อนจะถอยออกมา พวกเขาเป็นองครักษ์ที่มิได้เหมือนทหารทั่วไป แต่เป็นองครักษ์ชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งมาอารักขาตำหนักอ๋อง พวกเขาไม่พูดแต่จะลงมือเลย อีกทั้งไม่ปล่อยโอกาสให้เหยื่อได้ขอร้องเพราะเพียงอ้าปากก็ถูกส่งไปปรโลกแล้ว“แม่นางเฟิ่งเชิญกลับเถิดขอรับ แม่ทัพเฟิ่งรออยู่ที่รถม้านานแล้ว”“สกุลเฟิ่งช่วยพวกท่านในกองทัพครั้งก่อน เหตุใดท่านอ๋องจึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้”“เชิญขอรับ”“เจ้า!”เฟิ่งถงหลินได้แต่โมโหแต่ก็ต้องยอมถอย เพราะตอนนี้แม้อยากจะดื้อดึงก็ไร้ประโยชน์ นางจึงยอมกลับไปก่อนเพื่อจะไปตั้งหลัก เมื่อต้าอู๋เห็นว่านางไปแล้วจึงได้แต่ส่ายหัว“แค่โผล่ไปที่กองทัพแล้วสร้างความวุ่นวายครั้งก่อนยังไม่พอหรืออย่างไรกันนะ ยังกล้ามาแสดงตัวที่นี่อีกช่างไร้ยางอายเกินจะทนจริง ๆ”ห้องอักษรเว่ยซ่างเจวี๋ยเดินมาในห้องเพื่อมองภาพดอกเหมยที่อันลี่ซินนำมามอบให้ก่อนที่เขาจะออกศึก นับตั้งแต่วันที่เขาจูบนางที่ห้องนี้และวันที่พบนางที่หน้าจวนก่อนเข้าวัง หลังจากนั้นนางก็ไม่มาพบเขาอีกเลย“ลี่ซิน…”“ท่านอ๋อง แม่นางเฟิ่งกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่
ลี่ซินเพียงแค่พยายามยิ้มและถอยออกมาทันทีที่มอบดอกไม้ให้เขาก่อนจะคำนับให้เว่ยอ๋องอีกครั้ง“ยังมีอีกหลายที่ที่ท่านอ๋องจะต้องเสด็จผ่าน อย่ารั้งรอเวลาที่นี่เลยเพคะ”เว่ยอ๋องรู้ว่านางต้องทำท่าทางเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ในเวลานี้เขาไม่มีเวลาที่จะอธิบาย ลี่ซินเองก็รู้ดีว่ามิใช่เวลาที่จะมาโกรธ เว่ยซ่างเจวี๋ยคิดว่าหากนางจะต้องมาเป็นพระชายาของเขาจริง ๆ จะต้องเข้าใจบริบทการทำงานของกองทัพและผู้คนที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับเขาด้วย “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”ลี่ซินย่อคำนับก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นและทันได้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อยของสตรีที่สวมเพียงเกราะอ่อนที่อยู่ด้านหลังเยื้องไปค่อนข้างไกลจากท่านอ๋องแม้จะมิได้เคียงข้างและไม่ได้เป็นที่สนใจ แต่อย่างน้อยนางก็ร่วมเดินทางไปกับกองทัพด้วย ลี่ซินเพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปทำเอาเฟิ่งถงหลินนึกแปลกใจจนทำหน้าไม่ถูก เมื่อขบวนค่อย ๆ ผ่านจวนสกุลอันไป‘เหตุใดนางจึงยังยืนยิ้มด้วยสีหน้าน่าหมั่นไส้นั้นให้ข้า นี่นางไม่หึงเว่ยอ๋องกับข้าเลยงั้นหรือ’ขบวนผ่านไปกว่าครึ่งแล้วเมื่อลี่ซินขอตัวเข้าไปในจวนพร้อมกับอาหรูที่พยุงนางไปนั่งที่ศาลา มือนางสั่นจนเกือบซ่อนอาการเอาไว้ไม่มิด แม้นว่าในตอนนี้