เข้าสู่ระบบตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้
กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม ‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’ “รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้ “ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม “หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ” “อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด “ลุกสิ ไยเจ้าถึงยังคงนิ่งเฉยอยู่อีก” ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับเอียงคอนิด ๆ “รัชทายาทจะไม่อยู่คุยกับคนที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ก่อนหรือเพคะ นางอุตส่าห์รีบบอกให้รู้ คุณหนูกู้อาจจะอยากให้พระองค์ตอบแทนก็ได้นะเพคะ” ประโยคท้ายนางหันไปมองสตรีที่ยืนอยู่หน้าสามีตน “หม่อมฉันเปล่านะเพคะ อิงเถาก็แค่ดีใจที่ได้พบพระองค์อีกครั้งก็เท่านั้น เลยรีบอธิบายให้รัชทายาททรงรับรู้” อิงเถากล่าวอย่างเร่งรีบ พร้อมกับยกมือขึ้นโบกไปมา “เจ้าบอกข้าน่ะดีแล้ว ภายหน้าข้าจะได้รู้ว่าใครที่เคยมีบุญคุณช่วยชีวิต จะได้ตอบแทนถูกคน” จิ่นหรงเอ่ยบอกเสียงอ่อน เพราะความทรงจำตอนที่เขาตื่นมา คนแรกที่พบคือหญิงสาวผู้นี้ที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียง หากมิใช่นางดูแลแล้วจะเป็นใครได้ ตันหยางรีบเม้มปากตนทันที เพราะเกรงจะอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นการแสดงของคนสองคนที่ต่างบทบาทกัน คนหนึ่งโป้ปดเพื่อเอาหน้า อีกคนก็ดันหลงเชื่อง่าย ๆ ช่างไม่มีหัวคิดตรึกตรองเอาเสียเลย และจังหวะนี้ผู้เป็นสามีก็หันมาเห็น “มู่ตันหยาง นี่เจ้ากำลังเสียมารยาทรู้หรือไม่” “ตรงไหนเพคะ หม่อมฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย” นางย้อนถามเขา ก่อนจะยกยิ้มให้เหมือนกำลังดูถูก ใช่… ยามนี้หญิงสาวรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สามีนางช่างโง่เขลานัก เป็นถึงรัชทายาท แต่กลับหูเบาเชื่อคำลวงของสตรีโดยไม่ไต่สวน อีกฝ่ายเอ่ยเช่นไรก็เชื่อกระนั้นหรือ ส่วนอีกคนก็หน้าไม่อายกล้าสมอ้างเอาความชอบไปซึ่งๆ หน้า “ยังจะมาพูดจาเล่นลิ้นอีก ก็ท่าทางที่เจ้าทำอยู่นี่อย่างไร” จิ่นหรงหันมาตำหนิเสียงดัง และยังเดินตรงเข้ามาหมายจะรั้งนางขึ้น ทว่าแขนเขากลับถูกมือคนด้านหลังเกาะเอาไว้ “รัชทายาทพระทัยเย็นก่อนเพคะ พระชายานางก็แค่คุ้นชินกับนิสัยพื้นเพเดิม ๆ ที่ติดมาตั้งแต่เด็ก จะให้นางเปลี่ยนเป็นสตรีที่เพรียบพร้อมในเวลาอันรวดเร็วอย่างเรา ๆ พระชายาคงทำไม่ได้หรอกเพคะ” กู้อิงเถายังคงใส่ไฟให้ตันหยางดูต่ำต้อย ร่างสูงหยุดนิ่งในทันที มิใช่เพราะคำเตือนของคนด้านหลัง แต่เป็นสายตาและมุมปากที่ยกขึ้นของชายาตนต่างหาก นางกำลังมองแขนเขาที่ถูกสตรีอื่นเกาะเอาไว้ สายตานี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนนางกำลังเหยียดหยามอย่างไรไม่รู้ พลันคำพูดหนึ่งที่เขาเคยได้ฟังนางเอื้อนเอ่ยก็ผุดขึ้นมา ‘สตรีแต่งกับบุรุษได้แค่คนเดียว ส่วนบุรุษจะแต่งกี่คนก็ได้’ หรือนางหมายถึงสิ่งนี้ ถึงได้จ้องการกระทำที่หญิงอื่นทำกับเขา ใจแกร่งวูบไหวราวกับเกรงว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องจริง ความหวาดกลัวทำให้เขาเอียงหน้ามาหาผู้ที่เกาะแขนตนไม่ยอมปล่อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาแกะมือของกู้อิงเถาออก “เจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ควรต้องสงวนท่าทีให้มาก” คำพูดธรรมดา ทว่ามันกลับทำคนฟังหน้าเจื่อนได้ “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันแค่เป็นห่วงเท่านั้น” “อิงเถา เจ้ากลับไปนั่งให้มันดีดี นี่เป็นเรื่องภายในขององค์รัชทายาทกับพระชายา เจ้าเป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว” ฮองเฮารีบเอ่ยเตือนญาติผู้น้องตน เพราะอิงเถาล้ำเส้นเกินไป ถึงขั้นลุกขึ้นมาเกาะแขนสามีผู้อื่นต่อหน้าภรรยาเขาเชียว “หม่อมฉันก็แค่ไม่อยากเห็นรัชทายาทกับพระชายาทะเลาะเบาะแว้งกันเท่านั้นเพคะ หม่อมฉันหวังดีจริง ๆ” ตันหยางยังคงเม้มปากเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดของสตรีสูงศักดิ์ นางอยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจริง ๆ การกระทำของกู้อิงเถามันไม่ต่างจากตัวอิจฉาที่กำลังหาวิธีแย่งพระเอกไปครอง โกหกพกลมไม่เกรงเรื่องราวจะถูกเปิดเผยสักนิด ทั้งที่ความจริงมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่นางกล่าวออกมาแท้ ๆ ทว่าสตรีนางนี้กลับกล้าพูดปด ราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นไปอย่างที่นางว่า กู้อิงเถาช่างเป็นสตรีใจกล้าเหลือเกิน ด้านจิ่นหรง เมื่อสลัดสตรีอีกคนหลุด เขาก็ก้าวเข้ามาหาชายาตน พร้อมกับเอื้อมมือออกมารั้งนาง “ไปกันเถอะ เสด็จย่ารออยู่” “เพคะ” รับคำแล้วตันหยางก็หันมาย่อตัวให้ฮองเฮา “เอาไว้วันหลังเจ้ามาเยี่ยมแม่ใหม่นะ” “เพคะ” ตันหยางยิ้มอ่อนให้ผู้ที่อายุมากกว่าตนสิบสองปี แล้วหมุนตัวเดินตามแรงดึงของพระสวามี ทิ้งให้ผู้ที่นั่งอยู่มองตามตาละห้อย ใจกู้อิงเถาก็อยากจะวิ่งตามมาเพื่อทำความรู้จักกับรัชทายาทให้แนบแน่น ทว่าฮองเฮาทรงห้ามไว้ นางจึงจำต้องนั่งสงบนิ่งพร้อมกับฟังคำสอนของญาติผู้พี่ไปอย่างจำยอม มิเช่นนั้นอาจไม่มีโอกาสเข้าวังอีก ส่วนสองสามีภรรยา เมื่อเดินออกมาจากตำหนักฮองเฮาจิ่นหรงกลับพาชายามาที่บึงบัวในเขตพระราชฐานแทน สร้างความประหลาดใจให้กับตันหยางเป็นอย่างมาก “ไหนบอกจะไปหาเสด็จย่า เหตุใดพามาที่นี่เพคะ” “ข้าอารมณ์ไม่ดี อยากนั่งเล่น” สิ้นคำเขาก็ก้าวลงเรือพายขนาดเล็ก มีจินเฉิงเป็นสารถีให้ “ลงมาสิ” ออกคำสั่งเสียงห้วน ตันหยางมองท่าทางเอาแต่ใจของอีกฝ่ายแล้วก็ส่ายศีรษะ เจิ้งจิ่นหรงมีนิสัยเหมือนเด็กจริง ๆ อาจเป็นเพราะเขาเพิ่งจะสิบเก้ากระมัง จึงมีนิสัยเอาแต่ใจและคิดอะไรไม่ค่อยรอบคอบนัก ต่างจากนาง หากนับอายุในโลกความเป็นจริง ตันหยางก็ยี่สิบสี่แล้ว เพียงแต่ร่างนี้เพิ่งจะสิบเจ็ดเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ตนจะมีความคิดที่โตกว่าอีกฝ่ายมาก ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงที่ดูแลสำนักคุ้มภัยแทนท่านปู่ นางก็ต้องออกเดินทางไปทุกแห่งที่รับงาน ชีวิตจึงเผชิญเรื่องยากลำบากมากมาย ต่างจากมู่ตันหยงผู้เป็นพี่สาวอยู่พอสมควร รายนั้นจะมีนิสัยเหมือนเด็ก อ่อนโยน แต่ก็แฝงความร้ายกาจไว้เช่นกัน เพราะเหตุนี้ด้วยกระมัง นางถึงได้รับหน้าที่เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ด้วยว่าเขายังไม่ค่อยเด็ดขาด และอ่อนโยนมีเมตตาจนเกินไป จึงต้องมีคนที่แกร่งกว่าอยู่ข้างกาย ทว่าเขาอาจจะไม่ต้องการสตรีที่เก่งกว่าก็ได้… นึกมาถึงตรงนี้ดวงตาคู่สวยก็หม่นลง เมื่อนึกถึงท่าทางดีใจของพระสวามีที่มีต่อกู้อิงเถา เขาคงจะชื่นชอบนางมากสินะ “นั่งนิ่งเช่นนี้ เจ้าคงไม่ได้คิดหาเรื่องไปฟ้องเสด็จย่าอีกหรอกนะ” จิ่นหรงขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับจ้องหน้านาง ตันหยางยกยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “แล้วแต่จะคิดเพคะ” “คิดอะไร เจ้านั่นแหละที่คิด” นิ้วเรียวยกขึ้นชี้หน้านาง คนตัวเล็กก็ได้แต่ยิ้มมุมปากก่อนจะกวักน้ำขึ้นมาใส่เขาดื้อ ๆ “ชิ! แกล้งข้าหรือ” จิ่นหรงจึงทำบ้าง จากที่บึ้งตึงใส่กันก่อนหน้า ก็กลายเป็นว่ายามนี้ทั้งคู่หยอกล้อกันจนตัวเปียกแล้ว อาภรณ์ที่ตันหยางสวมอยู่จึงแนบไปกับเนื้อกาย นำพาให้ผู้เป็นสามีถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพราะใบหน้าที่เปียกปอนด้วยหยดน้ำของชายาตัวน้อยมันงดงามในสายตาเขานัก ทว่าความคิดนี้กลับต้องหยุดลงเมื่อ “ฮัดชิ้ว!” “จินเฉิงเอาเรือเทียบ” เสียงออกคำสั่งร้อนรนนัก พร้อมกันนั้นร่างสูงก็ขยับคุกเข่าเพื่อถอดชุดด้านนอกตนออกมาสวมทับให้ชายาตัวน้อย และเขาก็ไม่ลืมที่จะกอดนางไว้ด้วย แต่พอเรือเทียบฝั่ง กู้อิงเถาก็ตรงเข้ามาอย่างเร่งรีบ “รัชทายาทอยู่ที่นี่เองหรือเพคะ เอ๊ะ! นี่พระชายาเป็นอะไรไปหรือเพคะ หน้าซีดเชียว” อิงเถารีบเอ่ยถาม ทว่านางกลับไม่ได้รับคำตอบ เพราะจิ่นหรงช้อนเอาร่างชายาได้เขาก็เดินตรงกลับไปตำหนักของตน กู้อิงเถาเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินตามไป เพราะนี่คือโอกาสดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้วสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







