แชร์

15. สะกดจิต

ผู้เขียน: ซูมู่หราน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-01 12:00:18

ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง  ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป  หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้  เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วย

เมื่อรถม้าหยุด  จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว  แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”

“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา  จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”

“ขะ… เขินอะไร  อายอะไรเพคะ  ไม่มี๊…”

“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง”  จิ่นหรงแสร้งเย้านาง

“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ”  ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า  

คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

“ช้าก่อน  ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก  เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”

“เจ้าค่ะ”  รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้  เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ  สุขุม นิ่ง  ราวกับคนไร้ใจ

ทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า  แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป  ที่รู้จักเขินอาย  และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย  ซึ่งมันก็ทำให้เขาอยากเห็นนางเป็นเช่นนี้ทุกวันเสียแล้ว

จิ่นหรงจูงมือภรรยาตนเข้าไปด้านใน เหล่าทหารรักษาการจึงรีบคำนับกันจ้าละหวั่น  เพราะผู้เป็นนายมาไม่ได้บอกกล่าว

“ตามสบายเถิด  จินเฉิงเจ้าไปจัดการ”

คนสนิทรับคำแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน  พอดีที่ซ่งเทียนเดินออกมาและยังมีฟู่อินโหวรวมถึงใต้เท้าเจิ้นอีกคน

“ถวายพระพรรัชทายาทและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสามเอ่ยพร้อมกัน  ทว่าสายตาพวกเขากับมองมาที่ตันหยาง

“พระชายาบอกว่ามีวิธีทำให้คนร้ายเอ่ยปาก  ข้าก็เลยพานางมาด้วย  แต่คงไม่พาลงไปข้างล่าง”

“อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรีบเอ่ยถาม

“ใช้ยากับการสะกดจิต”

“สะกดจิต!!”  ทั้งสามเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“เอาน่า  ตามนี้แหละ”  ตันหยางยกยิ้ม

“เช่นนั้นก็เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”  ใต้เท้าเจิ้นผู้ดูแลคุกหลวงรีบเดินนำ  กระทั่งเข้ามาถึงคุกชั้นนอกที่ดูสะอาดตาอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีกลิ่นสาปลอยมารบกวนจมูกอยู่เนือง ๆ

“เหม็นหรือ” จิ่นหรงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง  จากนั้นเขาก็รีบล้วงเอาผ้าเช่นหน้าตนออกมาผูกปิดจมูกให้นาง “ดีขึ้นหรือไม่”

“เพคะ”  ตันหยางยิ้มอ่อนกับการกระทำของสามี  ทว่าเขาไม่เห็นมัน  เพราะยามนี้ใบหน้านางมีผ้าปิดเอาไว้แล้ว  

“พาตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  จินเฉิงเดินนำคนร้ายเข้ามา  ก่อนที่มันจะถูกจับนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีพนักพิง

“ข้าไม่พูด  ไม่มีทางบอกอันใดเด็ดขาด”  สิ้นคำมันก็ตั้งท่าจะกัดลิ้นตน  ทว่าผู้คุมเอามือง้างปากและยัดผ้าเข้าไปก่อน

ตันหยางมองแล้วก็ยิ้มแหย  ฟู่อินโหวจึงเอ่ยขึ้น

“มันพยายามจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา กลางวันกลางคืนต้องจัดเวรยามคอยเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ หากมิใช่เพราะอยากรู้ว่าใครบงการ กระหม่อมคงส่งพวกมันไปลงนรกกันหมดแล้ว” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ เพราะสืบสวนมาสองวันยังไม่ได้ความ

หากเรื่องราวมิได้ข้องเกี่ยวกับฉินอ๋อง เขาก็คงไม่เดือดดาลมากถึงเพียงนี้  เพราะหลายปากหลายเสียงกล่าวว่า นี่อาจเป็นฝีมือของฉินอ๋องที่คิดแย่งชิงบัลลังก์ไปเป็นของตน

เพราะขณะเกิดเรื่อง  ฉินอ๋องไม่ได้อยู่เมืองหลวง  เขารับหน้าที่ไปแก้ไขปัญหาภัยแล้งและสร้างเขื่อนแทนรัชทายาท  ด้วยว่ารัชทายาทจะต้องกลับมาอภิเษก  และมันยังพาดพิงไปถึงการลอบสังหารรัชทายาทเมื่อครึ่งเดือนก่อนด้วย

นับวันข่าวลือเหล่านี้มันยิ่งหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยามเกิดเรื่องเชื้อพระวงศ์อยู่ครบหมด  ขาดก็แต่ฉินอ๋องพระองค์เดียว

ในฐานะญาติผู้น้อง  ฟู่อินโหวจึงไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่า  คนเช่นฉินอ๋องจะคิดแย่งชิงบัลลังก์ไปเป็นของตน  อินหลางจึงพยายามหาหลักฐานว่าใครคือผู้บงการตัวจริง

“พระชายาจะให้จัดการเช่นไรต่อพ่ะย่ะค่ะ”  เขาหันมาถามน้องภรรยา  ซึ่งยามนี้กำลังทำบางสิ่งอยู่

“เอายานี่ให้พวกเขากิน”  นางยื่นขวดสีขาวให้  อินหลางก็ส่งต่อให้ผู้คุม  ไม่นานคนร้ายทั้งสองก็ถูกกรอกยาจนหมด  และยัดผ้าปิดปากตามเดิม  เพราะพวกมันพยายามที่จะกัดลิ้นตลอด

“ที่พวกเจ้าอยากตายคงมิใช่เพราะซื่อสัตย์ต่อนายกระมัง  ทำไม  คนในครอบครัวถูกจับไว้เป็นตัวประกันกระนั้นหรือ”  ตันหยางแค่แสร้งเอ่ยในสิ่งที่ตนเคยเห็นในซีรี่ย์เท่านั้น  ทว่าจากที่คนร้ายกำลังดิ้น  พวกมันกลับหยุดชะงักพร้อมกับมองหน้านาง

“เอ๋!  ข้าทายถูกหรือ”  นางเผยยิ้มทันที

“น้องหญิงที่เจ้าพูดมามันจริงหรือ”  จิ่นหรงเอียงหน้ามอง

“ไม่รู้เพคะ  หม่อมฉันแค่เดาไปเรื่อย  แต่พอเห็นท่าทางสองคนนี้ชะงัก  เลยคิดว่าสิ่งที่พูดน่าจะจริง”  นางยิ้มแฉ่งให้เขา  จากนั้นก็เอ่ยอีกว่า  “แต่อีกประเดี๋ยวก็รู้เพคะ”  ตันหยางยิ้มเมื่อเห็นดวงตาของคนร้ายเริ่มเหม่อลอย  นางจึงเดินเข้าไปใกล้  ก่อนจะหยิบเอาลูกตุ้มที่มีกระดิ่งห้อยติดเอาไว้มาแกว่งต่อหน้าคนร้าย

“พี่ชาย  ท่านเป็นใครหรือ”  นางเอ่ยถามเสียงใส  บุรุษทั้งหลายที่เฝ้าดูการสอบสวนจึงพากันมายืนห้อมล้อมอย่างสนใจ

ชายฉกรรจ์ใบหน้าอิดโรยพยายามพยักหน้าราวกับต้องการจะพูด  จิ่นหรงจึงสั่งให้ผู้คุมเอาผ้าออกจากปากมัน

“ขะ… ข้าคืออากุ้ย บิดาของเสี่ยวจ้าน  สามีของเสี่ยวอี้”  เสียงที่ตอบกลับไม่ต่างจากคนละเมอ  ทุกคนจึงต้องตั้งใจฟัง

“พี่ชายมีลูกเมียหรือ  แล้วเหตุใดไม่อยู่กับพวกเขาเล่า”

“ยะ…อยู่ไม่ได้  ต้องมาทำงานให้สำเร็จ  มิ…มิเช่นนั้นพวกเขาจะตาย  ท่านพ่อท่านแม่  ลูกเมียข้าจะตาย”

“ข้าจะช่วยพวกเขาออกมา  ขอเพียงพี่ชายบอกข้าว่า  ใครกันที่จับพวกเขาไป  บอกข้ามาเถิด  ข้ามีคนเยอะนะ  ช่วยครอบครัวพี่ชายได้แน่นอน”  ตันหยางยังคงใช้เสียงอ่อนตะล่อม

“ซูเหวินอี้  ซูเหวินอี้มันจับครอบครัวเราไว้”

เสียงซุบซิบจากด้านหลังเริ่มดังขึ้น  ตันหยางจึงต้องรีบหันมาทำตาดุใส่  เสียงนั้นจึงหยุดลงในทันที

“แล้วพี่ชายรู้หรือไม่  ซูเหวินอี้อยู่ที่ใด  และใครที่ให้ความกล้าเขาถึงเพียงนี้”  ตันหยางถามต่อ

“ข้าไม่รู้  ข้าพบซูเหวินอี้เพียงครั้งเดียว  ตอนที่เขามาวางแผนให้พวกเราปล่อยโคมเข้าไปในวังหลวง  ข้าพบเขาครั้งนั้นครั้งเดียว อย่างอื่นข้าไม่รู้ ช่วยด้วย ช่วยครอบครัวข้าด้วย”  ประโยคท้ายมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างน่าเวทนา

“พี่ชาย  พวกท่านทำงานให้ซูเหวินอี้แล้วเหตุใดเขาต้องสั่งให้คนจับครอบครัวท่านไปอีก”  ตันหยงเอ่ยถามอีกรอบ

“พวกเราคือพ่อค้าขายโคมที่ค้าขายสุจริต  พวกเราจึงไม่ยินดีที่จะทำชั่ว  ทว่าพวกมันกลับใช้ครอบครัวมาบีบบังคับพวกเราให้ทำตามความต้องการของพวกมัน  เราไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ  แต่ถ้าเราไม่ทำ  พวกมันจะเอาชีวิตคนในครอบครัว  และถ้าเราถูกจับ  เราจะต้องรีบปลิดชีพตนเสีย  หากเกินห้าวันหลังจากเกิดเรื่อง  พวกเรายังไม่ตาย  คะ…ครอบครัวของเราก็จะ”

“เช่นนั้นพี่ชายพอจะรู้หรือไม่ว่าครอบครัวถูกจับไว้ที่ใด”

“ฮึก… ข้าไม่รู้  ไม่รู้เลย”  ชายหนุ่มวัยสามสิบสะอื้นไห้  จากนั้นเขาก็พร่ำเพ้อไปเรื่อย  จิ่นหรงจึงสั่งให้เอาผ้าอุกปากเสีย

“ซูเหวินอี้  เจ้าคนเลว!  กระหม่อมจะไปจับบิดามันมาไต่สวน  ซูกั๋วกงจะต้องรู้เห็นด้วยเป็นแน่” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ  เขาหมุนตัวหมายจะเดินออกไปทำอย่างที่พูด  

“ช้าก่อน  ข้าไม่อยากให้พวกมันรู้ตัวว่าเรารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว”  จิ่นหรงร้องห้ามท่านโหว  ก่อนจะหันมาหาผู้คุมแล้วออกคำสั่ง  “ให้คนไปปล่อยข่าวบอกว่านักโทษที่จับได้ล้วนแต่สิ้นใจหมดแล้ว  เป็นไปได้ก็หาศพออกไปฝังคืนนี้เลย ข้าเชื่อว่ามันต้องส่งคนมาคอยสอดแนมอยู่แน่ ๆ ปล่อยให้มันชะล่าใจไปก่อน  ส่วนเจ้าซ่งเทียน  จัดคนออกไปตามหาครอบครัวของพ่อค้าเหล่านี้  หากพบแล้วให้แจ้งทันทีว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”

“พ่ะย่ะค่ะ”  ผู้คุมและองครักษ์เกราะดำรับคำพร้อมกัน

ตันหยางลอบมองพระสวามีอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นพระสวามีตนสั่งการด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ท่าทางดูองอาจเป็นอย่างมาก ‘นึกไม่ถึงว่าตอนทำงานเขาจะน่ามองขนาดนี้ ต่อไปเราคงดูถูกรัชทายาทผู้นี้ไม่ได้แล้วสินะ  ฉลาดรู้จักคิดรอบคอบจริง ๆ’  

 

 

 

 

 

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   19. ตามทุกที่

    สองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   18. สืบเองง่ายกว่า

    นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   17. คนขี้งอน

    หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   16.ใครเป็นใหญ่

    หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   15. สะกดจิต

    ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   14. ภรรยาแสนดี

    จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status