เข้าสู่ระบบณ ชานเมืองผิงทิศทางตะวันออกของแคว้นหนาน ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เพราะอยู่ห่างเมืองหลวงแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น ทว่าต้องควบม้ามาจึงจะถึงได้ไวเช่นนี้ หากนั่งรถม้าก็ต้องใช้เวลาเกือบวันจึงจะถึงตัวเมือง
และที่นี่ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของ ‘มู่ตันหยง’ บุตรสาวคนรองของโหราจารย์มู่ซางฉี ทว่ายามนี้นางแต่งให้ฟู่อินโหวไปแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนจึงมีแค่น้องสาวคนเล็ก นามว่า ‘มู่ตันหยาง’ ส่วนพี่ชายคนโตนามว่า ‘มู่ตานชุย’ นาน ๆ จึงจะได้กลับมาที เพราะเขาประจำการอยู่ที่ค่ายเสียมากกว่า จึงทำให้น้องสาวคนเล็กอย่างมู่ตันหยางจำต้องพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง ไร้ซึ่งญาติพี่น้องคอยอยู่เคียงข้าง ส่วนบิดาก็ต้องประจำอยู่ในวังหลวงตามหน้าที่ แม้มู่ซางฉีจะร้องขอให้นางไปอยู่ด้วย ทว่ามู่ตันหยางกลับไม่พึงปรารถนาที่จะติดตามไป เพราะนางไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง… ยิ่งไปกว่านั้น มู่ตันหยางยังมีหน้าที่ต้องดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่ และบริวารนับร้อยที่ยังคงพึ่งใบบุญตระกูลมู่อยู่ นางจึงไม่อาจทอดทิ้งสถานะประมุขสำนักคุ้มภัยนี้ไปได้ ทว่าวันนี้นางจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว… “คุณหนู พวกเราขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ นะขอรับ” เสียงอวยพรดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวในชุดแดงถูกพาตัวออกมาจากห้อง คนเหล่านี้ล้วนแต่พร้อมใจกันมาส่งผู้เป็นนาย “ข้าฝากทุกคนดูแลที่นี่ให้ดีอย่าลืมที่ข้ากำชับเอาไว้เข้าใจหรือไม่” เสียงออกคำสั่งยังคงเด็ดขาดเช่นเคย “ขอรับ!!” “ไปเถิด ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยาม” เสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างกาย จากนั้นเขาก็เดินมาด้านหน้าแล้วย่อตัวลง เจ้าสาวจึงโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับโอบรอบคอพี่ชายไว้ “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากแต่งให้คนผู้นั้น” ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเสียงเศร้าสร้อยของน้องสาวคนสุดท้อง “น้องเล็ก เราไม่อาจขัดพระประสงค์จากเบื้องบนได้ สกุลมู่คือข้าราชบริพารของราชวงศ์ ฝ่าบาทรับสั่งมาเช่นไร เราก็จำต้องทำตามมิอาจขัดได้” มู่ตานชุยบอกเหตุผล พร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมั่นคง แม้ในใจจะหวาดหวั่น ตันหยางได้แต่นิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่พี่ชายกล่าวมันล้วนแต่จริงทั้งนั้น สตรีสกุลมู่ล้วนแต่ถูกกำหนดคู่ครองเอาไว้แล้ว “ทำไมต้องเป็นข้า ไยเบื้องบนไม่หาหญิงอื่นแต่งกับเขา ข้าคู่ควรเสียที่ไหน” ตันหยางยังบ่นพึมพำข้างหูพี่ชาย “ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว น้องเล็กอย่าลืมว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตระกูลมู่คือส่วนหนึ่งของราชวงศ์ เราคือฐานอำนาจที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้จำไม่ได้หรือ” ตานชุยย้ำหน้าที่ให้นางฟังอีกหน เพราะเหมือนน้องสาวเขาจะลืมไปแล้ว แต่เปล่าเลย… ตันหยางนางจำได้ดี ตระกูลมู่คือหมากตัวหนึ่งของราชวงศ์นี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเลยก็ว่าได้ พี่สาวต้องแต่งให้ฟู่อินโหวก็เพราะคนผู้นี้คือเครือญาติของไทเฮา จากนั้นก็เป็นนางที่ต้องแต่งเข้าวัง เพื่อเสริมรากฐานให้ราชวงศ์นี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ด้วยว่าพี่ชายนางคือแม่ทัพภาค และอีกไม่นานคงได้เป็นแม่ทัพใหญ่กุมอำนาจทั้งสี่ทิศ ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้และไทเฮาที่ปูทางเอาไว้ หากจะโทษคงต้องโทษที่พวกนางเกิดใหม่ในร่างของสตรีที่ถูกเลือกไว้แล้วกระมัง นึกแล้วตันหยางก็ทอดถอนใจ ‘ทำไมชีวิตตัวประกอบอย่างเรา ถึงได้แต่งกับคนสูงศักดิ์อย่างรัชทายาทกันนะ เห้อ! ชีวิตอันแสนสุขของฉัน จบสิ้นลงแล้วสินะ’ ตันหยางนึกคิดจนเหม่อ กระทั่งเสียงของพี่สาวดังขึ้น “น้องเล็ก เจ้าต้องระมัดระวังนะ อย่าทำอันใดหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด” ตันหยงเอ่ยเตือนอย่างเป็นกังวล เพราะนางรู้ดีว่าน้องสาวมิใช่สตรีที่เพรียบพร้อมเรื่องกิริยามารยาท “ข้ารู้น่าท่านพี่ แล้วท่านพ่อเล่า” “รออยู่ด้านหน้า” ตันหยงเอ่ยบอก พร้อมกับก้าวเดินตามพี่ชายไปจนถึงหน้าประตู ซึ่งมีบิดายืนรอด้วยแววตาสั่นไหว มู่ซางฉีรู้ดีว่าบุตรสาวรักอิสระมาก ทว่าวันนี้นางกลับต้องแต่งให้รัชทายาทและเข้าไปอยู่ในวัง ถูกจำกัดบริเวณเหมือนนกในกรงทอง ไม่อาจทำตามใจได้อีกต่อไป เพียงแค่คิด หัวใจคนเป็นพ่อก็ปวดร้าวเสียแล้ว “หยางเอ๋อร์” เสียงเครือของท่านโหราจารย์เปล่งออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะคำพูดมันได้จุกอยู่ที่คอจนเอื้อนเอ่ยไม่ออก “ท่านพ่อ ลูกก็แค่แต่งงานมิได้ตายจากไปนะเจ้าคะ ท่านเข้าวังก็ได้พบลูกแล้ว” เสียงใส่ของตันหยางเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกมาเกลี่ยแก้มสากของบิดาอย่างอ่อนโยน “พ่อขอโทษนะลูก ทำเจ้าลำบากแล้ว” “ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิตนเองเลยนะเจ้าคะ ลูกรับมือได้” ตันหยางเอ่ยบอกให้บิดาเบาใจ ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้านี้ยังคงยิ้ม จากนั้นนางก็ถูกพาขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางเข้าวังไปทำพิธีตามกฏมณเฑียรบาล ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่มารอชม เพราะนี่คือการอภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ หนึ่งชั่วยามต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกในวัง ณ ตำหนักบูรพา ภายในห้องบรรทมอันใหญ่โต ร่างสูงสง่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เพราะในใจเขาว้าวุ่นเหลือคณานับ “รัชทายาท จะไม่ไปเข้าหอกับพระชายาจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททราบจะทรงกริ้วเอานะพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย ถึงหน้าที่ที่รัชทายาทพึงกระทำ “ข้าทำไม่ลง” จิ่นหรงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา “ทะ… ทำไม่ลงอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง เพราะคำตอบฟังดูประหลาดนัก “ข้าก็บอกไม่ถูก ข้าไม่อยากร่วมหอกับนาง” จิ่นหรงเอ่ยบอกไปตามจริง เขาไม่อยากเข้าใกล้ชายาของตน มิใช่ว่ารังเกียจ แต่เป็นเพราะใจเขามีสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว นั่นคือหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ทว่าจนถึงยามนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่านางคือใคร “ทรงคิดถึงสตรีที่ช่วยพระองค์ไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เพราะตั้งแต่กลับมาผู้เป็นนายก็ดูเหม่อลอยตลอด “อืม” คำตอบช่างสั้นนัก “คนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ สตรีที่ช่วยเราไว้มีสองคนมิใช่หรือ” อี้ฟานยังคงตั้งคำถามในสิ่งที่เขายังไม่กระจ่างใจ “เจ้านี่มันโง่นัก” จินเฉิงหันมาตำหนิสหายทันที “จะเป็นแม่นางหยาบกร้านผู้นั้นไปได้เยี่ยงไร ย่อมต้องเป็นสตรีเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้น่ะสิ กิริยามารยาทก็สุขุม ข้าได้ยินว่านางเฝ้ารัชทายาททั้งคืนในตอนที่บาดเจ็บหนัก ไม่มีทางเป็นสตรีที่คอยแต่จะจับบุรุษแก้ผ้าผู้นั้นแน่” ประโยคท้ายองครักษ์เน้นเสียงหนัก “ก็จริงของเจ้า ตัวเลือกมีแค่หนึ่งเดียวจริง ๆ” อี้ฟานยิ้มแหย เมื่อนึกถึงกิริยาของสตรีอีกนางที่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป จิ่นหรงยืนนิ่งฟังคนสนิทพูดกันไปเรื่อย ในใจก็ยังคงนึกถึงร่างอรชรที่ตนตื่นขึ้นมาพบเป็นคนแรกในช่วงที่บาดเจ็บ นางดูแลเขาอย่างดี ต่างจากสตรีอีกคนที่มาถึงก็ถอดเปลื้องอาภรณ์เขาออก ปากก็บอกว่าจะรักษาดูบาดแผลให้ แต่สายตากลับโลมเลียร่างกายเขาอย่างชัดเจน ราวกับคนหิวกระหายก็มิปาน หากยามนั้นคนสนิททั้งสองไม่สลบเพราะพิษไข้ไปสองวัน นางคงไม่มีโอกาสได้จับต้องร่างกายเขาในช่วงนั้น แต่ถ้าเป็นสตรีอีกคนยอมทำแผลใส่ยาให้ เขาก็คงไม่นึกหงุดหงิด เพราะนางดูเป็นคนดีมีมารยาท ต่างจากสตรีที่ใส่ยาให้ จิ่นหรงยืนครุ่นคิดอยู่นาน กระทั่งเสียงด้านนอกดังขึ้น “รัชทายาทได้เวลาดื่มสุรามงคลแล้ว เชิญเสด็จเพคะ” สองคนสนิทหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยืนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ” เสียงพึมพำเปล่งออกมา “ไปพบหน้านางก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่นางอาจจะเป็นสตรีที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ก็ได้” “อี้ฟาน! เจ้าอ่านบทละครมากไปจนคิดว่านี่คืองิ้วที่เจ้าเคยดูมาหรือ” จินเฉิงตำหนิเสียงดัง “ข้าก็แค่ปลอบรัชทายาทก็เท่านั้น” อี้ฟานยิ้มแหย “พอแล้ว! อย่าได้มาทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระ ข้าจะไปพบนางและจะทำข้อตกลงกัน” สิ้นคำร่างสูงก็เดินออกจากห้อง ตรงไปยังตำหนักอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านบึงบัวและสวนแมกไม้อันโอ่อ่าใหญ่โต ตามฐานะรัชทายาทของแคว้น เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนัก เขาก็หยุดสูดลมหายใจ พอดีที่ประตูนั้นเปิดออก เผยร่างชายหนุ่มสองคนเดินออกมา “นี่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” ต่างฝ่ายต่างก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน คนสนิทรัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นก่อน “บังอาจ! นี่รัชทายาทจิ่นหรง พบพระพักตร์แล้วเหตุใดไม่ทำความเคารพ” จินเฉิงคำรามใส่ชายหนุ่มทั้งสอง “ระ…รัชทายาทหรือ” หานฟู่ยังคงมึนงง จนสหายอีกคนต้องรีบดึงให้เขาคุกเข่าลงเพื่อลดการลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้น “ลุกขึ้นเถิด คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด” จิ่นหรงกล่าวเสียงอ่อน ‘สองคนนี้มาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นด้านในก็’ ใจที่เคยว้าวุ่นเต็มไปด้วยความกังวล บัดนี้กลับเต้นแรงเพราะความหวังที่ประดังเข้ามา เพียงเท่านั้นสองขาเขาก็รีบก้าวเข้าไปอย่างมั่นคงสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







