แชร์

2.ใม่เป็นดั่งหวัง/1

ผู้เขียน: ซูมู่หราน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-06 23:35:51

ณ  ชานเมืองผิงทิศทางตะวันออกของแคว้นหนาน ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร  เพราะอยู่ห่างเมืองหลวงแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น  ทว่าต้องควบม้ามาจึงจะถึงได้ไวเช่นนี้  หากนั่งรถม้าก็ต้องใช้เวลาเกือบวันจึงจะถึงตัวเมือง

และที่นี่ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของ ‘มู่ตันหยง’  บุตรสาวคนรองของโหราจารย์มู่ซางฉี  ทว่ายามนี้นางแต่งให้ฟู่อินโหวไปแล้ว  ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนจึงมีแค่น้องสาวคนเล็ก

นามว่า ‘มู่ตันหยาง’

ส่วนพี่ชายคนโตนามว่า ‘มู่ตานชุย’ นาน ๆ จึงจะได้กลับมาที  เพราะเขาประจำการอยู่ที่ค่ายเสียมากกว่า

จึงทำให้น้องสาวคนเล็กอย่างมู่ตันหยางจำต้องพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง  ไร้ซึ่งญาติพี่น้องคอยอยู่เคียงข้าง  ส่วนบิดาก็ต้องประจำอยู่ในวังหลวงตามหน้าที่  แม้มู่ซางฉีจะร้องขอให้นางไปอยู่ด้วย  ทว่ามู่ตันหยางกลับไม่พึงปรารถนาที่จะติดตามไป

เพราะนางไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง…  

ยิ่งไปกว่านั้น  มู่ตันหยางยังมีหน้าที่ต้องดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่  และบริวารนับร้อยที่ยังคงพึ่งใบบุญตระกูลมู่อยู่  นางจึงไม่อาจทอดทิ้งสถานะประมุขสำนักคุ้มภัยนี้ไปได้

ทว่าวันนี้นางจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว…

“คุณหนู  พวกเราขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ นะขอรับ”  เสียงอวยพรดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวในชุดแดงถูกพาตัวออกมาจากห้อง  คนเหล่านี้ล้วนแต่พร้อมใจกันมาส่งผู้เป็นนาย

“ข้าฝากทุกคนดูแลที่นี่ให้ดีอย่าลืมที่ข้ากำชับเอาไว้เข้าใจหรือไม่” เสียงออกคำสั่งยังคงเด็ดขาดเช่นเคย  

“ขอรับ!!”

“ไปเถิด  ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยาม”  เสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างกาย  จากนั้นเขาก็เดินมาด้านหน้าแล้วย่อตัวลง  เจ้าสาวจึงโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับโอบรอบคอพี่ชายไว้

“พี่ใหญ่  ข้าไม่อยากแต่งให้คนผู้นั้น”

ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเสียงเศร้าสร้อยของน้องสาวคนสุดท้อง “น้องเล็ก  เราไม่อาจขัดพระประสงค์จากเบื้องบนได้  สกุลมู่คือข้าราชบริพารของราชวงศ์  ฝ่าบาทรับสั่งมาเช่นไร  เราก็จำต้องทำตามมิอาจขัดได้”  มู่ตานชุยบอกเหตุผล  พร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมั่นคง  แม้ในใจจะหวาดหวั่น

ตันหยางได้แต่นิ่งเงียบ  เพราะสิ่งที่พี่ชายกล่าวมันล้วนแต่จริงทั้งนั้น  สตรีสกุลมู่ล้วนแต่ถูกกำหนดคู่ครองเอาไว้แล้ว

“ทำไมต้องเป็นข้า  ไยเบื้องบนไม่หาหญิงอื่นแต่งกับเขา  ข้าคู่ควรเสียที่ไหน”  ตันหยางยังบ่นพึมพำข้างหูพี่ชาย

“ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว  น้องเล็กอย่าลืมว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้  ตระกูลมู่คือส่วนหนึ่งของราชวงศ์  เราคือฐานอำนาจที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้จำไม่ได้หรือ” ตานชุยย้ำหน้าที่ให้นางฟังอีกหน  เพราะเหมือนน้องสาวเขาจะลืมไปแล้ว

แต่เปล่าเลย… ตันหยางนางจำได้ดี  ตระกูลมู่คือหมากตัวหนึ่งของราชวงศ์นี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเลยก็ว่าได้  

พี่สาวต้องแต่งให้ฟู่อินโหวก็เพราะคนผู้นี้คือเครือญาติของไทเฮา  จากนั้นก็เป็นนางที่ต้องแต่งเข้าวัง  เพื่อเสริมรากฐานให้ราชวงศ์นี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก  ด้วยว่าพี่ชายนางคือแม่ทัพภาค  และอีกไม่นานคงได้เป็นแม่ทัพใหญ่กุมอำนาจทั้งสี่ทิศ

ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้และไทเฮาที่ปูทางเอาไว้

หากจะโทษคงต้องโทษที่พวกนางเกิดใหม่ในร่างของสตรีที่ถูกเลือกไว้แล้วกระมัง  นึกแล้วตันหยางก็ทอดถอนใจ  ‘ทำไมชีวิตตัวประกอบอย่างเรา  ถึงได้แต่งกับคนสูงศักดิ์อย่างรัชทายาทกันนะ เห้อ!  ชีวิตอันแสนสุขของฉัน  จบสิ้นลงแล้วสินะ’

ตันหยางนึกคิดจนเหม่อ  กระทั่งเสียงของพี่สาวดังขึ้น

“น้องเล็ก  เจ้าต้องระมัดระวังนะ  อย่าทำอันใดหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด”  ตันหยงเอ่ยเตือนอย่างเป็นกังวล  เพราะนางรู้ดีว่าน้องสาวมิใช่สตรีที่เพรียบพร้อมเรื่องกิริยามารยาท

“ข้ารู้น่าท่านพี่  แล้วท่านพ่อเล่า”

“รออยู่ด้านหน้า”  ตันหยงเอ่ยบอก  พร้อมกับก้าวเดินตามพี่ชายไปจนถึงหน้าประตู  ซึ่งมีบิดายืนรอด้วยแววตาสั่นไหว  

มู่ซางฉีรู้ดีว่าบุตรสาวรักอิสระมาก  ทว่าวันนี้นางกลับต้องแต่งให้รัชทายาทและเข้าไปอยู่ในวัง  ถูกจำกัดบริเวณเหมือนนกในกรงทอง  ไม่อาจทำตามใจได้อีกต่อไป

เพียงแค่คิด  หัวใจคนเป็นพ่อก็ปวดร้าวเสียแล้ว

“หยางเอ๋อร์”  เสียงเครือของท่านโหราจารย์เปล่งออกมาได้เพียงเท่านั้น  เพราะคำพูดมันได้จุกอยู่ที่คอจนเอื้อนเอ่ยไม่ออก

“ท่านพ่อ  ลูกก็แค่แต่งงานมิได้ตายจากไปนะเจ้าคะ  ท่านเข้าวังก็ได้พบลูกแล้ว”  เสียงใส่ของตันหยางเอ่ยขึ้น  พร้อมกับยื่นมือออกมาเกลี่ยแก้มสากของบิดาอย่างอ่อนโยน  

“พ่อขอโทษนะลูก  ทำเจ้าลำบากแล้ว”

“ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิตนเองเลยนะเจ้าคะ ลูกรับมือได้”  ตันหยางเอ่ยบอกให้บิดาเบาใจ  ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้านี้ยังคงยิ้ม

จากนั้นนางก็ถูกพาขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางเข้าวังไปทำพิธีตามกฏมณเฑียรบาล  ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่มารอชม  เพราะนี่คือการอภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์

 

หนึ่งชั่วยามต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกในวัง

ณ ตำหนักบูรพา

ภายในห้องบรรทมอันใหญ่โต  ร่างสูงสง่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน  เพราะในใจเขาว้าวุ่นเหลือคณานับ

“รัชทายาท  จะไม่ไปเข้าหอกับพระชายาจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ  หากฝ่าบาททราบจะทรงกริ้วเอานะพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย  ถึงหน้าที่ที่รัชทายาทพึงกระทำ

“ข้าทำไม่ลง”  จิ่นหรงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา  

“ทะ… ทำไม่ลงอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง  เพราะคำตอบฟังดูประหลาดนัก

“ข้าก็บอกไม่ถูก  ข้าไม่อยากร่วมหอกับนาง”  จิ่นหรงเอ่ยบอกไปตามจริง  เขาไม่อยากเข้าใกล้ชายาของตน

มิใช่ว่ารังเกียจ  แต่เป็นเพราะใจเขามีสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว  นั่นคือหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน  ทว่าจนถึงยามนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่านางคือใคร

“ทรงคิดถึงสตรีที่ช่วยพระองค์ไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ”  จินเฉิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้  เพราะตั้งแต่กลับมาผู้เป็นนายก็ดูเหม่อลอยตลอด

“อืม”  คำตอบช่างสั้นนัก

“คนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ  สตรีที่ช่วยเราไว้มีสองคนมิใช่หรือ”  อี้ฟานยังคงตั้งคำถามในสิ่งที่เขายังไม่กระจ่างใจ

“เจ้านี่มันโง่นัก”  จินเฉิงหันมาตำหนิสหายทันที “จะเป็นแม่นางหยาบกร้านผู้นั้นไปได้เยี่ยงไร  ย่อมต้องเป็นสตรีเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้น่ะสิ  กิริยามารยาทก็สุขุม ข้าได้ยินว่านางเฝ้ารัชทายาททั้งคืนในตอนที่บาดเจ็บหนัก ไม่มีทางเป็นสตรีที่คอยแต่จะจับบุรุษแก้ผ้าผู้นั้นแน่”  ประโยคท้ายองครักษ์เน้นเสียงหนัก

“ก็จริงของเจ้า  ตัวเลือกมีแค่หนึ่งเดียวจริง ๆ”  อี้ฟานยิ้มแหย  เมื่อนึกถึงกิริยาของสตรีอีกนางที่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป

จิ่นหรงยืนนิ่งฟังคนสนิทพูดกันไปเรื่อย  ในใจก็ยังคงนึกถึงร่างอรชรที่ตนตื่นขึ้นมาพบเป็นคนแรกในช่วงที่บาดเจ็บ  นางดูแลเขาอย่างดี  ต่างจากสตรีอีกคนที่มาถึงก็ถอดเปลื้องอาภรณ์เขาออก  ปากก็บอกว่าจะรักษาดูบาดแผลให้  แต่สายตากลับโลมเลียร่างกายเขาอย่างชัดเจน  ราวกับคนหิวกระหายก็มิปาน

หากยามนั้นคนสนิททั้งสองไม่สลบเพราะพิษไข้ไปสองวัน  นางคงไม่มีโอกาสได้จับต้องร่างกายเขาในช่วงนั้น

แต่ถ้าเป็นสตรีอีกคนยอมทำแผลใส่ยาให้  เขาก็คงไม่นึกหงุดหงิด  เพราะนางดูเป็นคนดีมีมารยาท  ต่างจากสตรีที่ใส่ยาให้

จิ่นหรงยืนครุ่นคิดอยู่นาน  กระทั่งเสียงด้านนอกดังขึ้น

“รัชทายาทได้เวลาดื่มสุรามงคลแล้ว  เชิญเสด็จเพคะ”

สองคนสนิทหันมองหน้ากันเล็กน้อย  ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยืนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

“หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ” เสียงพึมพำเปล่งออกมา

“ไปพบหน้านางก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ  ไม่แน่นางอาจจะเป็นสตรีที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ก็ได้”

“อี้ฟาน!  เจ้าอ่านบทละครมากไปจนคิดว่านี่คืองิ้วที่เจ้าเคยดูมาหรือ”  จินเฉิงตำหนิเสียงดัง

“ข้าก็แค่ปลอบรัชทายาทก็เท่านั้น” อี้ฟานยิ้มแหย

“พอแล้ว!  อย่าได้มาทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระ  ข้าจะไปพบนางและจะทำข้อตกลงกัน”  สิ้นคำร่างสูงก็เดินออกจากห้อง  ตรงไปยังตำหนักอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

แต่กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านบึงบัวและสวนแมกไม้อันโอ่อ่าใหญ่โต  ตามฐานะรัชทายาทของแคว้น

เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนัก  เขาก็หยุดสูดลมหายใจ  พอดีที่ประตูนั้นเปิดออก  เผยร่างชายหนุ่มสองคนเดินออกมา

“นี่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” ต่างฝ่ายต่างก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน  คนสนิทรัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นก่อน

“บังอาจ!  นี่รัชทายาทจิ่นหรง  พบพระพักตร์แล้วเหตุใดไม่ทำความเคารพ”  จินเฉิงคำรามใส่ชายหนุ่มทั้งสอง

“ระ…รัชทายาทหรือ”  หานฟู่ยังคงมึนงง จนสหายอีกคนต้องรีบดึงให้เขาคุกเข่าลงเพื่อลดการลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้น

“ลุกขึ้นเถิด  คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด”  จิ่นหรงกล่าวเสียงอ่อน

‘สองคนนี้มาอยู่ที่นี่  เช่นนั้นด้านในก็’  ใจที่เคยว้าวุ่นเต็มไปด้วยความกังวล  บัดนี้กลับเต้นแรงเพราะความหวังที่ประดังเข้ามา  เพียงเท่านั้นสองขาเขาก็รีบก้าวเข้าไปอย่างมั่นคง

 

 

 

 

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   19. ตามทุกที่

    สองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   18. สืบเองง่ายกว่า

    นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   17. คนขี้งอน

    หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   16.ใครเป็นใหญ่

    หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   15. สะกดจิต

    ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   14. ภรรยาแสนดี

    จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status