สวีลู่ชิงฟังเรื่องราวจากบุตรชายแล้วคิดหาเหตุผลร้อยแปดประการสนับสนุนการตัดสินใจของตนเอง ทั้งยังปรึกษาหารือกับเทพวายุผู้เป็นพี่ชายรวมถึงสมุนมารทั้งสามอีกด้วย
นางอยากรู้ว่าสิ่งที่นางคิดทำต่อไปนี้จะเกิดผลกระทบมากน้อยเพียงใดจนได้ข้อสรุปสุดท้าย
เทพดาราพาจอมมารไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเขตแดนสวรรค์ เอ่ยถามความในใจของอีกฝ่ายไม่อ้อมค้อม “เจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า”
“...” ดวงตาสีม่วงแดงเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย “ทำไมถึงต้องพาข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเล่า”
“ข้าจำเรื่องราวของตัวเจ้าในอดีตไม่ได้เลย ด่านเคราะห์ครั้งแรกข้ายังจำทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเจ้าร้ายกาจเสียจนข้าอยากลืมเลือนหรือ”
คำพูดของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนกระอักเลือด รู้อยู่แก่ใจว่านางลืมเขาเพราะเหตุอันใด
“แม้ขอร้องให้ต่างคนต่างอยู่ เจ้ากลับไม่ยอม เอาแต่คิดว่าข้าคือภรรยาอยู่ร่ำไป เจ้าไม่คิดว่าอดีตก็ควรปล่อยให้เป็นอดีตหรอกหรือ”
“เหตุใดจึงพูดราวกับคิดตัดขาดข้าเช่นนั้น ลู่ชิง” น้ำเสียงของเขาเศร้าสลดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ สายตาอ้อนวอนราวกับบ่งบอกว่าไม่มีวันที่เขาจะตัดใจไม่ข้องเกี่ยวกับนางได้
“เจ้าให้สัญญาแล้วใช่หรือไม่ว่าจะไม่ก่อเรื่องราวที่เป็นภัยต่อสามภพ”
“ข้าสัญญา” เขาพยักหน้ายอมรับ “ข้าไม่อยากให้เจ้าแตกสลายเพราะข้ารักเจ้า”
“ตรงนั้นแหละที่เป็นปัญหา” เทพดาราส่ายหน้าด้วยความหนักใจ “เจ้าอาจจะสับสนเพราะข้าเหมือนกับนางกระมัง แต่คนที่เจ้าผูกพันคือเยว่ชิง ไม่ใช่ข้า”
“...”
“เพราะเหตุนั้น ข้าจึงพาเจ้ามาที่ผาหลบตะวัน”
“...” กงจื่อเย่ยังคงนิ่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญอันใด
เทพดาราหันมามองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง จับมือพาอีกฝ่ายเดินไปที่หน้าผาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้ารักษาสัญญาว่าจะไม่ทำลายสามภพเหมือนในอดีต หากต้องการให้ข้าตอบรับความรู้สึกของเจ้า ข้าทำไม่ได้จริง ๆ วันนี้ข้าจึงคิดตอบแทนเจ้าด้วยสิ่งอื่น”
“ไม่จำเป็นต้องตอบแทนข้าเลยลู่ชิง ข้าเชื่อว่า...”
“หากปล่อยให้เจ้ารู้สึกลึกซึ้งกับข้าเพียงฝ่ายเดียวคงไม่ยุติธรรมกับเจ้า เพราะฉะนั้นหวังว่าเจ้าคงพอใจสิ่งที่ข้าจะทำ”
ทันทีที่พูดจบ สวีลู่ชิงร่ายพลังเทพของตนเองผลักร่างจอมมารลอยลิ่วตกผาหลบตะวันโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว แววตาของเขามองนางด้วยความไม่เข้าใจจนกระทั่งนางเอ่ยปากบอกครั้งสุดท้าย
“หน้าผาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเทพเซียนหรือมารปีศาจ หากตกสู่เบื้องล่างแล้ว ย่อมลืมเลือนความรู้สึกที่ติดค้าง ไม่หลงเหลือแม้แต่เยื่อใย หวังว่าฟื้นขึ้นมาแล้ว เราสองคนคงไม่มีเรื่องจำเป็นต้องพบกันอีก ยกเว้นแต่ว่าเจ้าคิดชั่วร้ายจนข้าต้องกำราบอีกครา”
กงจื่อเย่ถอนหายใจเอ่ยพึมพำ “ข้าไม่อยากลืมเจ้า ลู่ชิง” แต่เวลานั้นกลับทำอันใดไม่ได้แล้ว ร่างมารจึงจมดิ่งสู่ก้นเหวชั่วพริบตา
เก้าวันต่อมา
สวีลู่ชิงกำลังเก็บผลท้อรอบ ๆ หมู่บ้านใส่ตะกร้า ข้างกายมีมารน้อยคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้นางฟังเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยที่ได้อยู่กับมารดา
แม้ไม่เห็นหน้าบิดาหลายวันแล้วแต่ไม่ได้นึกสงสัยอันใดเพราะยังสัมผัสได้เช่นเดิมว่าเขายังคงอยู่ใกล้ ๆ ไม่ไปไหน
“ท่านแม่” มารน้อยเอ่ยเรียก
“เจ้าอยากกินผลท้ออีกหรือ” นางคิดว่าบุตรชายยังไม่อิ่มจึงยื่นให้เขาอีกหนึ่งลูกพลางลูบศีรษะเขาแผ่วเบา
ใบหน้าอีนั่วนับวันยิ่งเหมือนคนผู้นั้นพลอยทำให้อยากรู้ขึ้นมาทันใดว่าเขาเป็นอยู่เช่นไร
“คิดถึงท่านพ่อหรือขอรับ” อีนั่วเอ่ยถามเพราะเห็นนางจ้องหน้าเขาอยู่นาน
ต้นไม้แห่งชีวิตในแก่นวิญญาณมารน้อยสัมผัสได้ว่าลึก ๆ แล้ว นางยังคงคิดถึงเขาอยู่ แม้จะเลือนรางก็ตามที
“ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าตกจากผาหลบตะวันแล้วเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านแม่คิดว่าจะได้ผลหรือขอรับ ท่านพ่อเป็นถึงจอมมารไม่ใช่หรือ” อีนั่วเลิกคิ้วด้วยความสงสัยพลางกินผลท้อไปด้วย
“ในอดีตเคยมีจอมมารผู้หนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าบิดาเจ้านักตั้งใจกระโดดผาหลบตะวันเพราะต้องการลืมคนรักที่เกลียดชังนาง” สวีลู่ชิงค่อย ๆ เล่าเรื่องราวในบันทึกสวรรค์ให้อีนั่วฟัง “สามวันหลังจากฟื้นขึ้นมา นางจำอดีตที่ผ่านมาไม่ได้เลย ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับคนรักไปจนหมดสิ้นราวกับว่าคนผู้นั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่ในชีวิตของนาง”
“สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรต่อหรือ” เจ้าตัวเล็กทำตาใสแป๋วสนใจเรื่องพวกนี้ยิ่งนัก
“นางกลายเป็นผู้นำสงครามฝ่ายมารเผชิญหน้ากับคนรักที่เป็นเทพมังกร การต่อสู้ยืดเยื้อนานหลายปี ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ วันหนึ่งพวกเขาทั้งคู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย สงครามครั้งนั้นจึงยุติลงในทันที”
“แต่ท่านแม่...” คิ้วของเขาขมวดเป็นปมหนักใจเล็กน้อย “อาคมสวรรค์ของผาหลบตะวันอาจจะเสื่อมไปแล้วก็ได้นะขอรับ”
“เหตุใดจึงคิดว่าเป็นเช่นนั้นเล่า” สวีลู่ชิงแปลกใจเพราะนางอ่านบันทึกสวรรค์มาดีแล้ว ไม่ว่าผู้ใดตกลงไป ย่อมสูญเสียความทรงจำและความรู้สึกติดค้างทั้งสิ้น
มารน้อยยิ้มกว้างเพราะต้นไม้แห่งชีวิตของเขายังคงผลิดอกบานสะพรั่งเหมือนวันวาน เอ่ยพึมพำว่า “ข้าคิดว่าไม่ได้ผลจริง ๆ นะขอรับ อีกไม่นานท่านแม่ก็จะรู้ด้วยตัวเอง”
“อีนั่ว เจ้าพูดกำกวมเช่นนี้อย่าบอกข้านะว่าบิดาเจ้าอยู่แถวนี้ด้วย” สวีลู่ชิงหันมองซ้ายขวา ร่ายพลังเทพสำรวจทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านดอกท้อ
รอบตัวนางมีเหล่าเซียนสวรรค์อาศัยอยู่ หากจอมมารปรากฏตัวขึ้น พวกเขาคงร้อนรนว้าวุ่นใจไปแล้ว
“อีนั่ว เล่นอยู่กับท่านลุงสักพักได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องต้องจัดการ” นางบอกมารน้อยแล้วพาไปส่งที่พำนักของเทพวายุ สีหน้าของนางทำให้พี่ชายเอ่ยถาม “กังวลสิ่งใดอยู่เล่า”
“ท่านพี่ ผาหลบตะวัน มีผู้ใดมิอาจลืมหรือไม่”
“ไม่มีทาง หากตกหน้าผาแล้วยังจำได้ก็ลองให้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งดูหรือไม่ก็ลองกระโดดลงไปหลาย ๆ รอบ คงจะได้ผลสักรอบกระมัง” ท่าทางของสวีต้าเฟิงผ่อนคลายเพราะมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรอดพ้นจากสถานที่แห่งนั้นได้
“ข้าจริงจัง ท่านพี่อย่าล้อเล่นได้หรือไม่” นางทำหน้ามุ่ยถูกพี่ชายแกล้งหยอก
“ข้าตอบเจ้าไปแล้วว่าไม่มีทางอย่างไรเล่า เจ้าอย่ากังวลไปเลยลู่ชิง” สวีต้าเฟิงปลอบใจน้องสาว ไม่เข้าใจว่าทำไมนางจึงอยากได้ความแน่ใจนัก
“เฮ้อ” เทพดาราถอนหายใจแล้วเอ่ยปากฝากบุตรชายไว้กับเขาสักครู่หนึ่งก่อนจะหายตัวไปยังผาหลบตะวันในทันที
ครั้นมาถึงหน้าผากลับเห็นจอมมารยืนยิ้มกว้างให้นางเหมือนในวันวาน หัวใจจึงเต้นตึกตักโดยไม่รู้สาเหตุ
“ภรรยา นึกว่าจะไม่มาหาข้าเสียแล้ว” กงจื่อเย่เดินเข้ามาหาอีกฝ่าย พลันรู้สึกอยากกอดนางให้หนำใจ
“เจ้าว่าอันใดนะ” สวีลู่ชิงถามทันควัน “ข้าได้ยินผิดไปใช่หรือไม่”
“เจ้าได้ยินว่าอันใดเล่า ลู่ชิง”
“ข้าได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าภรรยา” นางถอยหลังกรูดสามก้าวทุกครั้งที่เขาขยับเข้าใกล้
“เจ้าได้ยินถูกแล้ว” จอมมารยิ้มเจ้าเล่ห์ “ภรรยาของข้า”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น จอมมารเจ้าเล่ห์คิดหลอกล่อให้ข้าหลงกลอย่างนั้นหรือ” เทพดาราร่ายพลังสีขาวเต็มสองมือเตรียมพร้อมหากถูกโจมตี
ทว่า คนตรงหน้ากลับทำเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเรียกนางด้วยความสนิทสนม “ลู่ชิง ทำตัวห่างเหินเช่นนี้ สามีอย่างข้าน้อยใจยิ่งนัก”
“ยังคงจำได้อยู่หรือ” นางถามเรื่องค้างคาใจพลันคิดไปแล้วว่าอาคมสวรรค์ของผาหลบตะวันเสื่อมสลายเหมือนอย่างที่อีนั่วบอกเอาไว้
“จำได้ทุกเรื่องราว จื่อเถิง เยว่ชิงและลู่ชิง ไม่ว่าเจ้าเกิดเป็นผู้ใด ข้าก็ยังคงจำได้ ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าไม่แปรเปลี่ยน”
“เป็นไปไม่ได้” นางไม่อยากเชื่อสายตาว่าเขาสามารถต้านทานอาคมลืมเลือนได้ “เช่นนั้นดื่มน้ำแกงยายเมิ่งกันเถอะ”
จอมมารหัวเราะลั่น “อืม ผาหลบตะวันอาคมร้ายแรงนักข้ายังไม่ลืม ประสาอะไรกับน้ำแกงยายเมิ่งเล่า”
ทั้งคู่ยังคงถกเถียงกันไปมา รักษาระยะห่างระหว่างกัน คอยดูท่าทีอีกฝ่ายจนท้ายที่สุดแล้วสวีลู่ชิงต้องยอมแพ้
กงจื่อเย่หยอกเอินนางด้วยคำพูดหวานหู
“ลู่ชิง ข้าคิดถึงเจ้า”
“ลู่ชิง ข้าอยากอยู่กับเจ้า”
“ลู่ชิง ข้ารักเจ้า”
หากแต่อีนั่วเติบโตขึ้นมาด้วยความรักของคนทั้งสองแม้จะขาดต้นไม้แห่งชีวิตไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ยังคงสามารถควบคุมความโกรธของตัวเองเอาไว้ได้จอมมารถอนหายใจแต่กระนั้นโล่งใจได้ไม่นานเพราะเทพอาวุโสประกาศกร้าวว่าเขาและอีนั่วคือศัตรู สั่งเพิ่มกองกำลังล้อมตัวและร่ายเขตแดนกักมารสายฟ้าแลบแปลบปลาบยังทำให้กงจื่อเย่ห่วงสวีลู่ชิงไม่แพ้กันจึงเรียกดาบเขี้ยวอสูรมาจัดการพวกที่ขัดขวางเทพวายุจนถอยร่นแล้วส่งตัวอีนั่วให้เขาดูแลก่อนฝ่าเข้าไปใจกลางพายุอสนีบาตเพื่อรับโทษแทนสวีลู่ชิงเขาฉวยโอกาสตอนเทพดารานิ่งงันเพราะสับสนความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาจากต้นไม้แห่งชีวิตของอีนั่ว เรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันผสมปนเปกันจนนางแยกไม่ออกว่าตัวตนใดคือนางกันแน่เวลานั้นสัมผัสได้ว่าใครบางคนกอดนางเอาไว
เทพดาราทนคำพูดประเภทนั้นไม่ไหวจึงหายตัวหนีหน้าจอมมารชั่วพริบตาถึงอย่างนั้นแล้ว เขากลับตามนางมาที่หมู่บ้านดอกท้อด้วยจนเหล่าเซียนแตกตื่นลนลานอยู่ไม่สุขสวีต้าเฟิงนั่งเล่นอยู่นอกชานกับอีนั่วพลันขมวดคิ้วทันใด “อย่าบอกนะว่า...”อีนั่วรู้ว่าผู้เป็นลุงจะพูดว่าอะไรจึงตอบต่อท้ายให้ “ท่านพ่อยังจำเรื่องราวของท่านแม่ได้เหมือนเดิมขอรับ”“เป็นไปไม่ได้” เทพวายุส่ายหน้าแต่กลับเห็นภาพจอมมารพยายามโปรยเสน่ห์ให้น้องสาวโดยไม่สนสายตาใครก็เปลี่ยนความคิดแล้วถามหลานชาย“ข้าสงสัยมานานแล้วว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบิดามารดาเจ้ารู้สึกเช่นไรกับอีกฝ่าย”มารน้อยทำสีหน้
สวีลู่ชิงฟังเรื่องราวจากบุตรชายแล้วคิดหาเหตุผลร้อยแปดประการสนับสนุนการตัดสินใจของตนเองทั้งยังปรึกษาหารือกับเทพวายุผู้เป็นพี่ชายรวมถึงสมุนมารทั้งสามอีกด้วยนางอยากรู้ว่าสิ่งที่นางคิดทำต่อไปนี้จะเกิดผลกระทบมากน้อยเพียงใดจนได้ข้อสรุปสุดท้ายเทพดาราพาจอมมารไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเขตแดนสวรรค์ เอ่ยถามความในใจของอีกฝ่ายไม่อ้อมค้อม “เจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า”“...” ดวงตาสีม่วงแดงเต็มไปด้วยข้อสงสัยมากมาย “ทำไมถึงต้องพาข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเล่า”“ข้าจำเรื่องราวของตัวเจ้าในอดีตไม่ได้เลย ด่านเคราะห์ครั้งแรกข้ายังจำทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเจ้าร้ายกาจเสียจนข้าอยากลืมเลือนหรือ”คำพูดของน
หลังเหตุการณ์ลักพาตัวสิ้นสุดลงเรื่องราวของอีนั่วถูกรายงานให้เทียนจวินได้รับรู้ เหล่าเทพเซียนอาวุโสต่างถกเถียงกันหลายชั่วยามด้วยความเคร่งเครียด หาวิธีควบคุมมารน้อยเพราะเกรงว่าเขาจะก่อความวุ่นวายเหมือนที่บิดาเคยทำสวีต้าเฟิงยังคงปกป้องน้องสาวและหลานชายเหมือนอย่างเคย “ข้ารับรองได้ว่าเขาไม่เป็นภัยต่อผู้ใดขอรับ”“ข้ายืนยันว่าอีนั่วเป็นเพียงมารน้อยธรรมดา หาใช่มารร้ายอย่างที่พวกท่านคิด เขาเป็นเพียงบุตรชายของข้า” สวีลู่ชิงเผชิญหน้ากับเทพอาวุโสเวลานี้ความเห็นถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายแต่ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่ลงความเห็นว่าอีนั่วไม่ควรเพ่นพ่านอยู่ในแดนสวรรค์ อีกทั้งยังต้องมีกองกำลังคอยจับตามองไม่ให้เขาฉวยโอกาสทีเผลอทำร้ายผู้ใดจนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าให
ดินแดนสุญญตาสถานที่ที่อยู่ระหว่างภพมารและภพสวรรค์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าที่รกร้างว่างเปล่าจะมีมารที่มีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนตัวอยู่นับพันปีขณะที่กงจื่อเย่กำลังต่อสู้กับหลิ่งปินเพื่อแย่งชิงเทพดารากลับมา กองทัพสวรรค์ของเทพสงครามและสวีต้าเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมการศึกสงครามในครั้งนี้ในสายตาของเทพเซียนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมองว่าศัตรูที่เป็นภัยต่อสามภพมากที่สุดคือกงจื่อเย่ อดีตจอมมารที่เพิ่งจะสูญสลายไปไม่นานไม่ว่าจะมองอย่างไร ร่างกายและพลังที่สมบูรณ์เกินกว่าที่ควรคงเป็นเพราะเขาเร่งกลืนกินพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ว่าสติยังคงอยู่ครบถ้วนหรือเลือนหายแล้วใช้สัญชาตญาณนำทางอยู่กันแน่“ช้าก่อน” สวีต้าเฟิงออกคำสั่งห้ามทหารสวรรค์เคลื่อนไหวก่อนดูลาดเลาฉากการต่อสู้
เมื่อได้ยินเสียงมารน้อยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลับมาสมบูรณ์ แม้จะพยายามส่งกระแสจิตหาอีนั่วสักเท่าใด เขากลับไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายเลย“มันผู้ใดกล้าทำร้ายลูกเมียข้า” พลังมารชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ความโกรธกราดเกรี้ยวยิ่งทำให้พลังที่อยู่รอบตัวเขากลายเป็นยาพิษชั้นดีบ่อนทำลายสัตว์อสูรทีละนิดจอมมารสูบกลืนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าไปโดยไม่รู้ตัวแทบจะหลงลืมไปชั่วขณะว่าเขาคือผู้ใด พลันลึก ๆ ในใจเหมือนมีสายลมพริ้วไหวพัดผ่านต้นไม้แห่งชีวิตของเขา ดวงตาสีม่วงแดงจึงค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ“เยว่ชิงหรือ” เขาพึมพำสัมผัสความรู้สึกนั้น “เป็นเจ้าจริงหรือ”เขาหลับตาลงปล่อยใจหลงใหลกับสัมผัสอบอุ่นนั้นชั่วขณะ เมื่อพึงพอใจแล้วจึงกลับมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรต
จอมมารที่เหลือเพียงเงาดำจาง ๆเดินทางร่อนเร่กลับภพมารตัวคนเดียว ระหว่างทางคอยสูบกินพลังชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาทีละนิดเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างมารปีศาจของตนเองหากแต่ครั้งนี้ทำไปเพื่อกลับคืนร่างเดิมให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ปกป้องครอบครัวเวลานั้นเขาลืมนึกไปเลยว่าตำแหน่งผู้ปกครองภพมารสามารถสั่นคลอนได้ทุกเมื่อ มัวแต่เป็นห่วงกลัวว่าสวีลู่ชิงจะถูกอสนีบาตจนแหลกสลายจึงรีบไปห้ามนางถ้าครั้งนี้กลับมาได้คงต้องวางแผนจัดการไม่ให้มีมารปีศาจตนใดคิดกระด้างกระเดื่องอยากชิงพลังอันกล้าแกร่งของอีนั่วหรือทำร้ายเขาแม้ว่าจะต้องสลายไปอีกครั้งเพราะกฎของสวรรค์ที่มารปีศาจอย่างเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ กงจื่อเย่คิดแล้วว่าแปลงร่างเป็นนกน้อยอยู่กับนางและลูกไม่ได้แย่สักเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l