เขา...ผู้เป็นเหมือนหลักให้ยึดเหนี่ยวเพียงหลักเดียวที่มีอยู่ในชีวิต เธอจึงไม่ปฏิเสธจะที่ไขว่คว้า แม้รู้ดีว่า ‘เขา’ ไม่ใช่คนของเธอ ความรัก...มักจะเข้ามาทักทายโดยที่เรายังไม่ทันตั้งตัวเสมอ ทว่าความรักครั้งนี้ไม่ได้เป็นของเธอตั้งแต่ต้น แล้วเธอจะยึดเขาเอาไว้ให้ทุกอย่างเป็นสิทธิ์ของเธอโดยสมบูรณ์ หรือปล่อยให้เขาจากไป...
view moreเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าบังละอองน้ำ ขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้ม ยามสายฝนโปรยปรายทำให้ตติยะตาค้าง ร่างสูงใหญ่หุ่นสมาร์ทกว่ามาตรฐานชายไทยขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวพรวดตรงไปประตูทางออก แต่ถูกมือบางคว้าต้นแขนเข้าไปกอดไว้ เอนร่างนุ่มนิ่มซบเบียดอกอวบเข้าหาพร้อมกับเอ่ยเสียงหวานจนเขาต้องหันกลับมามอง
“ไปกันโต๊ะโน้นดีกว่าค่ะทิว เพื่อนๆ วีวี่โต๊ะนั้นอยากคุยกับทิวกันทุกคนเลยค่ะ”
เธอออดอ้อนเสียงหวาน ใส่ความเย้ายวนลงไปเต็มที่
ใบหน้าคมมีเค้าของความเป็นเลือดผสมชัดเจนส่งให้โดดเด่นเหนือใครสบตาหญิงสาวชั่วแวบ ก่อนจะหันกลับไปมองยังกระจกด้านนอกอีกครั้ง แต่ก็พบว่าทุกอย่างว่างเปล่า
เธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“ทิวคะ...มัวมองอะไรอยู่ รีบไปเร็วสิคะ เพื่อนวีวี่รอนานแล้วนะ”
สาวสวยเด่นในชุดราตรีสั้นรัดรูปสีดำ เว้าแหว่งทั้งหน้าและหลังพยายามยื้อดึงแขนให้เขาตามมา ชายหนุ่มจึงหันมายิ้มรับและเดินไปกับเธอ ทั้งที่อยากวิ่งออกไปตามหาหญิงสาวคนนั้น
คนที่ไม่ได้เจอกันมานานนับห้าปีเต็ม
===================
เย็นวันหนึ่งที่สายฝนพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ร่างสูงซึ่งกำลังวิ่งฝ่าสายฝนเปียกปอน เสื้อนักศึกษาสีขาวที่คล้องด้วยเนกไทและคลายออกจนหลวมชุ่มไปด้วยน้ำแนบผิวเนื้อที่มีมัดกล้ามชนิดที่หญิงสาวคนไหนเห็นก็ต้องเขม้นมองด้วยใจวาบหวิว
แต่เมื่อวิ่งผ่านอาคารของคณะนิติศาสตร์ เพื่อไปยังลานจอดรถด้านหลังมหาวิทยาลัย เม็ดฝนบริเวณรอบตัวเขาก็ห่างหายทั้งที่ฝนยังตกอยู่ ชายหนุ่มชะงักหยุดฝีเท้า ใบหน้าขาวเข้มแบบผสมผสานเชื้อชาติยุโรปกับไทยไว้ได้อย่างลงตัวเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นว่าเหนือหัวเขาถูกบังด้วยผืนร่มสีฟ้าใส พร้อมๆ กับมีเสียงสดใสดังขึ้นข้างตัว
‘จะรีบไปไหนน่ะ ยืมร่มเราไปใช้ก่อนไหม’
สายตาคมสีน้ำตาลอ่อนละจากร่มก้มมองตามเสียง พอสบกับดวงตาสีดำขลับแววฉงนสงสัยก็ฉายชัดในตาคู่คม ทว่ารอยยิ้มสดใสที่ออกมาจากริมฝีปากอิ่มสีสวยธรรมชาติ พร้อมกับความใสซื่อจากใบหน้านวลเนียนและตาคู่สวยหวานทำให้เขานิ่งงัน
‘นายรีบไม่ใช่เหรอ เอาร่มเราไปก่อนสิ เราให้ยืม’ หญิงสาวตรงหน้ายังยิ้มและยืนยันเจตนาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
‘แล้ว...เธอจะไปยังไงล่ะ’ เขาถามกลับเสียงเบา มือหนายกขึ้นเสยผมสีน้ำตาลเข้มของตนเองไปด้านหลัง เพื่อให้หยดน้ำที่เปียกลู่ผมไม่ร่วงลงไปโดนหญิงสาวร่างเล็ก
‘ไม่เป็นไร เราไม่รีบ เดี๋ยวนั่งรอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับบ้านก็ได้ ยิ่งฝนตกอย่างนี้รถเมล์ยิ่งแน่น ออกไปช้าหน่อยก็ได้’ คนพูดทำเสียงให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ก้มลงมองคนตัวเล็กอย่างพิจารณา แล้วก็เห็นแต่ความจริงใจส่งผ่านมาจากหญิงสาวซึ่งสูงเพียงแค่อกเขาเท่านั้น เธอเงยหน้าขึ้นเต็มที่ขณะคุยกับเขา และยิ่งอยู่ในร่มคันเดียวกัน ยิ่งทำให้ต้องแหงนเงยหน้ามากขึ้นกว่าเดิม แถมยังต้องยืดมือขึ้นจนสุดแขนเพื่อกางร่มให้เขาอีก นั่นทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า เธอคงเมื่อยคอกับแขนน่าดู มือใหญ่หนาเลื่อนมาจับคันร่มเหนือมือบางก่อนจะพูด
‘ไปพร้อมกันเลยดีกว่า เราช่วยถือให้’
คนฟังหน้าเหวอเล็กน้อย อ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่างแต่เขาไม่สนใจ ใช้มืออีกข้างดันแผ่นหลังบอบบางให้ก้าวนำหน้าเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยแล้วเดินตามติดไปในร่มคันเดียวกัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด แต่เมื่อเขายิ้มให้เธอก็ฉีกยิ้มตามแล้วเอ่ยพูดในสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจ
‘ขอบใจนะ’
‘ขอบใจทำไม เราต่างหากที่ต้องขอบใจเธอ’
‘ขอบใจที่นายช่วยเราถือร่มไง สบายดี ไม่เมื่อยมือด้วย’
พูดจบก็ยิ้มกว้างให้อีกครั้ง จนชายหนุ่มที่มักจะต้องวางมาดดูดีเป็นสุภาพบุรุษเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวๆ รู้สึกเก้อขึ้นมานิดๆ กับคำพูดที่ออกมาจากใจจริงนั้น
‘บ้านเธออยู่ไหนเหรอ เดี๋ยวเราไปส่งให้’ เขาเอ่ยปากเมื่อมาถึงลานจอดรถและรถของเขาก็อยู่ไม่ไกล
‘อย่าเลย เกรงใจน่ะ บ้านเราอยู่ไกล’
นี่เป็นอีกครั้งที่ได้ยินประโยคซึ่งไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะมันไม่เสแสร้งแกล้งทำให้เขาสนใจ แต่เห็นชัดว่ามันออกมาจากใจผู้พูดโดยไม่ได้กลั่นกรองให้ดูสวยงาม เอาใจเขา หรือว่าเล่นตัวเลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงคนนี้...ชักน่าสนใจแฮะ
‘ไม่เป็นไร ฝนตกยังไงรถก็ติดอยู่แล้ว ถนนที่ไปบ้านเราเป็นอัมพาตแน่เพราะต้องแย่งกันออกนอกเมือง กว่าจะถึงบ้านก็ใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไปส่งเธอก็เหมือนได้ขับรถเล่น จะได้ไม่นั่งหงุดหงิดอยู่ในรถคนเดียว’
‘เอ่อ...’
ชายหนุ่มไม่ฟังเสียงปฏิเสธอันใด ถือวิสาสะดันแผ่นหลังของหญิงสาวให้ไปที่รถของตนเองอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ
‘เอาน่า...เราจะไม่บอกไอ้โอมเด็ดขาด ว่าแอบไปส่งแฟนมันถึงบ้าน’
‘บ้า! เรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนโอมนะ!’ เสียงที่เคยสดใสแว้ดขึ้นทันที
ทั้งคู่หยุดยืนเมื่อถึงประตูรถด้านข้างคนขับ ดวงตาสวยหวานวาววับจ้องหน้าเขาเขม็ง แต่เห็นชัดว่าแก้มเริ่มมีสีระเรื่อ คนตัวสูงทำหน้าไม่เชื่อถือ พร้อมกับกดรีโมตเปิดทั้งที่ยังจ้องหน้านวลใสอยู่ ก่อนจะยักไหล่แล้วหันไปเปิดประตู
‘อ้าว...ยังไม่ได้เป็นเหรอ’
เขาเอ่ยขึ้นขำๆ กับท่าทางของคนตัวเล็ก แล้วก็ได้ค้อนกลับมาหนึ่งขวับก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นไปนั่งในรถอย่างกระแทกกระทั้น ชายหนุ่มที่ยังกางร่มอยู่ด้านนอกโน้มลงไปแซวต่อ
‘งั้นถือซะว่า เราซ้อมเป็นว่าที่เพื่อนของแฟนไปส่งแล้วกัน เพราะถ้าเธอตกลงคบไอ้โอมเมื่อไหร่ เราจะได้สนิทกันโดยไม่ต้องปรับตัวอะไรมากไง’
เห็นเธอหน้าแดงแจ๋ขึ้นเขาก็ยิ้ม แล้วยืดตัวขึ้นปิดประตูเดินอ้อมไปด้านคนขับ หุบร่มก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ยื่นร่มให้หญิงสาว เขาไม่คิดจะคืนให้แต่แรกตอนเธอเข้าไปนั่ง ทั้งที่ความจริงไม่กลัวเปียกเพราะยังไงตัวก็เปียกอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าต้องรีบหลบให้พ้นมือเล็กๆ ที่กำแน่นนั่นต่างหากจึงรีบชิ่งถอยออกมาก่อน
และวันนั้นเมื่อเก้าปีที่แล้ว ก็เป็นวันเริ่มต้นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอย่างจริงจังระหว่าง...เขากับเธอ
=====
เมื่อชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าลงต่ำอีกครั้ง มือหนาข้างที่กอดร่างนุ่มหอมกรุ่นก็เลื่อนจากแผ่นหลังไปยังสะโพกผาย ปากอุ่นครอบครองกลืนกินอกสวยนอกเนื้อผ้าขณะที่มือนั้นบีบคลึงเนื้อแน่นตรงช่วงสะโพก ส่วนอีกข้างก็ยังคงวนเวียนอยู่บนอกอวบข้างที่ไม่ถูกปากหยักยึดไว้อย่างสนุกมือคนตัวเล็กกลั้นหายใจพร้อมกายสั่นไหว รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำแล้วไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ทำได้เพียงหอบแรง ครางประท้วง สลับกันไปมา แม้แต่จะพูดก็ยังขยับปากแทบไม่ได้เรฟผละออกมาเงยหน้ามองหญิงสาวเพียงนิดก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ยอดอกสีสวยที่มองเห็นผ่านผ้าเปียกชื้นดูล่อตาล่อใจจนเขาอดก้มลงไปหาอีกครั้งไม่ได้ คราวนี้ชายหนุ่มดูดดื่มราวกระหายอยาก หากมือทั้งสองข้างเริ่มลูบไล้สะโพก สีข้าง เอวบาง จนเสื้อตัวใหญ่ของหญิงสาวถลกขึ้นสูง เมื่อมือหนาควานไปเจอก็สอดเข้าไปลูบด้านในพร้อมกับรั้งชุดนอนของเธอสูงขึ้น“คุณเร...เรฟคะ อย่า” ชินานางหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนนี้ หากแรงที่จะขัดขืนนั้นไม่มีเลย“ร่างกายคุณไม่ได้ห้ามผมเหมือนปากคุณ”เขาตอบกลับเธอเบาๆ ชิดยอดอกหญิงสาวแล้วหันไปหาหน้าอกหน้าใจอีกข้างหนึ่ง ปากหยักยังทำหน้าที่ผ่านผ้าผืนบาง โดยที่ม
แสงสีนวลของพระจันทร์ที่เต็มดวงสวยทำให้จิตใจของชินานางดีขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยเธอก็ปลอดภัยแล้ว ปลอดภัยจากแฟนของเพื่อนพยาบาลด้วยกัน ผู้ชายคนนั้นอาสามาส่งเธอหลังจากที่ไปส่งเพื่อนซึ่งเป็นแฟนของเขาที่บ้านก่อนแล้ว และโทรศัพท์ของเธอก็แบตหมดหลังจากโทรหาตติยะจึงไม่สามารถโทรบอกให้ทางบ้านมารับที่บ้านเพื่อนได้ ตอนแรกหญิงสาวกะว่าจะโทรบอกคุณอรพิมตอนที่ว่างแต่งานยุ่งจนเธอลืมกระทั่งถึงบ้านเพื่อนแล้ว เพื่อนเธอเองก็คิดว่าสะดวกจึงเห็นด้วยกับแฟนของตัวเอง เพราะเป็นทางผ่านบ้านเขา ชินานางเห็นว่าจากบ้านเพื่อนมาที่บ้านสวนก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก แล้วผู้ชายคนนี้เธอก็เคยพบเจอตอนที่เขามารับเพื่อนของเธอบ่อยๆ ยังเคยออกไปทานข้าวด้วยกันพร้อมกับเพื่อนเธอด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าคนที่เห็นหน้าคาดตากันจนคิดว่าน่าจะเชื่อใจได้จะทำกับเธอแบบนี้ระหว่างทางบนถนนสายเปลี่ยวอยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็จอดรถแล้วก็บอกว่าชอบเธอมากกว่าเพื่อนของเธอ แล้วก็ยินดีที่จะเลิกกับเพื่อนถ้าเธอตกลงคบด้วย ซึ่งแน่นอนว่าชินานางไม่คิดจะทำแบบนั้น เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เมามากถึงจะดื่มค่อนข้างมาก เพราะดูเป็นคนคอแข็งเอาการ แต่ไม่คิดว่าการปฏิเสธของเธอจะทำให้เขาเ
ร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือกระเป๋าสะพายบ่าของผู้หญิงซึ่งใบค่อนข้างโตกว่าพวกสาวๆ ไฮโซ ชะงักเท้าที่ก้าวเดินอยู่ด้านข้างเรือนไทยเพราะเสียงที่ได้ยิน“ชมพู่บอกว่าคุณนายอมทานข้าวแล้วค่ะ แต่ขอทานในห้องตัวเอง แล้วก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก คุณท่านไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ แค่ขอพักหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น”“แน่ใจหรือแม่จิตต์ว่าเดี๋ยวก็ดีน่ะ โดนทำอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ เด็กคนนั้นใจทำด้วยอะไร ถึงทำกับยัยหนูนาได้ถึงขนาดนี้”เสียงของผู้เป็นแม่ทำให้เรฟกำกระเป๋าในมือแน่นขึ้น ดูเหมือนท่านจะเชื่อมั่นว่าเขาเป็นคนที่แย่เอามากๆ ไม่สิ ต้องบอกว่าเลวระยำสุดๆ เลยทีเดียว“คงต้องรอคุณติวก่อนแหละค่ะ รายนี้มีแต่คุณติวถึงจะยอมเปิดปากพูดอะไร”“จริงสิ ฉันต้องคุยกับตาติวเรื่องนี้ด้วย ต้องเอาเรื่องทั้งคู่ ฉันไม่ยอมจบง่ายๆ แน่ ถ้าคนก่อเรื่องยังทำหน้าเฉยไม่รู้สึกอะไรแบบนี้”“คุณท่านก็...รอถามความจริงกันก่อนเถอะค่ะ แล้วจะเอายังไงก็ค่อยว่ากันอีกที”“งั้นฉันรีบโทรหาตาติวดีกว่า”พร้อมเสียงพูดของคุณอรพิมเรฟได้ยินเสียงเท้าขยับเบาๆ แล้วก็ได้ยินเสียงแม่จิตต์ถาม“แล้วจะให้ดิฉันให้เด็กยกข้าวไปให้คุณเรฟที่บ้านโน้นไหมคะ ปกติเห็นกลับมาคนเดียวก็ไม่มาทานข้า
ไม่นานรถของเรฟก็มาจอดหน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่ เพราะเขาขับเร็วมากเนื่องจากยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นกับเรื่องที่เพิ่งพบเจอ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโกรธได้มากมายขนาดนี้เพียงแค่น้องสาวนอกไส้จะถูกข่มขืน ถึงแม้จะมาช่วยเธอได้ทันแต่ชายหนุ่มก็ยังโมโหอยู่ดี ไม่รู้เธอโดนไอ้หมอนั่นทำอะไรไปบ้างก่อนที่เขาจะมาถึง ยิ่งคิดเรฟก็ยิ่งกำมือรอบพวงมาลัยแน่น ขณะมองหญิงสาวขยับตัวช้าๆ ลงจากรถไปพร้อมเสื้อสูทของเขาคนที่อยู่ในบ้านนี้แทบทุกคนวิ่งลงมาหน้าบันไดบ้าน เพราะวันนี้พวกเขากลับถึงบ้านผิดเวลาไปมาก คุณอรพิมถามทันทีเมื่อเห็นลูกสาว“ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกอย่างนี้จ๊ะยัยหนู แม่โทรหา...” เสียงของท่านเงียบไปเมื่อเห็นสภาพลูกสาวคนโปรด“ว้าย! คุณหนูนา ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นคะ” แม่จิตต์วี้ดว้ายตามขึ้นมาชินานางไม่ได้ตอบคำถามใครนอกจากร้องไห้หนักมากขึ้น ขอตัวอยู่คนเดียวแล้ววิ่งขึ้นบ้านไป ส่วนคุณอรพิมนั้นพุ่งสายตาไปยังคนที่เพิ่งจะก้าวลงจากรถมา เพราะเรฟคิดว่าเขาควรลงมาไหว้ผู้ใหญ่ หรือตอบคำถามของพวกท่านแทนหญิงสาวที่คงยังไม่อยากพูดอะไรกับใคร ทว่าพอชายหนุ่มยกมือไหว้ ร่างอวบของคุณอรพิมก็ก้าวพรวดเข้าไปหาเขาแล้วก็ตวัดมือกร
รถของเรฟมาถึงทางเลี้ยวเข้าถนนที่จะตรงไปยังบ้านสวนก่อนหน้าตติยะโทรมาบอกว่าเขาไม่ต้องไปรับชินานางเพราะเธอจะไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนและเพื่อนเธอจะมาส่งเอง ส่วนตติยะไม่กลับบ้านสวน เรฟจึงกลับมาคนเดียวและไม่มีใครตามมา เขารู้เพราะคนของเขาที่คอยตามสังเกตมาด้วยห่างๆ รายงานมาอย่างนั้นถ้าเรฟรู้ก่อนหน้านี้ว่าตติยะจะไม่มาค้างที่นี่ วันนี้เขาก็จะอยู่ที่ทำงาน ไม่หอบทุกอย่างกลับมาแน่ พอบ่นว่าทำไมไม่โทรมาบอกเขาเร็วกว่านี้ ทางนั้นกลับตอบว่ามัวแต่ทำอาหารอยู่ พอเขาเย้าเพราะไม่เคยเห็นทำอาหารให้ภรวี ตติยะก็บอกเพียงว่าไม่ได้อยู่กับภรวี อยู่กับเพื่อนอีกคนที่บังเอิญเกิดเรื่องที่บ้านจึงไม่อยากให้อยู่คนเดียว แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดมากกว่านั้น หากเรฟก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนคนสำคัญมากๆ เลยทีเดียว ก็ปกติตติยะเคยเอาใจใส่ใครอื่นที่ไหนนอกจากคนในครอบครัวชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ็ง จะขับรถกลับตอนนี้ก็เหนื่อยเปล่าแล้วรถคันใหญ่วิ่งเข้ามาในถนนลูกรังด้วยความเร็ว ตั้งแต่ได้รับบทเรียนในวันแรกที่มาที่นี่เรฟก็เปลี่ยนไปใช้รถโฟร์วีลของเวลเลโอขับมาที่นี่แทน อีกค่อนข้างไกลเหมือนกันกว่าจะถึงทางเลี้ยวเข้าบ้า
เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่เพิ่งอาบน้ำเรียบร้อยก็ชั่งใจว่าควรจะเปิดดีหรือไม่ แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะกับเสียงเรียกตามมาอีกที“แซนด์อาบน้ำเสร็จหรือยัง ติวทำข้าวผัดอร่อยๆ เอาไว้ให้แล้วนะ”ในที่สุดเอื้อมธารก็ถอนหายใจแล้วเปิดประตูออกมาเห็นคนร่างสูงใหญ่ยิ้มให้ก็ยิ้มตอบนิดๆ ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยมีผู้ชายมาอยู่ที่บ้านด้วยอย่างนี้ ตติยะเบี่ยงทางให้ร่างบางในชุดนอนลายตุ๊กตาแขนยาวขายาวก้าวออกจากห้อง ตัวที่เฉียดกันเล็กน้อยทำให้ใบหน้าเนียนร้อนซู่แปลกๆ แต่ก็รีบเดินนำเขาเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นแล้วชวนอีกฝ่ายพูดคุยแก้ความขัดเขิน“ตกลงคุณ เอ่อ...ติวจะอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ”“อือ...คืนนี้ติวปล่อยให้แซนด์อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ห่วงตายเลย”“เอ่อ...แต่ว่าไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรเลยนะ”“ใส่ชุดนี้ก็ได้ ช่างเถอะ เรื่องเล็ก”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่อนาทรพร้อมกับเดินเอามือล้วงกระเป๋าสองข้างก้าวลงบันไดตามหญิงสาวไปเรื่อยๆ กลิ่นแป้งอ่อนๆ ที่โชยจากร่างบางซึ่งเดินนำ ก่อให้เกิดความวาบหวามในอกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เท้าของตติยะชะงักหยุดทันควัน เขาเป็นอะไรไป...ร่างสูงใหญ่ทิ้งระยะห่างออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นเ
Mga Comments