หน้าหลัก / รักโบราณ / วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด / บทที่ 6 ความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์

แชร์

บทที่ 6 ความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์

ผู้เขียน: เทียนสื่อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-22 12:00:22

ฤดูฝนสิบปีก่อน หยาดน้ำฝนกำลังตั้งท่าจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเหตุให้อากาศร้อนอบอ้าว ที่หน้าศาลาของวัดร้างบนหุบเขาปรากฏร่างเด็กหญิงกำลังยืนตัวสั่นระริก ริมฝีปากบางซีดขาวไร้เลือดฝาดเพราะความหนาวเหน็บ ตอนนี้เวลาล่วงเข้าใกล้ยามโหย่ว [1] เสียงหรีดหริ่งเรไรกังวานก้องทั่วทั้งบริเวณ พริบตาผืนฟ้าที่ย้อมสีหม่นก็เทกระหน่ำหยาดพิรุณให้ร่วงหล่นลงมาอย่างบ้าคลั่ง

ซ่า…

ละอองฝนซะสาดเข้าใบหน้าจนรู้สึกไม่สบายตัว นัยน์ตากลมกลอกมองไปยังทางเข้าโถงกราบไหว้ที่ห่างออกไปอย่างนึกลังเล เพราะเพียงก้าวเท้าออกจากที่กำบัง ก็สามารถทำให้เปียกชุ่มไปทั้งร่าง 

เด็กหญิงอายุห้าหนาวจดจ้องเป้าหมายไม่วางตา ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง หากเปียกโชกไปทั้งตัวจะต้องถูกมารดาดุเป็นแน่ ทั้งที่ถูกกำชับแล้วว่าอย่าออกมาเล่นนอกโถงกราบไหว้ ทว่าเด็กน้อยกลับไม่เชื่อฟัง ความรั้นเป็นเหตุ 

เด็กตัวเล็กทรุดกายลงเกาะเข่าหน้าสลด มือเล็กเขี่ย ๆ ใบไม้ที่ปลิวเข้ามาเพื่อฆ่าเวลา ริมฝีปากบางขยับแผ่วบ่นให้ตัวเองขมุบขมิบ “ช่างเถิด ทนอีกหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฝนก็คงหยุด ใครให้เจ้าดื้อเช่นนี้เล่า เซียงเซียง”   

ปั๊ก! 

“โอ๊ย” 

มือเล็กยกขึ้นกุมศีรษะ หัวของนางสั่นคลอนแทบหงายท้องตึง “ผู้ใดกัน!” 

ซ่า...

เด็กหนุ่มร่างสูงวิ่งฝ่าฝนเข้ามา เมื่อครู่เร่งรีบไปนิดทำให้เท้าของเขาเตะเอากิ่งไม้แห้งไม่ตั้งใจ กระทั่งมันลอยละลิ่วกระทบศีรษะของคนตัวเล็กที่นั่งหน้าบูดเบี้ยวเพียงลำพังอยู่ในศาลา 

“ยัยตัวเล็ก พี่ขอโทษนะ เมื่อครู่พี่ไม่ได้ตั้งใจ” 

เด็กหญิงหน้าจิ้มลิ้มเชิดคางหนี “เชอะ! ท่านมองไม่เห็นหรือ ข้านั่งอยู่โทนโท่” นิ้วเล็กชี้ไปบริเวณหน้าผากที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ “ท่านดูสิเจ้าคะ แดงหมดแล้ว หากท่านแม่ของข้าเห็นจะต้องตำหนิเป็นแน่ ท่านต้องบอกว่าข้ามาเล่นสนุกจนไม่รู้จักดูแลตัวเอง” 

เด็กหนุ่มยิ้มแหยเพราะรู้สึกผิด “พี่ขอโทษเจ้าด้วย เช่นนั้นขอพี่ดูแผลของเจ้าหน่อย” 

เท้าสูงก้าวไปเบื้องหน้า เด็กหญิงตัวเล็กไม่ทันปฏิเสธ มือเย็นเฉียบที่เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำก็คว้าหมับไปยังศีรษะเล็ก เพราะเด็กหญิงตัวเล็กไป หนุ่มน้อยจึงอุ้มอีกฝ่ายจนตัวปลิว

“อ๊ะ! พี่ชายท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”

เสียงที่เพิ่งแตกหนุ่มขบขัน “ยัยเปี๊ยก ตัวเท่าลูกสุนัขก็รู้จักหวงตัวแล้ว ข้าก็จะดูบาดแผลให้เจ้าอย่างไรเล่า” 

เด็กหญิงเบือนหน้าหนี ทว่ากายของนางถูกเขาอุ้มให้นั่งอยู่บนอ้อมแขนแล้ว “ท่านปล่อยข้าลงนะเจ้าคะ ถึงข้าเป็นเด็กแต่ก็แยกแยะออก ท่านแม่บอกว่าห้ามไว้ใจคนแปลกหน้า ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม” 

เด็กหนุ่มหัวเราะครืน “ได้ ๆ เป็นพี่ชายที่ผลีผลามเอง ขอโทษด้วย” 

เด็กหนุ่มหน้าวสันต์อดยิ้มกับความไร้เดียงสาทว่ายังรู้จักระวังตนของเจ้าตัวเล็กไม่ได้ เขาอุ้มนางไปใกล้หินขัดก้อนหนึ่ง ที่สร้างเอาไว้สำหรับนั่งผ่อนคลาย มือที่ยังว่างปัดเศษฝุ่นออกจนสะอาด จากนั้นจึงวางร่างเล็กให้นั่งลงด้วยความแผ่วเบา “เช่นนี้พี่ชายก็ดูแผลให้เจ้าได้แล้วกระมัง” 

เด็กหญิงเม้มปากจนเกิดเป็นเส้นตรง นางรู้สึกว่าตรงหน้าผากมันตึงมาก หากเกิดรอยบวมแดงเกรงว่าตนอาจถูกมารดาดุ นางจึงพยักหน้าให้เขาอย่างจำใจ เด็กหนุ่มยอบกายลง เขาเกลี่ยปอยผมที่ระหน้าผากน้อยออก 

“แดงหมดแล้ว ดีที่พี่พกโอสถทาแผลภายนอกมาด้วย เจ้าอดทนหน่อยนะ” 

ขาน้อย ๆ เขย่าไปมา “เจ้าค่ะ” 

มือกว้างหยิบขวดหยกขนาดเล็กออกมาจากสาบเสื้อ เขาบรรจงทาแผลให้อีกฝ่ายแผ่วเบา 

“เจ็บหรือไม่” เสียงทุ้มกล่าวด้วยความเป็นห่วง 

ใบหน้าอันจิ้มลิ้มแปรผันเป็นเหยเกเสียแล้ว ทว่านางกลับเลือกส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ” 

คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ต้มตุ๋นน้อย เจ็บก็บอกเจ็บสิ” เขาหัวเราะขบขันจากนั้นก็เป่าลมเย็น ๆ ลงกลางหน้าผากอีกฝ่าย 

พริบตาหมอกจาง ๆ ก็ปรากฏพร้อมเสียงเรียกของใครบางคน...

“...พี่ชาย”

“แม่นาง แม่นาง เป็นอะไรหรือไม่” 

ไป๋เฉินเซียงลุกพรวด เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง “ที่นี่คือ…”

นักพรตน้อยอายุราวสิบสี่ยิ้มบาง “ที่นี่เป็นโถงรับรองของวัดเฉินหลิง”

ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า ตริตรองครู่หนึ่งก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว “เช่นนี้เอง ท่านเป็นคนช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ” 

นักพรตน้อยพยักหน้า เขาเหลียวมองไปยังหัวเตียง ไป๋เฉินเซียงมองตามจึงพบว่ามีถ้วยกระเบื้องเคลือบที่เต็มไปด้วยน้ำสีขุ่นคล้ำอยู่เกินครึ่ง 

ไป๋เฉินเซียงขยับปากมุบมิบ “โอสถงั้นหรือ”

นักพรตน้อยตอบ “นั่นเป็นโอสถบำรุงกำลังของท่านอาจารย์ แม่นางดื่มเสียสิโอสถนี่จะช่วยคลายความหิวให้เจ้าได้ ดูแม่นางคงไม่ได้กินดื่มอะไรเลยมาทั้งวันจึงหมดสติไป หากเรี่ยวแรงกลับมาแล้วก็เชิญแม่นางไปพบท่านอาจารย์กับข้าเถิด” 

ไป๋เฉินเซียงมึนงงเล็กน้อย แต่ในเมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ย่อมไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป 

ความฝันเมื่อครู่...เป็นเขาสินะ ไม่รู้จะได้พบกันที่นี่อีกหรือเปล่า 

คิ้วสวยขมวดแน่น ไป๋เฉินเซียงไตร่ตรองถึงภาพฝันอันเลือนรางก็เกิดปวดศีรษะขึ้นกะทันหัน 

“แม่นาง ท่านไม่วางใจหรือ โอสถนี่…” 

“ข้าดื่ม ๆ ข้าวางใจเจ้าค่ะ” 

ไม่ทันจบประโยคมือเรียวก็คว้าหมับไปยังถ้วยกระเบื้องด้านหน้า จากนั้นยกซดของเหลวด้านในจนเกลี้ยงชาม ไป๋เฉินเซียงหน้าบิดเบี้ยวทำท่าจะขย้อนสิ่งนั้นออกมาเสียให้ได้

“ขมหรือ”

ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง “เล็กน้อยเจ้าค่ะ”

“แม่นางคงเคยได้ยินคำว่าหวานเป็นลมขมเป็นยากระมัง ทว่านิสัยวางใจผู้อื่นรวดเร็วเช่นนี้ไม่นับว่าดีเท่าใดนัก หากข้าเป็นผู้ประสงค์ร้ายป่านนี้ท่านคงลงปรโลกไปเสียตั้งนานแล้ว” 

ไป๋เฉินเซียงตาโต ที่นักพรตน้อยรูปนี้เอ่ยมาก็จริง ดูเหมือนนางเร่งร้อนผูกมิตรจนเกินไป 

“ขออภัยเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้” ไป๋เฉินเซียงลดมองอาภรณ์บนเรือนร่าง มือหนึ่งด้านยกขึ้นคลำศีรษะก็บังเกิดอาการฉงน 

เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นสตรี

ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจผู้อื่นได้ “ไม่ต้องกังวล ตอนสังเกตชีพจรของแม่นาง อาจารย์ก็ทราบทันทีว่าแม่นางมีพลังหยินในร่างกาย” 

ไป๋เฉินเซียงพยักหน้าหงึกหงัก “อาจารย์ของท่านเก่งกาจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเขาคือ ท่านนักพรตติง ติงรุ่ยฉีหรือไม่” 

“ไม่ผิด แม่นางรู้จักท่านอาจารย์ด้วยหรือ”

ไป๋เฉินเซียงฉีกยิ้มกว้างแทนคำตอบ ครั้งล่าสุดที่นางเคยพบอาจารย์หมอหัตถ์เทวดาท่านนี้ก็เป็นเมื่อครั้งเยาว์วัยในชาติก่อน ไม่คิดเลยว่าการดั้นด้นขึ้นเขาครานี้จะได้พบเขาอีกครั้ง 

“เช่นนั้นไปตอนนี้เลย เราไปพบอาจารย์ของท่านกันเจ้าค่ะ”  

ไป๋เฉินเซียงหย่อนเท้าลงพื้นอย่างกระตือรือร้น

“ช้าก่อนแม่นาง ท่านไม่เป็นไรแล้วรึ พักให้หายเหนื่อยก่อน อีกหนึ่งชั่วยามค่อยไปพบท่านอาจารย์ก็ได้” 

“ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ โอสถเมื่อครู่ช่างสรรพคุณเลิศล้ำนัก พริบตาก็เพิ่มกำลังวังชาได้เท่าตัว อิ่มแปล้ประหนึ่งดื่มน้ำค้างแดนเซียน” 

ไป๋เฉินเซียงสาวเท้าออกจากห้องไวปานลมกรด

“ดะ…เดี๋ยว!” 

รั้งไม่ทันแล้ว นางจากไปราวกับรู้เส้นทางเป็นอย่างดี นักพรตน้อยยกมือเกาศีรษะอันไร้เส้นผมของตน เขาตัดสินใจสาวเท้าตามไป๋เฉินเซียงออกมา ไม่น่าเชื่อว่านางจะมุ่งหน้าไปถูกทางจริง 

“แม่นางผู้นี้ เคยมาที่นี่งั้นหรือ” 

วัดเฉินหลิงวางค่ายกลพรางตามาหลายร้อยปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวอายุเพียงสิบห้าหนาวจะทราบที่ตั้งด้วยตนเอง

โถงกราบไหว้อันกว้างขวาง สลักลวดลายงามวิจิตรเอาไว้บนผนัง บริเวณกลางห้องปรากฏนักพรตชรารูปหนึ่งนั่งเข้าฌานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไป๋เฉินเซียงย่องเบาเพราะเกรงจะรบกวนสมาธิของอีกฝ่าย 

“มาแล้วหรือ” เสียงทุ้มดังก้อง 

ไป๋เฉินเซียงสะดุ้งแผ่ว ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ทันลืมตาหรือเหลียวหลังมามองด้วยซ้ำ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่ามีคนยืนอยู่เบื้องหลัง อาจเพราะด้านในเงียบงันมาก เสียงฝีเท้าที่เสียดสีพื้นเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกตัวได้ไม่ยาก เพราะไป๋เฉินเซียงยังได้ยินเสียงลมหายใจของตนดังจนหนวกหู 

นักพรตน้อยที่ตามหลังมาติด ๆ เอ่ยปากพร้อมประสานมือค้อมศีรษะ “ท่านอาจารย์”

ไป๋เฉินเซียงเร่งทำตาม 

“เจ้ามีนามว่าอะไร”

ไป๋เฉินเซียง “ข้าน้อยสกุลไป๋ นามของข้า ไป๋เฉินเซียงเจ้าค่ะ” 

“หืม…สกุลไป๋” นักพรตชราหมุนกายกลับแช่มช้า เปลือกตาเปิดปรือเนิบนาบ  

ไป๋เฉินเซียงสบประสานเข้ากับแววตาดูใจดีของอีกฝ่ายด้วยใจสงบนิ่ง 

นักพรตชรากล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวของซินเอ๋อร์สินะ”

ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาอึ้งงัน “ท่านทราบได้อย่างไร ว่ามารดาของข้าเป็นใคร” 

ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มอบอุ่น พลางถอนหายใจแผ่ว “แม้แต่ท่าทางช่างสงสัยของเจ้า ก็คล้ายกับนางไม่ผิดเพี้ยน”

เชิงอรรถ

^ยามโหย่ว คือช่วง 17.00-19.00 น. 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   ตอนพิเศษ คำอธิษฐาน (1)

    “ถามอะไรของท่าน รักสิเจ้าคะ อันที่จริงข้าไม่ต้องบอกแต่แสดงให้เห็นทุกวันอยู่แล้ว”หลานอี้ซินยิ้ม “นอกจากท่านแม่แล้วก็ไม่เคยไม่มีใครรักและจริงใจกับข้าเช่นเจ้า”ไป๋เฉินเซียงยกมือที่ยังว่างอีกด้านประคองใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ พลางเอ่ยถามเสียงค่อย “หากท่านทุกข์ใจก็ระบายมันออกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าเคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ว่าข้าจะเป็นเทียนที่ส่องสว่างให้ท่านเอง”หลานอี้ซินจรดริมฝีปากลงบนหลังมือขาวเนียน “อันที่จริงข้ารู้ว่าท่านพ่อรักและหวังดีกับข้า ที่เขาไม่ยอมมีภรรยาใหม่เลยก็เป็นเพราะข้า หรือบางทีเขาก็อาจรู้สึกผิดกับท่านแม่”“จริง ๆ แล้วท่านทั้งสองมีเรื่องผิดใจใดกันแน่”หลานอี้ซินยิ้มฝืดฝืน “ตอนนั้นท่านแม่ป่วยหนัก แต่ท่านพ่อก็เอาแต่บ้างาน ส่วนท่านพี่ของข้าก็ไม่คิดมาแยแสแม่ตนเอง อายุสิบเจ็ดก็เอาแต่หนีไปยังหอนางโลม วันนั้นข้าเลยตัดสินใจพาท่านแม่ไปรับการรักษาข้างนอกเพียงลำพัง แต่ก็ไม่มีหมอคนไหนรักษาท่านได้ แล้วก็ได้ยินเรื่องเล่าของวัดเฉินหลิง แม้เป็นเพียงตำนานข้าก็อยากลองเสี่ยงดู จากนั้นไม่นานท่านแม่ของข้าก็อาการดีขึ้น แต่ยื้อไม่นานสุดท้ายท่านก็จากไป ข้าจึงได้รู้ว่านางเป็นไข้ใจเพราะท่านพ่อของข้า ท่านพ่

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   ตอนพิเศษ คำอธิษฐาน (1)

    หอบรรพชนตระกูลหลานควันจากธูปลอยโขมงประหนึ่งหมอกขาว ด้านหน้าเป็นที่ตั้งป้ายวิญญาณของฮูหยินสกุลหลาน“ที่แท้ท่านแม่ของท่านพี่ก็จากไปนานแล้ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”ในชาติก่อนไป๋เฉินเซียงเคยเป็นอนุของหลานจิ้นถงก็จริงทว่าเขาไม่เคยพูดถึงมารดาสักครั้ง หนำซ้ำยังสั่งห้ามเหล่าอนุเข้าใกล้ศาลบรรพชนอีกด้วย อาจเพราะเป็นพื้นที่หวงห้ามที่หลานอี้ซินไว้ใช้สงบใจ หลานอี้ซินยิ้มขมขื่น “ท่านแม่จากไปในตอนที่ข้าเพิ่งเข้ารับราชการทหารใหม่ ๆ ในตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าหนาว นางป่วยหนัก ท่านพ่อก็งานยุ่งมาก ข้าได้ยินมาว่าบนหุบเขาเป็นที่ตั้งของวัดเฉินหลิงในตำนาน จึงพาท่านแม่ไปรักษาตัวที่นั่น”“แต่ที่วัดเฉินหลิงวางค่ายกลไว้แน่นหนา ท่านเข้าไปได้อย่างไร”หลานอี้ซินยิ้ม มือหยาบกร้านลูบศีรษะภรรยารักอย่างทะนุถนอม “เพราะแม่ของเจ้า”ไป๋เฉินเซียงแทบไม่อยากเชื่อหูตนเองหลานอี้ซินเล่าต่อ “ข้าเห็นรถม้าของนางจอดอยู่กลางหุบเขา ทั้งยังมีลูกน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขน เดิมทีนางลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าแม่ของเจ้าคุณธรรมสูงส่งเช่นเจ้าไม่มีผิด”ไป๋เฉินเซียงยิ้ม “ต้องบอกว่าข้าคุณธรรมสูงส่งเช่นท่านแม่ต่างหากเจ้าค่ะ”หลานอี้ซินพยักหน้า “ก็จริง”หล

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 46 บุพเพพระราชทาน (2) (จบ)

    ณ จวนสกุลเว่ย“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าทั้งสองปั่นหัวข้าหรือ” เว่ยเสี่ยวเฉินหน้างอ เขาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างหลานอี้ซินและไป๋เฉินเซียง ทั้งยังแหงนหน้ามองฟ้าดั่งหมดอาลัยตายอยาก“สวรรค์! นี่ท่านรังแกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว ทั้งที่ข้าพบนางในฝันก่อนเขาแท้ ๆ ทว่านางกลับเป็นฮูหยินสหายของข้า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”หลานอี้ซินถอนหายใจ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดบริเวณไหล่แคบแน่นขึ้น “เจ้าพล่ามพอแล้วหรือยัง ใครบอกว่าเจ้าพบนางก่อนข้า”เว่ยเสี่ยวเฉินสะบัดแขนพร้อมทำหน้าบูด “ชิ เจ้าก็พูดได้ มีฮูหยินทั้งสวยทั้งเก่ง แล้วดูข้า ต้องตาเทพธิดาคนหนึ่งทว่าเขาไม่ใช่ของเรา”“เจ้าพูดให้น้อยหน่อย เทพธิดาที่เจ้าว่านั่นฮูหยินของข้ามิใช่หรือ หากเจ้าตัดใจไม่ได้ ข้าจะพานางกลับและจะไม่มาเหยียบเรือนเจ้าอีก” เอ่ยจบหลานอี้ซินก็พยุงไป๋เฉินเซียงลุกขึ้น “ไปเถิดฮูหยิน เช่นนั้นเราไปให้คุณชายถังวาดดีกว่า ดูอารมณ์ของเขาแล้ว คงไม่อาจวาดภาพให้งดงามได้”ไป๋เฉินเซียงหัวเราะคิกคัก สามีของนางกำลังเย้าแหย่สหายไป๋เฉินเซียงกระซิบ “ท่านพี่เล่นแรงไปหน่อยกระมัง”เว่ยเสี่ยวเฉินละล้าละลัง “อย่า อ

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 46 บุพเพพระราชทาน (1)

    ขุนนางในท้องพระโรงตะลึงพรึงเพริดไปตามกัน ต่างก็เหลียวมองไปยังใต้เท้าวูที่ยืนหน้าถอดสีอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ไยต้องการหนังสือหย่า หากเจ้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเปรียบสตรีตัวเล็ก ๆ หรือ นางทำเรื่องใดให้เจ้าไม่พอใจกันเล่า”หลานอี้ซินยังมีสีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งท่าทางตื่นกลัว ทว่าไป๋เฉินเซียงกลับรู้สึกใจเสียไปแล้ว หากเขาต้องการหย่ากับนางไม่จำเป็นต้องทำขั้นนี้ก็ได้บรรยากาศเข้าสู่ความอึมครึม ยามนี้อารมณ์แต่ละคนต่างรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ใต้เท้าวูเองก็สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ไม่น้อย แม่ทัพไป๋หู่กำลังทำเรื่องหยามหน้าขุนนางที่ฮ่องเต้โปรดปรานเข้าให้แล้ว เกรงว่าจากที่ถูกละเว้นโทษตาย กำลังจะเกิดสถานการณ์พลิกกลับไป๋เฉินเซียงกำลังคิดเอ่ยปาก กระนั้นกลับมีเสียงทุ้มดังตัดบท “ทูลฝ่าบาท อันที่จริงเป็นความผิดของลูกสาวกระหม่อมเอง ตระกูลวูขอยอมรับเรื่องการหย่าร้างจากท่านแม่ทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ใต้เท้าวู แต่เดิมท่านเป็นคนรักศักดิ์ศรี และมีเหตุผลอยู่เสมอ ไยตอนนี้ท่านจึงยินยอมให้บุตรสาวถูกหย่าร้าง มิกลัวถูกผู้อื่นครหาหรือ”

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 45 ราชโองการ

    ท้องพระโรงอันโอ่โถงของแคว้นจื่อโจววันนี้ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางทุกลำดับขั้นเข้าเฝ้าเพื่อร่วมยินดีกับชัยชนะจากสงครามหั่วหมิง“ใต้เท้าหลาน” เสียงครั่นคร้ามของโอรสสวรรค์ดังขึ้นหลานหมิ่นฉีสาวเท้าออกมาพลางประสานฝ่ามือและค้อมศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ”“ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้เจ้าคงทราบดี ว่าเป็นเรื่องใด”หลานหมิ่นฉีเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ยามนี้ภายในใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยหมอกขาว กลับกลายเป็นการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เอ่ยต่อ “บุตรชายของเจ้าทั้งสองล้วนมีฝีมือ ทั้งยังสร้างผลงานอันโดดเด่นไว้มาก แต่น่าเสียดาย…”ไป๋จื่อเหิงและเหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างก้มหน้างุดแทบลืมหายใจ ถึงอย่างไรบุตรสาวคนโตของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสกุลหลาน การที่สามีอย่างแม่ทัพชิงหลงก่อกบฏ ย่อมต้องสร้างความสั่นคลอนต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เดิมไป๋จื่อเหิงหวังเกาะตำแหน่งและอำนาจของหลานจิ้นถงเพื่อขึ้นสู่ที่สูง แต่ดูเหมือนเขากำลังถูกผลักให้จมลงบ่อโคลนจนไม่อาจโผล่ศีรษะเพื่อหายใจ“ถึงอย่างไรผู้ก่อกบฏก็ได้รับกรรมตามสมควร” ฮ่องเต้ถอนหายใจ

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 44 สวรรค์บันดาลบุพเพ (2)

    “สรุปแล้วท่านอยากหย่าสินะเจ้าคะ แต่ก็นั่นแหละ ชะตานี้ข้าช่วงชิงมาจากผู้อื่น ย่อมสมควรที่มันจะกลับไปยังเจ้าของเดิม”หลานอี้ซินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จมูกโด่งเป็นสันโน้มลงจรดลงบนปรางแก้มหอมกรุ่น ไป๋เฉินเซียงตะลึงลาน“เด็กโง่ คิดอะไรของเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าลำบาก หากข้าตายไปเจ้าจะต้องอยู่เป็นหม้าย ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจะใช้ชีวิตอิสระได้อย่างไร”ไป๋เฉินเซียงกระเง้ากระงอด พลางบ่นกระปอดกระแปด “ท่านไม่ต้องมาคิดแทนข้า ชิ”“อีกอย่าง ชื่อนั่นก็ไม่ใช่เจ้ามิใช่หรือ”ในหนังสือหย่าเป็นชื่อผู้อื่นก็จริง ทว่าการแบ่งปันทรัพย์สินกลับเป็นชื่อของไป๋เฉินเซียงโดยตรง หากคนอื่นไม่รู้คงได้คิดว่านางเป็นภรรยาลับของเขาแน่แท้ไป๋เฉินเซียงสงบลง กล่าวเสียงค่อย “ก็จริง”“เจ้าลงนามแล้วหรือไม่” หลานอี้ซินถาม“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”นางอยากจะกลั่นแกล้งเขานักว่าลงไปแล้ว อันที่จริงนางแทบเผาหนังสือหย่าเล่มนั้นทิ้งเลยต่างหาก“จะลงหรือไม่ลงก็ย่อมไม่ต่าง”ไป๋เฉินเซียงขมวดคิ้ว วาจากำกวมเช่นนี้เป็นเหตุให้นางใคร่รู้เป็นอย่างมาก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status