ฤดูฝนสิบปีก่อน หยาดน้ำฝนกำลังตั้งท่าจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเหตุให้อากาศร้อนอบอ้าว ที่หน้าศาลาของวัดร้างบนหุบเขาปรากฏร่างเด็กหญิงกำลังยืนตัวสั่นระริก ริมฝีปากบางซีดขาวไร้เลือดฝาดเพราะความหนาวเหน็บ ตอนนี้เวลาล่วงเข้าใกล้ยามโหย่ว [1] เสียงหรีดหริ่งเรไรกังวานก้องทั่วทั้งบริเวณ พริบตาผืนฟ้าที่ย้อมสีหม่นก็เทกระหน่ำหยาดพิรุณให้ร่วงหล่นลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ซ่า…
ละอองฝนซะสาดเข้าใบหน้าจนรู้สึกไม่สบายตัว นัยน์ตากลมกลอกมองไปยังทางเข้าโถงกราบไหว้ที่ห่างออกไปอย่างนึกลังเล เพราะเพียงก้าวเท้าออกจากที่กำบัง ก็สามารถทำให้เปียกชุ่มไปทั้งร่าง
เด็กหญิงอายุห้าหนาวจดจ้องเป้าหมายไม่วางตา ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง หากเปียกโชกไปทั้งตัวจะต้องถูกมารดาดุเป็นแน่ ทั้งที่ถูกกำชับแล้วว่าอย่าออกมาเล่นนอกโถงกราบไหว้ ทว่าเด็กน้อยกลับไม่เชื่อฟัง ความรั้นเป็นเหตุ
เด็กตัวเล็กทรุดกายลงเกาะเข่าหน้าสลด มือเล็กเขี่ย ๆ ใบไม้ที่ปลิวเข้ามาเพื่อฆ่าเวลา ริมฝีปากบางขยับแผ่วบ่นให้ตัวเองขมุบขมิบ “ช่างเถิด ทนอีกหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฝนก็คงหยุด ใครให้เจ้าดื้อเช่นนี้เล่า เซียงเซียง”
ปั๊ก!
“โอ๊ย”
มือเล็กยกขึ้นกุมศีรษะ หัวของนางสั่นคลอนแทบหงายท้องตึง “ผู้ใดกัน!”
ซ่า...
เด็กหนุ่มร่างสูงวิ่งฝ่าฝนเข้ามา เมื่อครู่เร่งรีบไปนิดทำให้เท้าของเขาเตะเอากิ่งไม้แห้งไม่ตั้งใจ กระทั่งมันลอยละลิ่วกระทบศีรษะของคนตัวเล็กที่นั่งหน้าบูดเบี้ยวเพียงลำพังอยู่ในศาลา
“ยัยตัวเล็ก พี่ขอโทษนะ เมื่อครู่พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
เด็กหญิงหน้าจิ้มลิ้มเชิดคางหนี “เชอะ! ท่านมองไม่เห็นหรือ ข้านั่งอยู่โทนโท่” นิ้วเล็กชี้ไปบริเวณหน้าผากที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ “ท่านดูสิเจ้าคะ แดงหมดแล้ว หากท่านแม่ของข้าเห็นจะต้องตำหนิเป็นแน่ ท่านต้องบอกว่าข้ามาเล่นสนุกจนไม่รู้จักดูแลตัวเอง”
เด็กหนุ่มยิ้มแหยเพราะรู้สึกผิด “พี่ขอโทษเจ้าด้วย เช่นนั้นขอพี่ดูแผลของเจ้าหน่อย”
เท้าสูงก้าวไปเบื้องหน้า เด็กหญิงตัวเล็กไม่ทันปฏิเสธ มือเย็นเฉียบที่เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำก็คว้าหมับไปยังศีรษะเล็ก เพราะเด็กหญิงตัวเล็กไป หนุ่มน้อยจึงอุ้มอีกฝ่ายจนตัวปลิว
“อ๊ะ! พี่ชายท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
เสียงที่เพิ่งแตกหนุ่มขบขัน “ยัยเปี๊ยก ตัวเท่าลูกสุนัขก็รู้จักหวงตัวแล้ว ข้าก็จะดูบาดแผลให้เจ้าอย่างไรเล่า”
เด็กหญิงเบือนหน้าหนี ทว่ากายของนางถูกเขาอุ้มให้นั่งอยู่บนอ้อมแขนแล้ว “ท่านปล่อยข้าลงนะเจ้าคะ ถึงข้าเป็นเด็กแต่ก็แยกแยะออก ท่านแม่บอกว่าห้ามไว้ใจคนแปลกหน้า ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม”
เด็กหนุ่มหัวเราะครืน “ได้ ๆ เป็นพี่ชายที่ผลีผลามเอง ขอโทษด้วย”
เด็กหนุ่มหน้าวสันต์อดยิ้มกับความไร้เดียงสาทว่ายังรู้จักระวังตนของเจ้าตัวเล็กไม่ได้ เขาอุ้มนางไปใกล้หินขัดก้อนหนึ่ง ที่สร้างเอาไว้สำหรับนั่งผ่อนคลาย มือที่ยังว่างปัดเศษฝุ่นออกจนสะอาด จากนั้นจึงวางร่างเล็กให้นั่งลงด้วยความแผ่วเบา “เช่นนี้พี่ชายก็ดูแผลให้เจ้าได้แล้วกระมัง”
เด็กหญิงเม้มปากจนเกิดเป็นเส้นตรง นางรู้สึกว่าตรงหน้าผากมันตึงมาก หากเกิดรอยบวมแดงเกรงว่าตนอาจถูกมารดาดุ นางจึงพยักหน้าให้เขาอย่างจำใจ เด็กหนุ่มยอบกายลง เขาเกลี่ยปอยผมที่ระหน้าผากน้อยออก
“แดงหมดแล้ว ดีที่พี่พกโอสถทาแผลภายนอกมาด้วย เจ้าอดทนหน่อยนะ”
ขาน้อย ๆ เขย่าไปมา “เจ้าค่ะ”
มือกว้างหยิบขวดหยกขนาดเล็กออกมาจากสาบเสื้อ เขาบรรจงทาแผลให้อีกฝ่ายแผ่วเบา
“เจ็บหรือไม่” เสียงทุ้มกล่าวด้วยความเป็นห่วง
ใบหน้าอันจิ้มลิ้มแปรผันเป็นเหยเกเสียแล้ว ทว่านางกลับเลือกส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ต้มตุ๋นน้อย เจ็บก็บอกเจ็บสิ” เขาหัวเราะขบขันจากนั้นก็เป่าลมเย็น ๆ ลงกลางหน้าผากอีกฝ่าย
พริบตาหมอกจาง ๆ ก็ปรากฏพร้อมเสียงเรียกของใครบางคน...
“...พี่ชาย”
“แม่นาง แม่นาง เป็นอะไรหรือไม่”
ไป๋เฉินเซียงลุกพรวด เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง “ที่นี่คือ…”
นักพรตน้อยอายุราวสิบสี่ยิ้มบาง “ที่นี่เป็นโถงรับรองของวัดเฉินหลิง”
ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า ตริตรองครู่หนึ่งก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว “เช่นนี้เอง ท่านเป็นคนช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ”
นักพรตน้อยพยักหน้า เขาเหลียวมองไปยังหัวเตียง ไป๋เฉินเซียงมองตามจึงพบว่ามีถ้วยกระเบื้องเคลือบที่เต็มไปด้วยน้ำสีขุ่นคล้ำอยู่เกินครึ่ง
ไป๋เฉินเซียงขยับปากมุบมิบ “โอสถงั้นหรือ”
นักพรตน้อยตอบ “นั่นเป็นโอสถบำรุงกำลังของท่านอาจารย์ แม่นางดื่มเสียสิโอสถนี่จะช่วยคลายความหิวให้เจ้าได้ ดูแม่นางคงไม่ได้กินดื่มอะไรเลยมาทั้งวันจึงหมดสติไป หากเรี่ยวแรงกลับมาแล้วก็เชิญแม่นางไปพบท่านอาจารย์กับข้าเถิด”
ไป๋เฉินเซียงมึนงงเล็กน้อย แต่ในเมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ย่อมไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
ความฝันเมื่อครู่...เป็นเขาสินะ ไม่รู้จะได้พบกันที่นี่อีกหรือเปล่า
คิ้วสวยขมวดแน่น ไป๋เฉินเซียงไตร่ตรองถึงภาพฝันอันเลือนรางก็เกิดปวดศีรษะขึ้นกะทันหัน
“แม่นาง ท่านไม่วางใจหรือ โอสถนี่…”
“ข้าดื่ม ๆ ข้าวางใจเจ้าค่ะ”
ไม่ทันจบประโยคมือเรียวก็คว้าหมับไปยังถ้วยกระเบื้องด้านหน้า จากนั้นยกซดของเหลวด้านในจนเกลี้ยงชาม ไป๋เฉินเซียงหน้าบิดเบี้ยวทำท่าจะขย้อนสิ่งนั้นออกมาเสียให้ได้
“ขมหรือ”
ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้ง “เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“แม่นางคงเคยได้ยินคำว่าหวานเป็นลมขมเป็นยากระมัง ทว่านิสัยวางใจผู้อื่นรวดเร็วเช่นนี้ไม่นับว่าดีเท่าใดนัก หากข้าเป็นผู้ประสงค์ร้ายป่านนี้ท่านคงลงปรโลกไปเสียตั้งนานแล้ว”
ไป๋เฉินเซียงตาโต ที่นักพรตน้อยรูปนี้เอ่ยมาก็จริง ดูเหมือนนางเร่งร้อนผูกมิตรจนเกินไป
“ขออภัยเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะระวังให้มากกว่านี้” ไป๋เฉินเซียงลดมองอาภรณ์บนเรือนร่าง มือหนึ่งด้านยกขึ้นคลำศีรษะก็บังเกิดอาการฉงน
เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นสตรี
ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจผู้อื่นได้ “ไม่ต้องกังวล ตอนสังเกตชีพจรของแม่นาง อาจารย์ก็ทราบทันทีว่าแม่นางมีพลังหยินในร่างกาย”
ไป๋เฉินเซียงพยักหน้าหงึกหงัก “อาจารย์ของท่านเก่งกาจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเขาคือ ท่านนักพรตติง ติงรุ่ยฉีหรือไม่”
“ไม่ผิด แม่นางรู้จักท่านอาจารย์ด้วยหรือ”
ไป๋เฉินเซียงฉีกยิ้มกว้างแทนคำตอบ ครั้งล่าสุดที่นางเคยพบอาจารย์หมอหัตถ์เทวดาท่านนี้ก็เป็นเมื่อครั้งเยาว์วัยในชาติก่อน ไม่คิดเลยว่าการดั้นด้นขึ้นเขาครานี้จะได้พบเขาอีกครั้ง
“เช่นนั้นไปตอนนี้เลย เราไปพบอาจารย์ของท่านกันเจ้าค่ะ”
ไป๋เฉินเซียงหย่อนเท้าลงพื้นอย่างกระตือรือร้น
“ช้าก่อนแม่นาง ท่านไม่เป็นไรแล้วรึ พักให้หายเหนื่อยก่อน อีกหนึ่งชั่วยามค่อยไปพบท่านอาจารย์ก็ได้”
“ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ โอสถเมื่อครู่ช่างสรรพคุณเลิศล้ำนัก พริบตาก็เพิ่มกำลังวังชาได้เท่าตัว อิ่มแปล้ประหนึ่งดื่มน้ำค้างแดนเซียน”
ไป๋เฉินเซียงสาวเท้าออกจากห้องไวปานลมกรด
“ดะ…เดี๋ยว!”
รั้งไม่ทันแล้ว นางจากไปราวกับรู้เส้นทางเป็นอย่างดี นักพรตน้อยยกมือเกาศีรษะอันไร้เส้นผมของตน เขาตัดสินใจสาวเท้าตามไป๋เฉินเซียงออกมา ไม่น่าเชื่อว่านางจะมุ่งหน้าไปถูกทางจริง
“แม่นางผู้นี้ เคยมาที่นี่งั้นหรือ”
วัดเฉินหลิงวางค่ายกลพรางตามาหลายร้อยปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวอายุเพียงสิบห้าหนาวจะทราบที่ตั้งด้วยตนเอง
โถงกราบไหว้อันกว้างขวาง สลักลวดลายงามวิจิตรเอาไว้บนผนัง บริเวณกลางห้องปรากฏนักพรตชรารูปหนึ่งนั่งเข้าฌานด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไป๋เฉินเซียงย่องเบาเพราะเกรงจะรบกวนสมาธิของอีกฝ่าย
“มาแล้วหรือ” เสียงทุ้มดังก้อง
ไป๋เฉินเซียงสะดุ้งแผ่ว ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ทันลืมตาหรือเหลียวหลังมามองด้วยซ้ำ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่ามีคนยืนอยู่เบื้องหลัง อาจเพราะด้านในเงียบงันมาก เสียงฝีเท้าที่เสียดสีพื้นเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกตัวได้ไม่ยาก เพราะไป๋เฉินเซียงยังได้ยินเสียงลมหายใจของตนดังจนหนวกหู
นักพรตน้อยที่ตามหลังมาติด ๆ เอ่ยปากพร้อมประสานมือค้อมศีรษะ “ท่านอาจารย์”
ไป๋เฉินเซียงเร่งทำตาม
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
ไป๋เฉินเซียง “ข้าน้อยสกุลไป๋ นามของข้า ไป๋เฉินเซียงเจ้าค่ะ”
“หืม…สกุลไป๋” นักพรตชราหมุนกายกลับแช่มช้า เปลือกตาเปิดปรือเนิบนาบ
ไป๋เฉินเซียงสบประสานเข้ากับแววตาดูใจดีของอีกฝ่ายด้วยใจสงบนิ่ง
นักพรตชรากล่าว “เจ้าเป็นบุตรสาวของซินเอ๋อร์สินะ”
ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาอึ้งงัน “ท่านทราบได้อย่างไร ว่ามารดาของข้าเป็นใคร”
ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มอบอุ่น พลางถอนหายใจแผ่ว “แม้แต่ท่าทางช่างสงสัยของเจ้า ก็คล้ายกับนางไม่ผิดเพี้ยน”
^ยามโหย่ว คือช่วง 17.00-19.00 น.
นับจากวันนั้นที่ไป๋เฉินเซียงได้พบกับหลานอี้ซิน นางก็ไม่คิดเฉียดกรายเข้าใกล้น้ำพุร้อนยามที่เขามารับการรักษาดวงตาอีก เพราะไม่อยากคอยปิดบังตัวตนให้ต้องอึดอัด และไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนอีกเช่นเดียวกันไป๋เฉินเซียงหนีออกจากจวนสกุลไป๋ได้ร่วมสองเดือนแล้ว ไม่กี่วันมานี้นางได้ลงเขาติดตามนักพรตน้อยเกาจวิ้นเข้าไปในตัวเมือง ภาพที่ประกาศตามหาไป๋เฉินเซียงบ้างเก่าลอกล่อนจนมองไม่ออก บางป้ายประกาศก็ถูกละเลงหนวดเคราเพื่อความสนุก ไป๋จื่อเหิงถอดใจจากการติดตามหานางไปตั้งนานแล้ว เพราะยามนี้ไป๋อีถิงได้เข้าไปเป็นอนุของแม่ทัพชิงหลงเป็นที่เรียบร้อยเดิมทีไป๋เฉินเซียงอยากขออภัยพี่สาวต่างมารดาตนเช่นกัน ไป๋อีถิงต้องตกกระไดพลอยโจนเช่นนี้ก็เป็นเพราะนางดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไป๋เฉินเซียงทราบดีการเข้าไปเป็นอนุที่ท้ายเรือนหวังเหว่ยหาใช่เรื่องน่ายินดี ที่นั่นคืออเวจีบนดินดี ๆ นี่เองแต่นึกดูแล้วที่ไป๋เฉินเซียงต้องถูกผลักไสไปเป็นอนุ ล้วนเป็นแผนการต่ำช้าของหยางปิ่งอี้ทั้งสิ้นกรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง!“ท่านอาจารย์ คุณชายห
“เจ้า…นี่เป็นเจ้าเองหรือ” หลีซงประหลาดใจคิ้วทรงกระบี่ปลายหนาเลิกขึ้น ไป๋เฉินเซียงพบความฉงนปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า มิใช่หลีซงที่ช่วยนางไว้ แต่กลับเป็นนายของเขาต่างหากที่รั้งแขนนางเมื่อครู่ ทั้งที่ดวงตาอีกฝ่ายมองไม่เห็นกระนั้นเขายังสามารถคว้าแขนของไป๋เฉินเซียงไว้ได้อย่างแม่นยำไป๋เฉินเซียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ทะ…ที่แท้เป็นพวกท่าน ดูเหมือนว่าเรามีวาสนาต่อกันจริง”นักพรตน้อยเกาจวิ้นสาวเท้าเข้ามา “พวกท่านรู้จักกันหรือ”ไป๋เฉินเซียงหลุบเปลือกตามองมือหยาบกร้านที่ยังกุมข้อมือของนางไว้แน่น จึงค่อย ๆ ขยับออกอย่างแนบเนียนริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว “อ่า…น้องชายผู้นั้นสินะ”นักพรตเกาจวิ้น “น้องชาย?” เขาเหลียวมองไป๋เฉินเซียงไป๋เฉินเซียงยิ้มแหย “ศิษย์พี่ ไว้ข้าอธิบายให้ท่านฟังทีหลังนะเจ้าคะ” ไป๋เฉินเซียงย้ายสายตากลับไปยังบุรุษตรงหน้า“ไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะมารับการรักษาที่นี่ตอนนี้พวกเราถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอเสียมารยาทถาม คุณชายทั้งสองมาจากที่ใดกันจึงได้เกียรติรับการ
ไป๋เฉินเซียงเพิ่งได้ทราบเดี๋ยวนี้เองว่าแท้จริง ที่นางเดินทางมายังวัดเฉินหลิงได้โดยง่ายเป็นเพราะกำไลข้อมือที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า อีกทั้งมารดาของนางยังฝากฝังไป๋เฉินเซียงไว้กับนักพรตติงรุ่ยฉีตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วในกำไลมีส่วนผสมของไม้กฤษณาหายาก ซึ่งสามารถใช้ทลายค่ายกลพรางตาและนำทางมาจนถึงที่นี่ได้ คาดไม่ถึงว่าชาติก่อนไป๋เฉินเซียงไม่เคยคิดโผล่มายังวัดแห่งนี้เลยสักครั้ง ล่าสุดที่เคยเข้ามาก็ช่วงที่ตนอายุเพียงห้าหนาว ก้าวเท้ามาหนแรกก็ฝันถึงภาพของตนกับพี่ชายปริศนาในวัยเด็กเสียอย่างนั้นจะว่าไปแล้วคงเป็นเพราะสถานะของไป๋เฉินเซียงที่เกิดมาต่ำต้อยด้อยกำลัง ชาติก่อนนั้นจึงยินยอมก้มหัวให้ผู้อื่นรังแกและเหยียบย้ำดั่งเศษธุลี ในเมื่อสวรรค์มอบชะตาชีวิตใหม่ให้แก่นาง เช่นนั้นไป๋เฉินเซียงจึงมาดมั่นจะใช้มันแก้ไขอดีตและทวงคืนความเป็นธรรมให้จงได้ในที่สุดไป๋เฉินเซียงก็ได้กราบไหว้นักพรตติงรุ่ยฉีเป็นอาจารย์ ไป๋เฉินเซียงนับเป็นศิษย์หญิงคนที่สองของเขา แน่นอนว่าศิษย์หญิงคนแรกก็คือมารดาของไป๋เฉินเซียงนั่นเองนักพรตน้อยผู้นั้นแม้อายุน้อยกว่าไป๋เฉินเซียงหนึ่
ฤดูฝนสิบปีก่อน หยาดน้ำฝนกำลังตั้งท่าจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเหตุให้อากาศร้อนอบอ้าว ที่หน้าศาลาของวัดร้างบนหุบเขาปรากฏร่างเด็กหญิงกำลังยืนตัวสั่นระริก ริมฝีปากบางซีดขาวไร้เลือดฝาดเพราะความหนาวเหน็บ ตอนนี้เวลาล่วงเข้าใกล้ยามโหย่ว [1] เสียงหรีดหริ่งเรไรกังวานก้องทั่วทั้งบริเวณ พริบตาผืนฟ้าที่ย้อมสีหม่นก็เทกระหน่ำหยาดพิรุณให้ร่วงหล่นลงมาอย่างบ้าคลั่งซ่า…ละอองฝนซะสาดเข้าใบหน้าจนรู้สึกไม่สบายตัว นัยน์ตากลมกลอกมองไปยังทางเข้าโถงกราบไหว้ที่ห่างออกไปอย่างนึกลังเล เพราะเพียงก้าวเท้าออกจากที่กำบัง ก็สามารถทำให้เปียกชุ่มไปทั้งร่างเด็กหญิงอายุห้าหนาวจดจ้องเป้าหมายไม่วางตา ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง หากเปียกโชกไปทั้งตัวจะต้องถูกมารดาดุเป็นแน่ ทั้งที่ถูกกำชับแล้วว่าอย่าออกมาเล่นนอกโถงกราบไหว้ ทว่าเด็กน้อยกลับไม่เชื่อฟัง ความรั้นเป็นเหตุเด็กตัวเล็กทรุดกายลงเกาะเข่าหน้าสลด มือเล็กเขี่ย ๆ ใบไม้ที่ปลิวเข้ามาเพื่อฆ่าเวลา ริมฝีปากบางขยับแผ่วบ่นให้ตัวเองขมุบขมิบ “ช่างเถิด ทนอีกหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฝนก็
ธรณีทางเข้าวัดเฉินหลิงสูงตระหง่านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงัด เพราะอากาศชื้นอยู่ตลอด อีกทั้งยังผ่านร้อนผ่านลมฝนมาหลายร้อยปี เสาและขอบธรณีจึงเกิดตะไคร้สีเขียวขุ่นเกาะอยู่ บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นทั้งใหญ่และเล็กงอกเงยรวมกันประหนึ่งกำแพงพรางตาวัดเฉินหลิงแต่เดิมก็เป็นวัดที่ปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอก สภาพโดยรอบจึงดูทรุดโทรมลงไปมาก แม้จะเก่าคร่ำคร่าทว่ากลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบและอ่อนโยนดุจดั่งธารานิ่งไร้ระลอกคลื่น ผู้ที่บังเอิญพบเห็นอาจคิดว่าน่าหวาดกลัว แต่สำหรับไป๋เฉินเซียงแล้ว นางรู้สึกว่าที่แห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองป้ายชื่อวัดซึ่งสลักอยู่บนแผ่นศิลาผุพังพลางทรุดตัวนั่งด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เสียงหอบหายใจหนักหน่วงสะท้อนก้องไร้จังหวะ ริมฝีปากบางเฉียบยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ส่งไปจนถึงดวงตาวัดเฉินหลิง ข้ามาถึงแล้วสินะไป๋เฉินเซียงไร้ซึ่งกำลังขาให้ก้าวต่อ นางจึงพักเอาแรงอยู่หน้าประตูชั่วครู่ เพราะเมื่อหลายชั่วยามก่อนต้องวิ่งเท้าเป็นระวิง ทั้งที่กระโดดลงจากรถม้าซึ่งวิ่งเร็วปานลมก
ไป๋เฉินเซียงกระชับห่อผ้าแน่นเมื่อถูกหลีซงไต่สวน นางคว้าเอาข้อแก้ต่างที่คิดได้ออกมาจนหมด “พี่ชายทั้งสอง เช่นนั้นบอกตามตรงว่าข้าน้อยไม่มีเงิน ฐานะบ้านข้าน้อยยากจนข้นแค้นยิ่งนัก เพราะข้าน้อยต้องเร่งเดินทางระยะไกลมากหากให้เช่ารถม้าเองเงินก็ไม่พอ ดังนั้นข้าน้อยเห็นรถม้าของพวกท่านทั้งวิ่งเร็วและน่าค้นหา ซ้ำยังออกจากเมืองเป็นคันแรก ก็เลยคิดว่าอยากลองขอความช่วยเหลือดูสักหน่อย บางที่พวกท่านอาจมีน้ำใจให้ข้าน้อยติดรถไปสักครึ่งทางเผื่อได้ทุ่นแรง แต่หากพวกท่านไม่สะดวก...เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าน้อยจะเร่งลงไปบัดเดี๋ยวนี้”ไป๋เฉินเซียงโกหกหน้าไม่เปลี่ยนสี พลางขยับร่างเพื่อออกจากความอึดอัด แต่แล้วเมื่อแหงนหน้าก็ถึงกับตาถลนเพราะกระบี่ดันพาดใกล้ลำคอเข้ามามากกว่าเก่า“เจ้าคิดอยากมาก็มา คิดอยากไปก็ไปง่ายดายเพียงนี้เชียวรึ” หลีซงขบฟันแน่นแสงสะท้อนจากกระบี่สาดประกายวาววับปะทะเข้าดวงตาจนเกือบมืดบอด“หลีซง อย่าเสียมารยาท” บุรุษผู้น่าเกรงขามยังสาดน้ำเสียงใจเย็นประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็งออกมา“แต่หากคนผู้นี้มีปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไรขอรับ”“จากที่เขาพูด เขา