กบฎนั้นก่อโดยอ๋องเผยอันน้องชายของฮ่องเต้องค์เก่าที่เพิ่งจะสวรรคตไป และนางเองอดีตฮองเฮาต้องหอบหิ้วบุตรชายหนีมาเพราะนางให้กำเนิดเขาเมื่ออายุมากแล้ว ทั้งๆที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะสามารถมีบุตรได้ และแล้วสวรรค์ก็ประทานบุตรชายให้กับนาง
เขาคือองค์รัชทายาท แต่ก็มิอาจจะครองบััลลังฆ์ตามที่ควรจะเป็นได้ เพราะถูกก่อกบฎไปเสียก่อน แต่นางยังมีความหวัง เพราะนางเชื่อเต็มหัวใจว่ายังมีขุนนางและแม่ทัพนายกองมากมายที่ยังภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์เดิม และองค์รัชทายาทที่บัดนี้เติบใหญ่จนสามารถจะกลับไปทวงบังลังฆ์ที่ควรจะเป็นของเขากลับคืนมาได้แล้ว
ส่วนสตรีต่ำต้อยที่เป็นเพียงบุตรีของขุนนางขั้นสามนั่นก็ไม่ได้คู่ควรกับองค์รัชทายาทเช่นหลี่หมิงสักนิด ดีแล้วที่มันแสดงธาตุแท้ออกมาก่อน ตอนแรกนางก็ไม่เห็นด้วยนักที่เขาจะรับบุตรีขุนนางขั้นสามมาเป็นชายา
แต่เมื่อบุตรชายทั้งรักทั้งหลงสตรีนางนั้นมากเหลือเกิน แม่อย่างนางที่รักบุตรชายมากและสงสารในชะตากรรมของเขา ที่ควรจะอยู่ในที่สูงส่งแต่กลับต้องมาลำบากอยู่ปะปนกับชาวบ้านทั่วไปเช่นนี้
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะซ่งหลี่หมิงแท้จริงเขาคือองค์รัชทายาทที่ไม่นานจะต้องได้คืนบังลังฆ์อย่างแน่นอน และเพียงสตรีคนเดียวนั้นถือว่าไม่ควรจะเสียเวลามาคิดถึงด้วยซ้ำ
ขอเพียงเขาได้คืนฐานะของเขา สตรีเป็นร้อยเป็นพันก็พร้อมยอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา อดีตฮองเฮาครุ่่นคิดขณะที่พยุงบุตรชายกลับไปยังเรือนหลังเล็กของตนเอง
ตลอดหลายปีมานี้ นางแค่เพียงสร้างตัวตนว่าเป็นหญิงหม้ายไร้ญาติมิตรและเงินทอง แต่ที่จริงแล้วนางซ่อนโอ่งที่มีเงินทองและทรัพย์สินอยู่จนเต็มเอาไว้ในห้องใต้ดินของบ้านหลังนี้ นางทำทีเป็นรับจ้างเย็บปักแต่ก็เป็นเพียงอาชีพบังหน้า ส่วนที่นางไปรับผ้าจากร้านในเมืองก็เพราะต้องไปรับฟังข่าวจากที่มีขุนนางที่ยังภักดีส่งมาให้กับนางอยู่เสมอ
ส่วนความเป็นอยู่ที่นี่ของนางและองค์รัชทายาทนั้น พวกเขาต่างก็รับรู้ รอเพียงเวลากอบกู้ราชบังลังฆ์กลับคืนมาแล้ว ก็จะมารับนางกับบุตรชายให้คืนกลับวังหลวง
แล้วก็สถาปนาหลี่หมิงขึ้นครองราชย์และมันก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว ขุนนางชั้นปลายแถวผู้นี้นั้นแค่เศษดินติดรองเท้า หากการณ์ใหญ่สำเร็จนางจะจัดการมันทั้งครอบครัวไม่ให้มีแผ่นดินกลบหน้้าของมันก็ยังได้ อดีตฮองเฮาครุ่นคิดขณะที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้บุตรชายและให้เขาดื่มยาแก้ช้ำใน และนางเองก็ทายาสมานแผลให้กับเขาแล้ว
ที่จริงแล้วที่บ้านหลังน้อยแห่งนี้ นางแทบไม่ได้หยิบจับทำอะไร แทบทุกวันจะมีหญิงชาวบ้านที่อดีตเป็นนางกำนัลคนสนิทของนาง แต่แค่แฝงกายอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ทำทีมาเยี่ยมเยียนหรือไม่ก็ทำทีหอบผักหรือไข่มาขายให้กับนาง แต่ที่จริงแล้วก็มาทำงานบ้านและหุงหาอาหาร
บางครั้งก็ไปซื้อหาอาหารที่ตลาดมาเก็บไว้ที่ในครัวให้กับนาง แต่เรื่องนี้แม้แต่หลี่หมิงก็ไม่รู้เพราะเมื่อตอนที่มาพำนักที่เรือนหลังนี้เขายังเด็กนัก และนางก็ไม่อยากจะให้เขามารับรู้ แต่อีกไม่นานนี้นางก็จะต้องบอกความจริงแก่เขา และก็จะพากันคืนกลับวังหลวงในที่อันเหมาะสมของนางกับบุตรชาย
ส่วนหลี่หมิงนั้นทั้งเจ็บกายและเจ็บใจ เขานั้นยอมเจ็บปวดร่างกายเพื่อหงลี่หญิงคนรักได้ แต่ไม่คิดว่านางจะหลอกให้เขารัก นางเพียงคิดจะหลอกเขาเล่นๆ ไม่ได้คิดจะจริงจังกับเขา
นางช่างเป็นสตรีแพศยานัก ร่านรักถึงขนาดยอมทอดกายให้เขาเชยชมเล่น แต่กลับมาบอกเขาว่านางแค่หลอกเขาเล่นเพื่ออยากจะรู้ว่านางจะมีเสน่ห์พอหรือไม่ แค่นั้นหรือ ที่นางรู้สึกกับเขา และบัดนี้อีกสามวันนางจะแต่งงานกับคนที่ร่ำรวยในเมืองนี้ไปแล้ว
ส่วนเขาคือไอ้หน้าโง่ที่นางหลอกให้หลงรักเล่นๆ แต่ไม่ได้คิดจะจริงจัง ไม่คิดจะแต่งงานกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะไม่เชื่อ หลี่หมิงยังไม่เชื่อในสิ่งที่นางบอก แม้มารดาจะบอกให้เขาลืมนางไปเสีย เขาก็ไม่ตอบอันใดทั้งนั้น ทำเพียงนอนหลับตานิ่ง เหมือนกับยอมจำนน และเลิกคิดถึงสตรีนางนั้นแล้ว แต่ที่จริงเขาต้องการให้แน่ใจว่าหงลี่พูดจริง
พอคืนวันที่สองเขารู้สึกว่าเดินเหินได้ไหวแล้ว จึงได้แอบออกไปจากเรือน เพื่อจะไปลอบเข้าไปหาสตรีนางนั้นเพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้คิดอะไรกับเขา นางแค่หลอกเขาเล่นๆเพียงเท่านั้น เพราะเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะเล่นละครตบตาได้เก่งเช่นนั้น หลอกว่ารักเขา และยอมเป็นของเขา เพื่อจะหลอกเขาเล่นๆ อย่างนั้นหรือ
แต่หลี่หมิงก็ลอบเข้าไปหานางได้สำเร็จเพราะเขาเคยทำงานอยู่ในจวนของนาง ทำให้รู้ทางหนีทีไล่ที่จะแอบลอบเข้าไปได้ มือหนาของหลี่หมิงโอบรัดเอวคอดของหงลี่เอาไว้แน่น หงลี่จดจำได้ทันทีว่ามือหนาคู่นี้คือของผู้ใดนางรีบหันหลังกลับมาทันที แล้วก็สบเข้ากับสายตาตัดพ้อที่จ้องมองนางอยู่
“ พี่หลี่หมิง ท่านเข้ามาได้อย่างไรกัน ” นางเอ่ยขึ้นและแอบมองสำรวจบาดแผลฟกช้ำตามใบหน้้าและร่างกายของเขาที่มันอยู่นอกอาภรณ์ที่นางพอจะมองเห็นได้
“ ท่านหายดีแล้วหรือ แล้วมาหาข้าทำไมอีก ข้าบอกความจริงกับท่านไปแล้วทุกอย่าง จะมาหาข้าอีกทำไมกัน " หงลี่รีบบอกกับเขาเบาๆ นางเกรงจะมีคนได้ยินและไปบอกยามหรือไม่ก็คนในจวนให้ได้รับรู้ แล้วหลี่หมิงจะเดือดร้อน
“ ข้ายังจะเลิกรักเจ้าไม่ได้ หากข้ายังไม่แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้รักข้าจริงๆ อย่างที่เจ้าบอกข้า ” เขาบอกกับหงลี่ขณะที่มือหนาก็ยังไม่ปล่อยจากเอวคอดของนาง
หงลี่สะท้อนใจนัก นางอยากจะร้องบอกเขาไปว่านางรักเขา รักมากเหลือเกิน อยากจะหนีไปอยู่กับเขา แต่นางรู้ว่านางทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะนางเลือกไม่ได้ระหว่างบิดามารดาของตนเองกับชายคนรัก และหากแม้หนีไปนางก็หนีการติดตามของคนของบิดาไปไม่พ้น และเขากับมารดาก็จะพลอยเป็นอัันตรายไปด้วย นางรู้ดีว่าท่านพ่อของตนเองเป็นคนเช่นไร หลี่หมิงจะต้องเดือดร้อนมากแน่ๆ "
“ ข้าไม่ได้รักท่าน ข้าแค่เพียงทดสอบเสน่ห์ของตนเอง และเห็นว่าท่านหน้าตาดี หล่อเหลาพอที่จะเล่นด้วย ข้าจึงได้หลอกท่านเล่นๆ ว่ารักท่าน แต่ที่จริงข้าไม่มีทางรักชายต่ำต้อยเช่นท่านได้หรอก และข้าตอนนี้กำลังจะแต่งงานกับคุณชายเหยาอย่างที่ท่านพ่อบอกนั่นแหละ
เขามาสู่ขอข้าพร้อมกับสินสอดจำนวนมาก มากขนาดที่ข้าปฏิเสธไม่ลง และข้าก็รักตัวเองมากกว่า อยากจะให้ตัวเองสุขสบาย แล้วใครกันเล่าอยากจะไปตกระกำลำบากมาสร้างเนื้อสร้างตัวอีก ทั้งๆที่มีกองเงินทองกองเอาไว้อยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุผลก็มีเพียงเท่านี้ ท่านเข้าใจหรือไม่ ”
หลี่หมิงจ้องมองสตรีหน้าเงินตรงหน้าที่เชิดหน้าบอกเขาว่ารักเงินมากกว่าเขาอย่างผิดหวังเหลือเกิน
ดวงตาของนางนั้นไม่ได้มีวี่แววแห่งความเสียอกเสียใจเลยสักนิด นางเชิดหน้าบอกกับเขาอย่างหน้าตาเฉย เหมือนไม่ได้มีความรู้สึกใดทั้งสิ้น
“ ถ้าอย่างนั้น ถ้าข้าจะนอนกับเจ้า หญิงร่านชายเช่นเจ้าก็คงจะไม่ว่ากระมัง นอนกันเล่นๆ ไม่ได้มีความสุขรู้สึกใดๆ ให้กัน เจ้าหว่านเสน่ห์บุรุษเล่นๆ ปั่นหัวเขาเพื่อทดสอบเสน่ห์ของตนเองเล่นๆ ข้าก็จะนอนกับเจ้าเล่น ๆ เพราะคนที่ไม่ได้รักกัน และเกลียดกันอย่างเช่นเราก็นอนด้วยกันได้ ”
หลี่หมิงกัดฟันพูดออกไป เขาแทบไม่เชื่อเลยว่าสตรีที่เขาคบหามาหลายเดือนเนื้อแท้จะเป็นหญิงร่านชายที่หลอกปั่นหัวบุรุษเล่นเพื่อทดสอบเสน่ห์ของตนเอง และไม่สนใจว่าตัวเองจะเสียเนืื้อเสียตัวให้กับชายใดบ้าง หรือไม่นางก็คงจะทำเช่นนี้กับเจ้าคุณชายเหยานั่นแล้วก็เป็นได้
เวลาผ่านไปหลายวัน ฮ่องเต้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสนมที่แสนจะต่ำต้อยนางนั้น ข่าวในวังหลังเล่าลือกันว่าทรงหลงไหลสนมนางนั้นอย่างมากมาย แม้นางจะไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีอำนาจใด ไม่มีครอบครัวหนุนหลัง ซ้ำครอบครัวเดิมที่มีบิดาเป็นเพียงขุนนางขั้นสามก็ถูกเนรเทศให้ออกจากแคว้นไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ฮ่องเต้กลับหลงไหลนาง ข่าวเล่าลือนี้แพร่สะพัดไปจนทั่ววังหลังและเหล่าชายาและสนมที่มีครอบครัวเดิมที่มีอำนาจหนุนหลังพวกนางก็ต่างร้อนอกร้อนใจมาก ต่างให้คนไปสืบข่าวว่าจริงหรือไม่ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เป็นสวามีของพวกนางเช่นกัน เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสตรีต่ำต้อยที่มาจากบ้านนอกนั่น และเมื่อข่าวที่ส่งคนไปสืบมาและทราบว่าเป็นเรื่องจริง ต่างพากันประชุมลับเพื่อถกถึงปัญหาเรื่องนี้และพระชายาเหลียนหรูอี้ตัวตั้งตัวตีที่มีบิดาเป็นเสนาบดีใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ ก็เอ่ยขึ้นว่า“ ทุกคนให้ใจเย็นๆ ก่อนเพราะนี่เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน สตรีต่ำต้อยที่เป็นเพียงสนมปลายแถวนั่น อาจจะถูกเขี่ยทิ้งเพราะเบื่อหน่ายนางก็เป็นได้ สนมใหม่ๆที่งดงามมากมายก็เพิ่งเข้ามาถวายตัวกันอีกหลายนาง ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ไว้ก่อน
“ หลี่หมิง ท่านปล่อยเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่ชายชู้นะ ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ท่านทำอย่างนี้โหดร้ายมากเกินไปหรือไม่ ” นางพร่ำพูดกับเขาระหว่างที่ถูกลากข้อมือให้้กลับขึ้นไปด้านบนฮ่องเต้หนุ่มหยุดการก้าวเดินแล้วก็หันกลับมาผลักร่างงามของสนมรักที่เขาทั้งรักทั้งหวงทั้งแค้น ปนเปกันจนแยกไม่ออกแต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้นางไปมีชายใดทั้งสิ้น นอกจากเขา เพราะนางคือของๆเขา และต้องเป็นของเขาไปทั้งชีวิตของนาง ไม่มีทางจะมีชายอื่นใดได้ทั้งนั้น เขาดันร่างงามของนางแนบชิดกำแพงด้านหลัง แล้วก็เข้าไปแนบชิด ใบหน้าหล่อคมคายเลื่อนลงมาจนแนบใบหน้างามของนางแม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนี แต่เขาก็กระซิบว่า“ เจ้าควรรู้ตัว ว่าเจ้าคือเมียของเข้า และข้าคือผัวของเจ้า อย่าคิดมองชายใด ให้ความหวังชายใดอีก หาไม่แล้วข้าจะทำให้มันมีสภาพเช่นเจ้าองครักษ์นั่น หากเจ้าไม่อยากเห็นใครเป็นเช่นนั้นก็อย่าคิดทอดสะพานให้ชายใดอีก เพราะที่ของเจ้าคือบนเตียงของข้า เป็นของๆ ข้าเท่านั้น ” แล้วริมฝีปากหยักหน้าก็เข้าประกบปากอวบอิ่มที่แสนนุ่มนิ่มของนาง แม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนีไป ไม่ยอมให้เขาสอดลิ้นสากของเขาเข้าไปในปากอิ
เรื่องฮ่องเต้ไปเยือนเหล่าชายาและสนมหลายตำหนักล้วนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่ววังหลัง และแน่นอนมันย่อมจะไปเข้าหูของหงลี่บ้าง เพราะฟางเอ๋อนั้นอดไม่ได้ที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาบอกแก่นายหญิงของตนอยู่แล้ว หงลี่นั้นทำใจได้บ้างแล้ว เขาไม่ใช่สามีของนาง เขาคือฮ่องเต้ที่มีสนมนับร้อย เรื่องอันใดเขาจะมาใส่ใจนาง ช่างเขาเถอะ นางบอกตนเองเช่นนั้น เขาไม่ใช่หลี่หมิงอีกต่อไป เขาคือเฟยหลงฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่นางเคยรู้จักและรักใคร่อีกแล้ว เรื่องของเขาย่อมไม่เกี่ยวกับนาง หงลี่พร่ำบอกตนเองเช่นนั้นหลายวันผ่านไปองครักษ์ที่แฝงกายอยู่ที่ตำหนักพระสนมหยูเพื่อสอดส่องว่านางทำสิ่งใด และมีอะไรเกิดขึ้นทีี่ตำหนักของนางบ้าง แล้วนำไปรายงานฮ่องเต้อยู่เสมอ และหลายวันต่อมา องครักษ์ตงเหวินก็หอบหิ้วเป็ดย่างและผลไม้ลูกโตมาฝากพระสนมหยูอีกครั้ง เขาบอกว่าที่หายไปก็เพราะไปราชการนอกวังหลวงเพิ่งจะได้กลับมา จึงได้หอบหิ้วของมาฝากแทนคำขอบคุณสำหรับรองเท้าที่พระสนมเย็บให้กับมือ มันสวมสบายเหลือเกิน หงลี่พยายามยัดเยียดเงินให้แก่เขาเป็นค่าของฝาก แต่องครักษ์หนุ่มไม่ยอมรับเอาไว้ เขายืนยันจะให้นางรับของฝากเอาไว้เพื่อตอบแทนน้ำใจ
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึีงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
“ หากท่านอยากจะเดินไปส่งก็ขอบใจมากนะ ”แล้วนางก็ออกเดินนำหน้าองครักษ์หนุ่มที่ก้าวตามหลังนางมาเงียบ ๆ จนหงลี่เดินมาถึงหน้าตำหนักของตนเอง นางหันไปยิ้มให้เขา“ ขอบใจท่านมากนะ ข้าเข้าไปก่อนล่ะ ”แล้วหงลี่ก็ก้าวเข้าไปในตำหนักของนาง แล้วปิดประตูหน้าลงทันที โดยที่ร่างหนาขององครักษ์หนุ่มยังไม่เคลือนกายไปจากหน้าตำหนักของพระสนมน้อย องครักษ์ตงหยางยังคงยืนมองไปที่ประตูที่สนมนางน้อยเพิ่งจะลับกายไปในใจของเขาแสนจะเสียดายยิ่งนักที่พบนางช้าไป เขาพอจะมองออกว่าตำหนักที่นางอยู่นี้อยู่เกือบจะสุดท้ายของแถวและอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงรั้วของวังหลังแล้ว แสดงว่านางคือสนมชั้นเฟย ที่รู้กันว่าเป็นสนมขั้นต่ำสุดในวังหลังแห่งนี้ และสนมขั้นเฟยบางคนก็ไม่มีโอกาสได้รับใช้ฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เพียงอยู่กันไปวันๆ ในตำหนัก หาอะไรทำกันไปวันๆ เพื่อให้วันเวลาผ่านพ้นไปเพียงเท่านั้น เพราะสนมในวังหลังนี้มีมากมายนัก และเขาเพิ่งจะรู้มาว่าฮ่องเต้รับสนมเข้ามาใหม่อีกชุดแล้วหลังจากที่เพิ่งจะครองราชย์ได้เพียงไม่นานนับจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ย่างกรายไปหาหงลี่หรือไม่ได้เรียกนางมาปรนนิบัติอีกเลย หงลี่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นก็