เธอเคยเดินทางผิด...เพราะคิดว่าโลกนี้ไม่มีใครให้พิง จนมาเจอเขา วินมอเตอร์ไซค์ที่เงียบเกินไปสำหรับโลกใบนี้ แต่กลับเป็นคนเดียวที่ไม่เคยมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม วันหนึ่ง...เธอลาออกจากวงการที่ไม่มีใครพูดถึง เปิดคาเฟ่เล็ก ๆ ริมรั้ว กับน้องชายที่กำลังเติบโต และเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น ยื่นแก้วกาแฟ...พร้อมอ้อมกอดที่ไม่เคยถามว่า "เมื่อก่อน...เราเคยเป็นใคร"
Lihat lebih banyakพระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นเต็มฟ้า
แต่เสียงสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันสีดำด้านก็ดังขึ้นบริเวณหน้าหอพักหญิงในย่านกลางเมือง “บอย! พี่บอย...รับหนูไปทีนะ เดี๋ยวลูกค้ารอ!” เสียงแหลมของหญิงสาวในเดรสรัดรูปสีสดเรียกชื่อเขาจากหน้าตึก หนุ่มวินในเสื้อแจ็กเก็ตสีดำหม่น หันไปมองพลางพยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดมาก แต่สายตานิ่ง ๆ นั่นกลับทำให้สาวไซด์ไลน์หลายคนหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น “อร๊ายย~ ทำไมขี่มอไซค์ก็ยังหล่อ!” “นั่นดิยะ! ขรึมแบบนี้แหละน่าเก็บ!” ไม่ว่าจะสาวไซด์ไลน์รุ่นใหญ่ หรือแม่หม้ายสาวหุ่นดีวัยสามสิบกว่า ๆ ต่างก็ยอมจ่ายเงินเพิ่ม...เพื่อได้ “พี่บอย” มารับไปโรงแรมด้วยตัวเอง แต่พี่บอยกลับไม่เคยตอบอะไร ไม่เคยหวั่นไหวกับใคร แม้แต่เสียงอ่อย ๆ ที่กระซิบหลังหมวกกันน็อก “คืนนี้ว่างไหมคะ...ขึ้นห้องหนูก่อนได้เลย ไม่คิดตังค์” แต่ชายหนุ่มก็แค่ขับไปเงียบ ๆ ไม่หัน ไม่ตอบ มีเพียงแววตาเดียวที่มักเปลี่ยนไปเสมอ...เมื่อเขาไปรับหญิงสาวอีกคน หญิงสาวในชุดเรียบง่าย ไม่ได้แต่งหน้าจัด ไม่เคยอ่อย…แต่กลับทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องทุกครั้งที่เห็น ใช่... เธอคือ “นิริน” นักศึกษาสาวปีสามที่ยามค่ำคืนต้องกลายเป็นผู้หญิงในตลาดบริการ เธอไม่เคยรู้เลยว่า... คนขี่วินเงียบ ๆ คนนั้น ไม่เคยรับส่งใครแล้วเฝ้ามองผ่านกระจกนานเท่าที่เขาทำกับเธอ แม้จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตานั่งซ้อนท้ายเขาทุกวัน แต่หัวใจของ พี่บอย...มันมีที่ว่างไว้แค่คนเดียว “พี่บอย มารับหน่อยค่ะ ที่เดิมนะ” ข้อความนั้นถูกส่งออกไปในเวลา 20:15 น. นิรินแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว กระโปรงสีเข้มเรียบแต่รัดรูป เสื้อแขนยาวผ้าบางสีขาวนวล ผมถูกรวบหลวม ๆ เป็นหางม้า และลิปสติกสีชมพูกุหลาบที่เธอไม่ค่อยทา ยกเว้นวันที่มี “งาน” เธอลากกระเป๋าใบเล็กลงมาจากห้องเช่า ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไร เพราะแค่ชื่อโรงแรมก็ทำหน้าที่แทนทุกอย่างแล้ว รถมอเตอร์ไซค์สีดำจอดรออยู่ตรงมุมเดิม พี่บอย วินมอไซค์วัยสามสิบต้น ๆ ผู้ชายพูดน้อย ใส่เสื้อคลุมกันฝนสีทึบและหมวกกันน็อกที่เขายกขึ้นไว้ครึ่งศีรษะ มองเธอด้วยสายตาเดิมที่ไม่ถามอะไรเลย...แต่ไม่เคยละไปไหน “ไปส่งที่เดิมนะคะ” “อืม...ขึ้นเลย” เธอสวมหมวกกันน็อกที่เขายื่นให้ เสียงเครื่องยนต์เริ่มขึ้นอีกครั้ง ระหว่างทาง เธอซบแผ่นหลังเขาเหมือนเดิม ไม่ได้พูดอะไรเหมือนทุกครั้ง เพียงแต่เธอไม่รู้เลยว่า คนที่เธอพิงอยู่ตรงนั้น รู้สึกกับเธอมากแค่ไหน พี่บอยจอดรถหน้าทางเข้าโรงแรม เธอลงจากรถ หันไปยิ้มบาง ๆ ให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไปในประตูกระจกที่ปิดไว้แน่นหนา ในห้อง 508 นิรินนั่งอยู่บนปลายเตียง แสงไฟสีอุ่นสะท้อนเงาตัวเองในกระจก เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กไลน์ ไม่มีข้อความใหม่จากใคร...แม้แต่ “แขก” ที่นัดไว้ “เขาน่าจะมาแล้วนะ...” เธอพึมพำกับตัวเอง เธอรอ นาทีแล้วนาทีเล่า จนกระทั่งเสียงข้อความดังขึ้น แต่ไม่ใช่จากแขก “ถึงห้องหรือยัง?” จากพี่บอย เธอกลั้นยิ้ม ไม่ตอบในทันที แต่กลับรู้สึกแปลก คืนนี้หัวใจเธอเหมือน “ไม่ได้รอแขก” เท่ากับรอข้อความเขา... นิรินนั่งเงียบอยู่บนเตียง เสียงแอร์ทำงานสม่ำเสมอ แต่กลับไม่ช่วยให้ใจเธอสงบลงได้เลย ข้างนอกฝนเริ่มพรำอีกครั้ง... ไม่แรงนัก แต่พอให้ได้ยินเสียงกระทบกระจกหน้าต่างเป็นจังหวะ “ถึงห้องหรือยัง?” ข้อความเดิมจากพี่บอยยังค้างอยู่ตรงหน้าจอ เธอไม่ได้ตอบทันที แต่พอเวลาผ่านไปอีกสิบนาที แขกยังไม่มา เธอก็กดโทรออกหาพี่บอย…อย่างไม่รู้ว่าทำไม “ฮัลโหล” “พี่บอย...อยู่แถวนี้มั้ยคะ” “ยังจอดอยู่ใกล้ ๆ” “...ถ้าไม่รีบกลับ พี่ขึ้นมาหาหน่อยได้มั้ย” เสียงฝีเท้าพี่บอยมาถึงประตูภายในเวลาไม่ถึงห้านาที นิรินเปิดประตูรับเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตาดูแดงเล็กน้อย... อาจจะเพราะฝุ่น หรือไม่ก็เพราะความรู้สึกที่เธอพยายามกลั้นไว้ไม่ให้มันไหลออกมา “ขอโทษนะคะ พี่คงเหนื่อยแล้ว” “ไม่เป็นไร...” “หนูก็ไม่รู้ว่าเรียกพี่ขึ้นมาทำไม” พี่บอยไม่ตอบ เขาเพียงแต่มองเธอ แล้วเดินเข้ามาช้า ๆ มานั่งลงที่ขอบเตียงข้าง ๆ เธอ ระหว่างพวกเขา ไม่มีเสียงพูด มีเพียงฝนที่ตกเบา ๆ ด้านนอก กับเสียงหัวใจที่ค่อย ๆ เต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นิรินเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงแผ่วเบา “คืนนี้…เขาไม่มาแล้วล่ะค่ะ” “...” “หนูคงไม่ควรเสียใจ เพราะหนูก็รู้อยู่แล้วว่าเราคืออะไรสำหรับเขา” “แต่บางที...หนูก็อยากเป็นคนธรรมดาบ้าง” คำว่า “คนธรรมดา” ทำให้พี่บอยหันมาสบตาเธอ ในแววตาของเขามีบางอย่าง…บางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นในสายตาของใครเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ เขายื่นมือมาลูบผมเธอเบา ๆ สัมผัสที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่แนบแน่นจนเธอเผลอวางแก้มลงบนฝ่ามือนั้น “หนู...เหนื่อยมากเลยนะพี่บอย” “รู้…” “แล้วพี่...เคยมองหนูเป็นแค่ลูกค้าไหมคะ” “ไม่เคย” คำตอบนั้น… มันไม่ใช่คำพูดหวาน ๆ แต่มันหนักแน่น…มากพอให้เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้า ๆ และเมื่อเขากอดเธอในนาทีนั้น นิรินก็ไม่ผลักไส ไม่ผลักเลย… เธอเอนตัวลงซบเขาในแบบที่ไม่ต้องแลกกับเงิน ไม่ต้องแลกกับอะไรเลย เพราะคืนนี้เธอไม่ใช่ “ใครก็ได้” แต่เธอคือ นิริน ที่อยู่ในอ้อมแขนของ พี่บอยคนเดียวรถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสีอ่อนลงเล็กน้อยนิรินนั่งข้าง ๆ คนขับมือยังวางบนตัก รู้สึกเก้อเขินจากบรรยากาศมื้อบ่ายที่เหมือนเดตครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกพี่บอยขับไปเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ต่างจากใบหน้าขรึมที่เธอคุ้นเคยนิรินหันไปมอง เห็นรอยยิ้มชัดก็รีบเบือนหน้าหนี“พี่…บอยยิ้มอะไรคะ” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย“ยิ้มเฉย ๆ” เขาตอบสั้น ๆ สายตายังคงจับจ้องที่ถนนลาดยาง“เฉย ๆ ที่ไหนกันเล่า…” เธอบ่นพึมพำในลำคอ กัดริมฝีปากแน่น หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุดเขาเหลือบตามามองเพียงแวบเดียว แววตาคมวูบหนึ่งนั้นเหมือนจะบอกทุกอย่างที่เขาไม่พูดออกมา“เมื่อกี้…หนูกินสเต๊กเลอะปาก”“พี่!” นิรินเผลอตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขิน แก้มแดงจัดเสียงหัวเราเบาๆ ดังจากลำคอเขา เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก แต่กลับทำให้รถทั้งคันเต็มไปด้วยความอบอุ่นมีชีวิตชีวามือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กๆที่วางอยู่ข้างเบาะโดยไม่พูดอะไรอีกนิรินเม้มปากแน่น แต่ยอมปล่อยให้เขาจับไว้ หัวใจที่พองโตเหมือนจะล้นอกถนนสายเล็กทอดยาวไปข้างหน้า พี่บอยขับรถเงียบ ๆ ตามสไตล์ของเขา แต่เมื่อใกล้
แสงอรุณสาดลอดช่องไม้เข้ามาในห้อง เสียงไก่ขันดังไกลๆ ปลุกให้บ้านสวนค่อยๆ ตื่นขึ้นพี่บอยลืมตา ตั้งใจฟังเสียงรอบตัว ก่อนจะค่อย ๆ ดันแขนออกจากร่างเล็กที่ยังนอนซุกหลับอยู่ข้างกายเขาลุกออกที่นอน เดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ชื้นจากน้ำค้าง กลิ่นดินผสมกลิ่นหญ้าสดใหม่ชัดเจนจนใจเขาสงบนิ่งสายตาคมทอดมองไปยังเพิงไม้หลังใหม่ที่อยู่ไม่ไกล คาเฟ่ใหม่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จวันสองวันโดยเขาและช่างมานพส่วนลูกมือก็คือน้องกันต์พี่บอยเดินไปเปิดประตูไม้ บานพับส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ ภายในห้องกว้างยังหอมกลิ่นไม้ใหม่ โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เก้าอี้หวายถักใหม่เอี่ยมเครื่องชงกาแฟวางเด่นบนเคาน์เตอร์หลังงจากที่นิรินได้ลองชงไปแล้วเมื่อวาน ข้าง ๆ ยังมีถุงเมล็ดกาแฟ กับโถแก้วใส่คุกกี้ที่แม่เพิ่งอบเมื่อคืนเขาเดินดูช้าๆ วนรอบร้าน ลองเปิดไฟดูทีละดวง จนหลอดไฟสีเหลืองสว่างนวลไปทั่วเสียงเครื่องปั่นไฟเล็กๆ ดังเบาๆ แต่ทุกอย่างทำงานปกติเรียบร้อยดีเขายืนมองผ่านกระจกหน้าร้าน และรั้วไม้เก่า ๆ ที่เอียงไปข้างหนึ่งยังอยู่ที่เดิม มันคือที่มาของชื่อร้านริมรั้วนั้นเอง น้องกันต์เพิ่งปลูกต้นพริกกับมะเขือไว้ แม
มือใหญ่กดมือเล็กกลับไปกอบกุมแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเสียงของเขากระซิบข้างหู “อย่าหยุด…ทำต่อสิครับเมียรัก”“พี่…พี่บอย” นิรินเสียงสั่นพร่า แก้มแดงจัด ร่างบางนอนสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างของเขาพี่บอยโน้มตัวลง ริมฝีปากหนาจุ้บข้างแก้ม ไล้ผ่านลงมาที่ซอกคอ หยอกเย้าด้วยการดูดอย่างแผ่วเบาจนเธอครางหลุด“อื้อ…พี่...”มือใหญ่ปลดกระดุมชุดนอนช้า ๆ เผยผิวนวลเนียนและอกอิ่มที่สั่นไหวกับลมหายใจปลายนิ้วหยาบคลึงวน ขยี้ยอดอกจนร่างเล็กสั่นเกร็ง ความเสียวแล่นขึ้นสันหลังบรรยากาศห้องในไม้ที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรข้างนอก กับเสียงลมหายใจที่หนักของทั้งคู่ และแสงจันทร์ที่ลอดช่องหน้าต่างมาตกบนเรือนกายสองร่างพี่บอยไล้ริมฝีปากต่ำลง จนถึงกลีบเนื้อที่ซ่อนความหวานเขาแหวกช่อบุปผาออกช้า ๆ ก่อนก้มลงละเลียดราวกับจะจดจำรสชาติของกลีบเนื้อนั้นให้ขึ้นใจ“พี่…อย่าทรมานหนู” เสียงเธอพร่ำสั่น มือเล็กจิกเสื่อจนยับ น้ำหวานเอ่อคลอจากความชุ่มฉ่ำในช่องแคบบอยเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมเต็มไปด้วยแรงข่มอารมณ์ เขาขยับกายขึ้น ค่อย ๆ ดันแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเข้าครอบครองทีละช่วงความคับแน่นทิ่มแทงเบา ๆ ทำให้คนตัวเล็กสะท้านเฮือก “อ๊ะ…พี่บ
รถยนต์คันใหญ่แล่นกลับเข้าสู่ถนนลูกรัง ข้าวของที่ซื้อมาเต็มท้ายรถ ทั้งถุงเสื้อผ้า รองเท้าใหม่ของแม่และกันต์ วางซ้อนเรียงเป็นกองเล็ก ๆ มุมหนึ่งยังมีหมวกกันน็อกใหม่วางเคียงกับเอกสารจองมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ที่ร้านรับปากว่าจะส่งมาถึงบ้านพรุ่งนี้เช้ากันต์นั่งเบาะหลัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่หยุด มือยังคอยจับเชือกรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ไม่วาง“พี่บอย…ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด”พี่บอยเหลือบมองผ่านกระจกหลัง สายตาขรึมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น“ไม่ต้องรีบโตนักหรอกกันต์ แค่ดูแลแม่กับพี่สาวให้ดี ก็พอ”แม่ที่นั่งข้าง ๆ น้ำตาคลออีกครั้ง พยายามเอ่ยเสียงเบา“แม่ซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วลูก”นิรินก็กอดถุงเสื้อผ้าไว้แน่น ใบหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่“พี่…บอยขอบคุณจริง ๆ นะ” เสียงเธอสั่นพร่า แต่เต็มไปด้วยความหมายที่เกินกว่าคำพูดพี่บอยไม่ได้ตอบ เพียงยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ ระหว่างรถโยกไปตามทางลูกรังเมื่อถึงบ้านสวน เสียงสุนัขเห่าไล่รถดังรับเหมือนทักทาย ข้าวของถูกขนเข้าบ้านกันวุ่นวาย แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกันต์ลองสวมเสื้อใหม่วิ่งออกไปให้แม่ดู แม่หัวเราะเสียงใสเหมือนกลับไปเป็นสาวอีกครั้งเย็นนั้น ทั้ง
บ่ายวันนั้น แดดแรงจัด แต่ลมจากทุ่งนาก็ยังพัดเอื่อย ๆ คลายความร้อนเสียงเครื่องยนต์คันใหญ่แล่นมาตามถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตามแรงล้อ ก่อนจะเลี้ยวเข้าอำเภอเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้สองชั้นเก่าแก่ ร้านขายของปะปนอยู่ไม่ไกลจากตลาดสดนิรินนั่งเบาะข้างคนขับ มือเล็กกำเอกสารในตักแน่น ดวงตาตื่นเต้นปนกังวลเบาะหลัง แม่กับกันต์แต่งตัวเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ เสื้อเชิ้ตสีจางกับรองเท้าคู่เก่า กลายเป็นชุดพิธีสำคัญของวันนี้เสียงเครื่องยนต์ดับลง พี่บอยหันมาบอกสั้น ๆ น้ำเสียงขรึมแต่หนักแน่น“ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวอ้นจัดการให้เอง”ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดข้าราชการก็เดินลงมาจากบันไดอาคารอำเภออนุชาเพื่อนเก่าสมัยเรียนของพี่บอย รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมชวนให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น เขาตบไหล่เพื่อนเสียงดัง ปุ“โห ไอ้บอย! กี่ปีแล้ววะไม่ได้เจอกัน เอ็งโทรมานี่แทบไม่เชื่อหู”“นัดไว้แล้วนี่อ้น เรื่องนี้ช่วยหน่อยนะ” พี่บอยตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความขอบคุณในแววตาอนุชาหันไปยกมือไหว้แม่ แล้วยิ้มให้กับนิรินกับกันต์“ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องเอกสารโอนที่ดิน ผมดูเองทุกขั้นตอน”บรรยากาศในห้องโถงอำเภอเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมตั้
ญาติคนนั้นเม้มปากแน่น พยายามสวนกลับเสียงแข็ง“แต่หนี้มันก็ยังอยู่นะโว้ย ดอกก็ติด โฉนดก็ยังค้ำไว้อยู่ดี จะทำเป็นลืมไม่ได้หรอก!”พี่บอยที่นั่งนิ่งมานาน ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างใหญ่บังสายตาญาติคนนั้นจนเงาสะท้อนคลุมทั้งตัว เขาเดินไปหยิบเอกสารหนา ๆ ในบ้านเอาวางลงบนโต๊ะไม้เสียง ปั้ก“ไม่ต้องมาทวงอะไรอีกแล้ว” เสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่นดังขึ้นทั่วห้อง “เพราะผมปิดบัญชีหนี้ก้อนนั้นไปหมดแล้ว”ญาติคนนั้นตาเบิกกว้าง รีบก้าวเข้ามาดูใกล้ ๆ เมื่อเห็นตัวอักษรชัดเจนว่าเป็นใบปิดบัญชีจากธนาคารจริง ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที“มะ…ไม่จริง! นี่เอ็ง…” เสียงสั่นเครือ“จริง” พี่บอยพูดสวนทันที ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง “ต่อให้คิดจะเล่นแผนอะไรอีก ก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องโฉนดบ้านสวนนี้อีกแล้ว”มานพหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ ๆ หงายเงิบแล้วไง! อยากจะเอามาแซะให้ขายที่ง่าย ๆ แต่สุดท้ายก็หน้าแตกยับ”กันต์ถึงกับยิ้มกว้าง สะใจที่ได้เห็นคนที่เคยทำร้ายครอบครัวพี่สาวต้องเจอแบบนี้นิรินยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาเอ่อเต็มขอบตา เธอหันมองพี่บอยด้วยหัวใจสั่นไหวชายที่ไม่เพียงปกป้องเธอ แต่ยังลุกขึ้นสู้แทนสิ่งที่เธอไม่เคยทำได้มาก่อนญาติค
Komen