แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: กวนเหอว่านหลี่
“หา เรียกข้าหรือ?”

จูอวิ่นเทิงตื่นขึ้นมา เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของฉางเซิง ซึ่งฉายแววกังวลอย่างยิ่ง

ฉางเซิงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากจูอวิ่นเทิงเดินไปข้างหน้า

เดิมทีเหล่าขุนศึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทถึงกับเอ่ยถามว่าจูอวิ่นเทิงมาแล้วหรือยัง!

นี่เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจะทดสอบจูอวิ่นเทิง

หากจูอวิ่นเทิงตอบได้ดี แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่น ก็จะเพิ่มแต้มต่อในการชิงตำแหน่งพระนัดดารัชทายาทได้อย่างมหาศาล

แต่ใครจะไปรู้ว่า เจ้าเด็กนี่จะหลับไปเสียได้!

ตอนที่เดินออกมา ก็ยังมีท่าทีไม่เต็มใจอีก

ขาดก็แต่ให้ลุงรองฉางเซิงมาบิดหูเขาเท่านั้น

หรือว่าฉางเซิงไม่ได้บอกหลานนอกของเขาถึงความสำคัญของการเข้าร่วมประชุมราชสำนักในครั้งนี้?

ฉางเซิงผลักจูอวิ่นเทิงไปอยู่แถวหน้าสุด แล้วจึงถอยกลับไปยังตำแหน่งของตนเอง

ในใจเต้นระรัว หลานผู้แสนดีของข้า หลานแท้ ๆ เอ๋ย เจ้าต้องแสดงความสามารถให้ดีนะ!

นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว!

หากพลาดโอกาสนี้ไป เจ้าและตระกูลฉางของเรา รวมทั้งตระกูลหลานอวี้ เกรงว่าจะต้องเดือดร้อนกันถ้วนหน้า!

ทุกสายตาในท้องพระโรงจับจ้องมาที่จูอวิ่นเทิง

ขุนนางหลายคนเพิ่งเคยเห็นจูอวิ่นเทิงเป็นครั้งแรก

หลายปีมานี้ พระราชนัดดาที่โดดเด่นอยู่เบื้องหน้าคือจูอวิ่นเหวิน ผู้รอบรู้ในตำราและมีมารยาท เป็นที่ยอมรับของทุกคน

ส่วนจูอวิ่นเทิงนั้นราวกับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

วันนี้พอได้เห็น สิ่งเดียวที่จูอวิ่นเทิงจะเทียบจูอวิ่นเหวินได้ เกรงว่าจะมีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

ใครเล่าจะคาดคิด ภายใต้รูปร่างหน้าตาที่น่ามองนี้จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย

จูหยวนจางมองจูอวิ่นเทิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างเหมือนคนโง่เขลา ในใจก็พลันเกิดความสงสารขึ้นมาแวบหนึ่ง

เจ้าเด็กนี่แสร้งทำอย่างเห็นได้ชัด!

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า?

มิใช่เพราะมารดาจากไปเร็วหรอกหรือ?

“อวิ่นเทิง มาก็ดีแล้ว เมื่อวานเราถามเจ้าเรื่องสงครามทางเหนือ เจ้าก็โยนไปให้พี่รองของเจ้า วันนี้พี่รองเจ้าไม่ได้มา เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาเถิด”

เมื่อจูหยวนจางพูดจบ เหล่าขุนนางต่างก็ตกตะลึง

ฝ่าบาททรงเข้มงวดและโหดเหี้ยมมาโดยตลอด แต่เมื่อครู่กลับมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา!

[ตาเฒ่านี่สมองกระทบกระเทือนหรือไร? เรื่องสงครามทางเหนือ มาถามจูอวิ่นเทิงเนี่ยนะ?]

เมื่อได้ยินเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง จูหยวนจางก็ทรงสับสนเล็กน้อย หรือว่าเจ้าไม่ใช่จูอวิ่นเทิง?

เจ้าเด็กนี่ ยังไม่ตื่นนอนหรืออย่างไร?

“เสด็จปู่ มีแม่ทัพหลานนำทัพออกศึก จะต้องกวาดล้างพวกหยวนเหนือที่เหลืออยู่ให้สิ้นซาก และประกาศศักดิ์ดาต้าหมิงของเราได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

คำตอบของจูอวิ่นเทิงไม่ได้น่าประหลาดใจนัก เพราะหลานอวี้เป็นน้องชายภรรยาของฉางอวี้ชุน ซึ่งก็คือน้าทวด ของจูอวิ่นเทิง

พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมต้องพูดเช่นนี้อยู่แล้ว

ปัญหาที่ทุกคนถกเถียงกันเมื่อครู่คือ หลานอวี้นำทัพขึ้นเหนือไปได้สองเดือนแล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังหากองกำลังหลักของหยวนเหนือไม่พบ

เสบียงอาหารแทบจะหมดสิ้นแล้ว ราชสำนักควรจะจัดหาเสบียงให้หลานอวี้ต่อไปหรือไม่

หากหลานอวี้ยังหาศัตรูไม่พบอีกจะทำอย่างไร?

จะถอยทัพกลับมา หรือจะค้นหาศัตรูต่อไป?

“อวิ่นเทิง ตอนนี้หลานอวี้ควรจะถอยทัพกลับ หรือควรจะไปต่อ?” จูหยวนจางไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามตรงประเด็น

เมื่อครู่ ในราชสำนักได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายที่ต้องการให้หลานอวี้ถอยทัพ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋น

ฝ่ายที่เรียกร้องให้ค้นหาศัตรูต่อไป ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางฝ่ายบู๊

จูอวิ่นเทิงมองไปรอบๆ อย่าง “ขลาดกลัว” แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “สะ เสด็จปู่ จะถอยหรือไปต่อ เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง จะต้องหารือกันอย่างเต็มที่ รับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย และตัดสินใจอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบจูอวิ่นเทิงก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

แค่นี้? พูดจบแล้ว?

เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นแอบหัวเราะในใจ คำพูดแบบนี้ใครๆ ก็พูดได้ เป็นคำพูดไร้สาระที่ถูกต้องอย่างหาที่เปรียบมิได้!

อันที่จริงก็คือไม่ได้พูดอะไรเลย คิดว่าจะหลอกฝ่าบาทปล่อยผ่านไปได้หรือ?

เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ก็ใจเสียเช่นกัน

เจ้าพูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็สนับสนุนให้หลานอวี้ค้นหาศัตรูต่อไปสิ!

นี่อย่างน้อยก็ยังเรียกว่ามีจุดยืน!

ฉางเซิงส่ายหน้า ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่ตนมีต่อหลานนอก ดูท่าจะยิ่งใหญ่เกินไปจริงๆ

เจ้าเด็กนี่ยังคงอ่อนแอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

จูหยวนจางกำลังจะเอ่ยถาม เสียงในใจของจูอวิ่นเทิงก็ดังขึ้นในหัว [เหอะๆ ถ้าถอยทัพกลับสิถึงจะโง่จริง! ไปมาตั้งสองเดือนแล้ว เสียเวลาเพิ่มอีกสักเดือนจะเป็นไรไป?]

[พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นนี่มันโง่เง่าจริงๆ ปล่อยให้หลานอวี้กลับมามือเปล่า มิเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าตาเฒ่าจูโง่เขลาหรอกหรือ?]

จูหยวนจางถึงกับพูดไม่ออก เจ้าหลานคนนี้ถึงกับเรียกเขาว่าตาเฒ่าจู!

ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตา!

แต่ว่าเด็กคนนี้ก็เป็นหลานของตน

ตนเองก็ใกล้จะลงโลงอยู่แล้ว จะไปถือสาหาความกับหลานทำไม?

หืม? แต่ประโยคหลังของเขา พูดได้มีเหตุผลทีเดียว!

การให้หลานอวี้ขึ้นเหนือไปตีหยวน เป็นการตัดสินใจของเขาเอง!

ตั้งแต่เริ่มประชุมในวันนี้ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะให้หลานอวี้ถอยทัพกลับมา

ไม่คาดคิดว่า ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของตน พระราชนัดดาที่ดูโง่เขลาคนนี้กลับเดาออก!

[ก็ต้องดูว่าตาเฒ่าจูกล้าตัดสินใจหรือไม่! อย่าได้หวั่นไหวเป็นอันขาด! การลบหยวนเหนือออกจากแผนที่ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว!]

[หลานอวี้เอ๋ย ก่อนที่ท่านจะออกเดินทางน่าจะมาบอกข้าสักคำ มิเช่นนั้นก็คงไม่ลำบากขนาดนี้]

[แต่เชื่อว่าท่านก็คงหาเจอในที่สุด สถานที่ซ่อนตัวของฮ่องเต้หยวนทัวกู่ซือเทียมู่เอ๋อร์หาไม่ยากจริงๆ]

อะไรนะ?

พระราชนัดดาผู้นี้รู้ที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวน?!

จูหยวนจางไม่แสดงสีหน้าใดๆ ตัดสินใจที่จะฟังต่อไป

แต่ใครจะรู้ว่า เสียงในใจของเจ้าเด็กนี่มาถึงตรงนี้ก็ขาดหายไปอีกแล้ว!

“ฝ่าบาท” หวงจื่อเฉิงหัวหน้าสำนักไท่ฉางออกมาทูลว่า “กระหม่อมหวงจื่อเฉิงเห็นว่า กองกำลังหยวนเหนือไม่น่ากลัวพอ การใช้ทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายไปกวาดล้างผู้ที่เหลืออยู่ เกรงว่าจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

หวงจื่อเฉิงยังเป็นสหายเรียนตำหนักบูรพา เป็นขุนนางในสังกัดของรัชทายาท ปกติแล้วยากที่จะแสดงความเห็น

วันนี้ในที่สุดก็หาช่องว่างแสดงความเห็นได้ แถมยังเอ่ยชื่อตัวเองโดยเฉพาะ กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

[ที่แท้ เจ้าคนขี้พูดจาเหน็บแนมคนอื่นนี่ก็คือหวงจื่อเฉิงหรือ?]

[เจ้านี่นอกจากจะมีความรู้พื้น ๆ นิดหน่อย นอกจากจะมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของบัณฑิตอยู่นิด ๆ แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเลย!]

[ปกครองบ้านเมืองก็ไม่เป็น สร้างเรื่องเสียหายล่ะที่หนึ่ง!]

จูหยวนจางไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะประเมินหวงจื่อเฉิงเช่นนี้!

แต่ตอนนี้เขาอยากจะได้ยินเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงเกี่ยวกับที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนใจจะขาด

หากไม่ใช่เพราะหวงจื่อเฉิงพูดแทรกขึ้นมา พระราชนัดดาก็คงจะบอกที่ซ่อนนั้นออกมาแล้ว!

จูหยวนจางเห็นว่าหวงจื่อเฉิงจะพูดต่อ จึงเอ่ยเสียงดัง “หวงจื่อเฉิง เจ้าหุบปากเสีย!”

หวงจื่อเฉิงหน้าแดงก่ำ ทำอะไรไม่ถูก

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงพิโรธขึ้นมากะทันหัน!

หวงจื่อเฉิงเงียบปากแล้ว ท้องพระโรงก็เงียบสงัด

[ตาเฒ่าทรงพระปรีชายิ่งนัก! หวงจื่อเฉิง สมควรโดนด่า! หยวนเหนือไม่น่ากลัวพอ? ล้อเล่นหรือไร!]

[คนจากสายเลือดทองคำของเจงกิสข่าน จะกำจัดได้ง่ายขนาดนั้นเชียว? ผู้ที่เหลืออยู่? อีกหลายสิบปีต่อมา พวกเขาก็กลายเป็นภัยคุกคามของต้าหมิงอีกครั้ง! ลูกหลานของพวกเขาถึงกับจับฮ่องเต้แห่งต้าหมิงเป็นเชลยแล้ว!]

หา จูหยวนจางตกใจอีกแล้ว!

หรือว่าเจ้าเด็กจูอวิ่นเทิงนี่กำลังพูดจาข่มขู่ให้กลัว?

ไม่น่าจะใช่! หากเขาอยากจะขู่ให้กลัว เช่นนั้นควรจะพูดออกมาดังๆ ไม่ใช่เก็บไว้ในใจ

มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ได้ยินเสียงในใจของเขา

เจ้าเด็กนี่อาจจะหยั่งรู้อนาคตได้จริงๆ !

สิ่งที่จูหยวนจางอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ก็คือ ฮ่องเต้หยวนทัวกู่ซือเทียมู่เอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่!

[แต่การให้ตาเฒ่าส่งเสบียงไปเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากเสบียงของหลานอวี้ไม่พอ ต่อให้หาเจอแล้ว ก็กลายเป็นทัพที่หมดสิ้นเรี่ยวแรง ฝ่ายหยวนเหนือก็รอรับมือศัตรูที่อ่อนล้า หลานอวี้ก็จะตกอยู่ในอันตราย]

[อย่างไรเสีย หลานอวี้ก็เป็นน้าทวดของข้า หรือว่าจะหาช่องทางไหนสักทาง บอกที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนให้เขารู้ดี...]

พอได้ยินถึงตรงนี้ จูหยวนจางก็ไม่ได้ยินอีกต่อไป

ที่แท้เป็นเพราะจูอวิ่นเทิงถอยหลังไปหลายก้าว

มาถึงช่วงเวลาสำคัญอีกแล้ว!

“อวิ่นเทิง เจ้าเข้ามาพูดใกล้ๆ เสด็จปู่ไม่จับเจ้ากินหรอก!” จูหยวนจางกล่าว

ฉางเซิงฟังออกแล้วว่า วันนี้ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อหลานชายของตนแตกต่างเป็นพิเศษ!

ยังให้เขาเข้าไปพูดใกล้ๆ อีก!

เสด็จปู่ไม่จับเจ้ากินหรอก คำพูดนี้ ช่างฟังดูสนิทสนมเพียงใด!

หลานนอกของตน ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้ได้!

พี่สาวของข้า ท่านอยู่ใต้พื้นพิภพคงได้เห็นแล้วสินะ!

“อวิ่นเทิง เจ้าลองบอกมาสิ ฮ่องเต้หยวนน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด?”

ตอนนี้จูหยวนจางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เอ่ยถามเข้าประเด็นโดยตรง

เสียงในใจของพระราชนัดดาเมื่อครู่มีเหตุผลอย่างยิ่ง อันที่จริงก็เป็นสิ่งที่เขากังวลที่สุด

หากหาที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนไม่พบเป็นเวลานาน เมื่อกองทัพของหลานอวี้อ่อนล้า ต่อให้เขาไม่ไปหาฮ่องเต้หยวน ฮ่องเต้หยวนก็จะมาหาเขาเอง

ถึงตอนนั้น จะเป็นหายนะอย่างแท้จริง!

นี่คือกองทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย เป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าหมิงทั้งหมด!

ต้องถามให้ได้ว่าฮ่องเต้หยวนซ่อนตัวอยู่ที่ไหน!

“เสด็จปู่ ทุ่งหญ้าทางเหนือกว้างใหญ่เพียงนั้น จะซ่อนที่ไหนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น ส่วนจะอยู่ที่ไหนกันแน่ หลานก็บอกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

จูอวิ่นเทิงคิดในใจ ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด

วันนี้ได้เข้ามาในราชสำนักก็ถูกบีบบังคับมาพอแล้ว และก็เป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว

[เหอะๆ ข้าไม่บอกพวกท่านหรอกว่าฮ่องเต้หยวนซ่อนอยู่ที่ไหน]

[ขุนนางพวกนี้ก็เหลือเกินจริงๆ ทำไมไม่ดูแผนที่กันบ้าง? หรือว่ายุคนี้ ยังไม่มีแผนที่?]

จูหยวนจางยังไม่ได้คำตอบจากเสียงในใจของพระราชนัดดา ในใจก็กระวนกระวายเหมือนถูกแมวข่วน

แผนที่?

ในตำหนักหย่างซินมีแผนที่ขนาดใหญ่แขวนอยู่พอดี!

เช่นนั้นก็ลากเจ้าเด็กอวิ่นเทิงนี่ไปที่หน้าแผนที่ ไม่เชื่อว่าจะหาที่ซ่อนของฮ่องเต้หยวนไม่เจอ!
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 100

    ฉางเซิงได้ฟังก็รู้ว่า ที่แท้เป็นขันทีน้อยที่ฝ่าบาทส่งมาให้จูอวิ่นเทิงเแก้ปัญหาให้เรื่องนี้ ควรบอกให้ฝ่าบาททราบดีหรือไม่?เมื่อตัดสินใจได้ ฉางเซิงก็กราบทูลให้จูหยวนจางทราบก่อนจูหยวนจางคิดดูแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขแล้ว และคนที่จัดการก็คือมู่เหยาต้องเป็นหลานสามที่บอกวิธีแก่มู่เหยาแน่ ๆแล้ววิธีนั้นคืออะไรกันแน่ จูหยวนจางสนใจเป็นอย่างมากเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงที่สำนักโหราศาสตร์หลวงวันนั้น จูหยวนจางกลับไปแล้วก็คิดทบทวนอยู่นานหากวิชาคณิตศาสตร์แพร่หลาย งานฝีมือ อาวุธ และอื่น ๆ ของต้าหมิงก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว!โดยเฉพาะอาวุธ ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากสนามรบ ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของมันแต่ภายใต้การกดดันของพระองค์เอง ฐานะของขุนนางฝ่ายบู๊ก็ลดลง ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฐานะสูงขึ้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง”ในฐานะฮ่องเต้ที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นล่าง ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อพวกฝ่ายบุ๋นที่ทำงานไม่เป็น ได้แต่อวดเก่งในชนบท แม้แต่การปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ได้ในทันทีดังนั้น จูหยวนจาง

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 99

    “มู่เหยา ที่จริงข้ากำลังปิดบังความสามารถบางอย่างอยู่” จูอวิ่นเทิงย้ำอีกครั้งเพราะเขาไม่เห็นความตกใจในแววตาของมู่เหยาเลยมู่เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ”หืม มู่เหยารู้แล้วหรือ?“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”มู่เหยากล่าวว่า “เพราะหม่อมฉันเชื่อในความ...ความรู้สึกของหม่อมฉัน ท่านต้องมีความสามารถแน่นอน อาจมีเหตุผลเฉพาะบางอย่างที่ไม่บอกคนภายนอกเท่านั้นเอง”จูอวิ่นเทิงจิตใจเบิกบานในทันที ไม่คิดเลยว่ามู่เหยาจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตน!อาศัยเพียงความรู้สึก ไม่มีเหตุผลใด ๆ ก็เชื่อว่าตนมีความสามารถแล้วลุงรองก็เป็นแบบนี้ มู่เหยาก็เช่นกันได้ผู้คลั่งไคล้ไม่ลืมหูลืมตาเพิ่มอีกคนแล้วการมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้จิตใจอันทระนงของตนได้รับความพึงพอใจอย่างมาก“ถึงแม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องบุ๋นและไม่เก่งเรื่องบู๊ แต่ข้าก็มีความรู้จิปาถะอยู่บ้าง อย่างเช่นคณิตศาสตร์และเรขาคณิตเป็นต้น”มู่เหยาแอบหัวเราะในใจ สามีในอนาคตของนางยังคงเสแสร้งอยู่ไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ? ท่านบดขยี้ฟางเสี้ยวหรูในทุกด้าน ท่านบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ?ไม่เก่งเรื่องบู๊? ข้าที่ฝึ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 98

    สามารถพูดได้ว่า ความปราดเปรื่องของจูอวิ่นเทิงนั้น ไร้ผู้เทียมทานในยุคนี้!หลายปีมานี้ จูอวิ่นเทิงได้ปกปิดพรสวรรค์ของเขามาโดยตลอด!บัดนี้นางเข้าใจในเจตนาของฝ่าบาทแล้วฝ่าบาทตรัสว่าวิธีเอาชนะกองทัพช้างศึกนั้นได้ยินมาจากคำละเมอของจูอวิ่นเทิงตอนนี้มาคิดดูแล้ว สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง ไม่ได้โป้ปดเลยแม้แต่น้อย!จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกบิดาของตนจูอวิ่นเทิงมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงต้องปกปิดไว้ตลอด?หรือว่าจูอวิ่นเทิงจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง?จะทูลให้ฝ่าบาททราบดีเรื่องนี้หรือไม่?ฝ่าบาททรงรับปากให้ตนแต่งงานกับจูอวิ่นเทิงจูอวิ่นเทิงคือสามีในอนาคตของนาง จะทำเช่นไรดี?จะให้จูอวิ่นเทิงรู้ไม่ได้ และยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทรู้ด้วย ตนเองรู้ก็พอแล้วอันที่จริง ภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้คือการฟังเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง และสังเกตว่ามีสิ่งแปลกใหม่ใดภายในเรือนหรือไม่การไม่ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดพระบัญชาเมื่อมู่เหยามองไปยังจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ภาพลักษณ์ก็พลันสูงส่งขึ้นมาทันทีเดิมทีคิดว่าสามีในอนาคตจะเป็นคนปัญญาอ่อนทำอะไรไม่เป็น แต่ใครจะไปร

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 97

    “ฟางฮั่นหลิน ท่านหมายความว่าจะยังคงสอนหนังสือข้าหรือ?”จูอวิ่นเทิงอยากจะลองตรวจดูว่าหนังหน้าของฟางเสี้ยวหรูทำมาจากวัสดุใด ถึงได้หนาเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็นภาษาโบราณหรือบทกวี ฟางเสี้ยวหรูก็ถูกลูกศิษย์บดขยี้ทุกด้าน เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์ต่ออีกหรือ?ฟางเสี้ยวหรูพยายามควบคุมความอับอายที่แผ่ซ่านอย่างหนักไม่มีทางเลือก การเป็นอาจารย์ส่วนตัวของจูอวิ่นเทิงคือคำสั่งของฝ่าบาท!เดิมทีเขาไม่ได้อยากมาสอนหนังสือ เพียงอยากมาฟังคำละเมอของจูอวิ่นเทิงเท่านั้นหากไม่ได้เป็นอาจารย์ของจูอวิ่นเทิงแล้ว จะชี้แจงให้คนภายนอกฟังอย่างไรดี?หากออกไปบอกว่าความสามารถของจูอวิ่นเทิงเหนือกว่าตนเอง แล้วต่อไปจะอยู่ในแวดวงบัณฑิตและนักกวีได้อย่างไร?และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ทุกคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหลกระทั่งอาจมองว่าเขากำลังย่ำยีเกียรติตัวเอง เอาใจราชสำนัก!ดังนั้น ตอนนี้ยังไปไม่ได้!“อู๋อ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสอนหนังสือ หากอู๋อ๋องไม่ให้กระหม่อมสอนแล้ว ก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อน กระหม่อมจะกราบทูลสาเหตุให้ฝ่าบาททราบด้วยตนเอง”“หากฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมก็จะไป”“แม

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 96

    “อาจารย์ฟาง การคำนวณ เป็นหนึ่งในหกศิลป์ของสุภาพชน แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นทักษะพิสดารไร้ประโยชน์! ไร้สาระ เหลวไหลสิ้นดี!”“เหมือนพวกพิธีการ ดนตรี หรืออักษร มันเข้าใจง่าย พวกท่านจึงขวนขวายกันนัก! ส่วนวิชาที่ลึกซึ้งอย่างคำนวณ ท่านไม่เข้าใจ ก็เลยหลบเลี่ยง”“หากท่านไม่อยากเรียนวิชาคำนวณก็แล้วไป แต่ท่านไม่ควรดูถูกมัน!”เวลานี้ใบหน้าของฟางเสี้ยวหรูแดงก่ำ ไม่นึกเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้อีกฝ่ายมีเหตุมีผล หากจะโต้แย้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มแย้งจากตรงไหน!“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง เหตุใดน้ำถึงไหลลงสู่ที่ต่ำ? เหตุใดผิงกั่วถึงตกลงสู่ด้านล่าง?”ฟางเสี้ยวหรูตอบว่า “นี่คือหลักการธรรมชาติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”“รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น! พวกท่านไม่ได้ชอบพูดถึงการไขสิ่งของเพื่อรู้แจ้งอยู่ตลอดหรือ? แล้วท่านไขสิ่งใดได้บ้าง? คนอย่างพวกท่านยิ่งศึกษามากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์ต้าหมิงมากเท่านั้น!”“รู้ว่าท่านไม่ยอมจำนน สิ่งที่ข้าทำได้ท่านทำไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำได้ข้าทำได้ทั้งหมด ถึงตาของท่านแล้ว!”น้ำเสียงช่างโอหังนัก!ฟางเสี้ยวหรูก

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 95

    ฟางเสี้ยวหรูไม่คาดคิดเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!ถึงกับพูดว่าจะตั้งใจเรียน ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน!เจิ้งเหอและมู่เหยาจึงถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะไม่นานนัก มู่เหยาก็แอบย่องกลับมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างเงียบ ๆภายในห้องหนังสือ จูอวิ่นเทิงกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ท่านสอนเหล่านั้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ”ฟางเสี้ยวหรูเกิดความขุ่นเคืองเมื่อก่อน จูอวิ่นเทิงเคยหลับในห้องเรียนของเขา ก็ยังพอทนได้!บัดนี้ ฝ่าบาทให้เขามาเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่นี่ ก็ยังพอทนได้!ทว่า ตอนนี้จูอวิ่นเทิงกลับกล้าพูดต่อหน้าว่า สิ่งที่เขาสอนนั้นน่าเบื่อ!นี่มันคือการตบหน้ากันซึ่งหน้า ดูหมิ่นกันตรงนั้น!“อู๋อ๋อง ท่านจะดูหมิ่นกระหม่อมก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูหมิ่นปราชญ์ในอดีตไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดูหมิ่นคำสอนของปราชญ์ได้”จูอวิ่นเทิงยิ้ม “คำสอนของปราชญ์ ไหนลองยกตัวอย่างหน่อยสิ?”ฟางเสี้ยวหรูกล่าวว่า “ขงจื๊อกล่าว ในการปกครองประเทศใหญ่ ต้องเคารพหน้าที่และรักษาความสัตย์ มัธยัสถ์และรักผู้คน ให้ประชาชนได้ทำงานตามฤดูกาล”“ขงจื๊อกล่าว คนสามคนเดินด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ของเราสักคน”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status