แชร์

บทที่ 5

ผู้เขียน: กวนเหอว่านหลี่
เหตุผลที่จูหยวนจางไม่ได้ประกาศเรื่องสงครามทางใต้ในราชสำนัก ก็เพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้คนเกิดความตื่นตระหนก

เพราะตอนที่ส่งหลานอวี้ขึ้นเหนือไปตีหยวน ก็มีเสียงคัดค้านอยู่ไม่น้อย

โดยเฉพาะกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นแห่งเจ้อตง มีขุนนางตรวจการบางคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ถึงกับกล่าวว่าการยกทัพขึ้นเหนือไปตีหยวนเป็นการสิ้นเปลืองแรงงานและทรัพย์สิน!

หากได้ข่าวว่าคนเถื่อนทางใต้รวบรวมทัพสามแสนนาย ซึ่งมีกองทัพช้างศึกห้าพันตัวรวมอยู่ด้วย คนพวกนี้จะไม่ขวัญหนีดีฝ่อไปเลยหรือ!

เสียงที่เรียกร้องให้หลานอวี้ถอยทัพจะต้องดังก้องกังวานขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!

ประกอบกับหลายปีมานี้ ต้องเสริมความแข็งแกร่งของเมืองชายแดนและประสบกับภัยแล้งและอุทกภัยติดต่อกัน ทำให้ไม่สามารถรับมือสงครามสองด้านได้อีกต่อไป

เสนาบดีกรมคลังยังคงจ้องมองฎีกาลับอย่างละเอียด เช็ดเหงื่อแล้วทูลว่า “ฝ่าบาท แผนการในตอนนี้ มีเพียงต้องรีบระดมกำลังทหารจากสำนักผู้ว่าการซื่อชวน สำนักผู้ว่าการกว่างซี และสำนักผู้ว่าการกุ้ยโจวไปยังอวิ๋นหนานอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉางเซิงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมเสนอให้เคลื่อนกองทัพค่ายศาสตราอัคคี มีเพียงอาวุธเพลิงเท่านั้นจึงจะรับมือกองทัพช้างศึกได้พ่ะย่ะค่ะ”

เสนาบดีกรมกลาโหมส่ายหน้า “การเคลื่อนกองทัพค่ายศาสตราอัคคี เกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

จูหยวนจางหันไปหาจูอวิ่นเทิง เมื่อวานพระราชนัดดามิได้พูดหรอกหรือว่าสงครามทางใต้นั้น “ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย”

ความมั่นใจของเขามาจากไหนกัน?

คนหลายคนต่างประหลาดใจ ฝ่าบาทมองจูอวิ่นเทิงผู้นี้ทำไม?

เพื่อขอความเห็นจากเขาอย่างนั้นหรือ?

คำตอบของเขาในวันนี้ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาทเห็นความสามารถของเขา หรือว่าต้องการหาความสุขจากความไร้ความสามารถของเขากันแน่

เป็นไปตามคาด จูอวิ่นเทิงส่ายหน้า “ช้างนี่ เกรงว่าจะมีเพียงอาวุธเพลิงเท่านั้นที่จะควบคุมมันได้”

[ช้าง ก็แค่สัตว์ตัวมหึมาเท่านั้น มีอะไรน่ากลัว?]

[มู่อิงเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ค้นพบประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง]

[มีคนบอกมู่อิงว่า ช้างกลัวสิงโต มู่อิงก็เลยให้คนเอากระดาษแข็งมาวาดรูปสิงโต คิดจะทำให้ช้างตกใจหนีไป]

[ตอนนั้นมันก็หนีไปจริงๆ แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะครั้งแรกพวกเขาจุดประทัดด้วย]

[ที่น่าขำก็คือ พอรายงานการรบมาถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางก็พากันคิดว่าช้างกลัวสิงโต]

[แค่วาดรูปสิงโตปลอมๆ ก็ทำให้ช้างตกใจหนีไปได้? พวกท่านคิดจะทำให้ช้างหัวเราะจนตายหรือไง?]

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ จูหยวนจางก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้

ตอนนั้นเขาเองก็คิดเช่นนั้นจริงๆ

ต่อมากองทัพของมู่อิงก็วาดรูปสิงโตอีกครั้ง ผลปรากฏว่าช้างไม่หลงกล วิ่งเข้าชนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กองทัพหมิงบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย

[มู่อิงค้นพบแล้วว่า ที่แท้ช้างไม่ได้กลัวสิงโต แต่กลัวเสียงต่างหาก]

[แน่นอนว่า มู่อิงย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าช้างกลัวเสียงที่ไม่คุ้นเคย หากครั้งนี้มู่อิงยังใช้เสียงที่ช้างเคยได้ยินมาแล้วอีก เกรงว่าจะต้องพ่ายแพ้ยับเยิน]

[ยุคโรมันโบราณ ก็เคยมีกองทัพที่ใช้เสียงร้องของหมู ทำให้ทัพช้างตกใจหนีไป]

[ผลการวิจัยในภายหลังชี้ว่า ขอเพียงเป็นเสียงที่ช้างไม่เคยได้ยินมาก่อน พอได้ยินแล้วจะหนีอย่างแน่นอน อย่าเห็นว่าช้างตัวใหญ่ ที่จริงแล้วจิตใจมันเปราะบางมาก]

โรมันโบราณคืออะไร? เป็นสถานที่ใด หรือว่าเป็นราชวงศ์ไหนกัน?

ผลการวิจัย ใครเป็นคนวิจัย?

พระราชนัดดาคนนี้ของพระองค์ ไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังมีความลับที่ไม่รู้อีกมากมาย!

ความลับเหล่านี้ กำลังรอให้เขาคลี่คลายทีละขั้น

[นอกจากการทำให้ช้างตกใจหนีไปแล้ว ก็ยังมีวิธีอื่นอีก!]

ยังมีวิธีอะไรอีก?

จูหยวนจางเงี่ยหูฟัง

“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเพื่อความปลอดภัย...” ฉีไท่เสนาบดีกรมกลาโหมยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกจูหยวนจางขัดจังหวะอย่างกะทันหัน

“เจ้าหุบปาก!”

สีหน้าของฉีไท่พลันมืดมนลง ฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร หรือว่าช่วงนี้ตนเองทำอะไรผิดพลาด หรือพูดอะไรผิดไป?

เมื่อนึกถึงความไร้ปรานีของฝ่าบาทตอนที่สังหารขุนนาง ฉีไท่ก็รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย

[อย่างน้อยที่สุด มู่อิงก็น่าจะคิดวิธีใช้ม้าได้ เอาผ้าปิดตาม้า แล้วจุดประทัดที่หางของมัน ม้าที่มองไม่เห็นก็จะวิ่งเข้าชนฝูงช้าง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง]

ยอดเยี่ยม!

จูหยวนจางได้ฟังแล้วก็อยากจะปรบมือให้จริงๆ

นี่มิใช่กลยุทธ์วัวเพลิงที่คนโบราณเคยใช้หรอกหรือ?

[แต่ว่า วิธีนี้ค่อนข้างเปลืองม้า! สู้ใช้เสียงประหยัดเงินประหยัดแรงกว่าเยอะ แต่ละครั้งก็ใช้เสียงที่ต่างกันไป ใช้เสียงหมูร้อง เสียงลิงครวญ เสียงสิงโตคำราม เสียงหมาป่าหอน จัดมหกรรมรวมพลสัตว์ไปเลย!]

[เสียงชนิดหนึ่ง ใช้ได้หนึ่งครั้ง ขับไล่ทัพช้างห้าพันตัวหนีไปได้ ยังใช้ไม่หมดด้วยซ้ำ]

ยังมีวิธีแบบนี้ด้วยหรือ?

มันจะง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่?

ที่อวิ๋นหนานแห่งนั้น คนไม่เยอะ เสบียงไม่มาก แต่มีสัตว์ต่างๆ มากมาย!

ทว่าวิธีนี้จะได้ผลจริงหรือไม่ ก็ยังไม่กล้ายืนยัน

สิ่งที่ยืนยันได้คือ เสียงในใจของพระราชนัดดาไม่ได้หลอกลวงเขา

เพราะตระกูลจูได้ครอบครองแผ่นดิน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการพ้องเสียง ทุกคนจึงห้ามเรียกหมูว่าจู

ตั้งแต่ทางราชการไปจนถึงชาวบ้าน ต้องเรียกหมูว่า “สื่อ”

พระราชนัดดาเรียกหมูว่าจูในใจ แม้จะฟังดูไม่สบายหู แต่ก็ตำหนิเขาไม่ได้

เช่นนั้นก็เอาวิธีของพระราชนัดดาเขียนเป็นสาส์นลับ ส่งให้มู่อิงอย่างเร่งด่วน ให้เขาทำตาม

ขอเพียงขับไล่ทัพช้างห้าพันตัวนี้ได้ ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหา

หากวิธีนี้ได้ผล พระราชนัดดาก็ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ให้เขาได้!

แน่นอนว่าสาส์นลับนี้ควรให้องครักษ์เสื้อแพรเป็นผู้จัดการจะดีที่สุด หากรั่วไหลออกไป พระราชนัดดาคงจะระวังตัวแน่

เรื่องที่สามารถแอบฟังเสียงในใจของพระราชนัดดาได้ ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้เด็ดขาด

จูหยวนจางใช้ไม้ยาวชี้ไปทางทิศใต้ แล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่ต้องระดมพลจัดหาเสบียง เราเชื่อมั่นในตัวมู่อิง! ทัพช้างแค่ห้าพันตัว ไม่น่ากลัวพอ!”

หลายคนต่างมองหน้ากันไปมา ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป?

หรือฝ่าบาททรงพบวิธีเอาชนะศัตรูแล้ว หรือว่าทรงเชื่อมั่นในบุตรบุญธรรมผู้นี้จริงๆ ?

ไม่มีใครกล้าถาม

[ต้องได้สัมผัสใกล้ชิดเท่านั้น ถึงจะรู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของตาเฒ่าจู! นี่แหละที่เรียกว่า ไม่ใช้คนที่น่าสงสัย และไม่สงสัยคนที่ใช้!]

[มู่อิง ท่านสามารถเชื่อมั่นได้เสมอ!]

[หากไม่มีมู่อิง ก็ไม่มีอวิ๋นหนานในวันนี้!]

จูหยวนจางดีต่อมู่อิงอย่างยิ่ง ปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นบุตรของตนเอง ไม่เพียงแต่สอนให้เขาอ่านหนังสือ ยังสอนวิธีการนำทัพทำศึกอีกด้วย

มู่อิงเป็นแม่ทัพเพียงไม่กี่คนในราชวงศ์หมิงที่เคยทำศึกใหญ่ทั้งทางเหนือ ทางตะวันตก และทางใต้

เมื่อได้ยินจูอวิ่นเทิงยกย่องมู่อิงถึงเพียงนี้ ในใจของจูหยวนจางกลับรู้สึกกระหยิ่มใจขึ้นมาเล็กน้อย

แม้เจ้าหลานคนนี้จะไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เรียกเขาว่า “ตาเฒ่าจู” แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ถึงความเก่งกาจของเขา!

ในใจของจูหยวนจางกลับเกิดความรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาเล็กน้อย

“วันนี้เรามีความสุข มีความสุขจริงๆ! มา กินข้าวด้วยกัน”

ฉีไท่และคนอื่นๆ รีบประสานมือ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระราชทานอาหาร (พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่)!”

เพราะต้องเข้าประชุมเช้าตรู่ ขุนนางส่วนใหญ่จึงไม่ทันได้กินอาหารเช้า

ขุนนางบางคนจะพกไข่ต้มหรือแป้งทอดติดตัวไว้กินรองท้อง

ก่อนรัชสมัยหงอู่ปีที่สิบ ราชสำนักยังมีการเตรียมอาหารให้ขุนนางในวัง

ต่อมา จูหยวนจางรู้สึกว่าขุนนางกินเงินเดือนหลวง ควรจะประหยัดมัธยัสถ์บ้าง จึงได้ยกเลิกการพระราชทานอาหารเช้าไป

ไม่คาดคิดว่าวันนี้ จูหยวนจางจะพระราชทานอาหารให้ทั้งสามคน!

คราวนี้ฉีไท่ก็วางใจได้ในที่สุด ที่แท้เมื่อครู่ที่จูหยวนจางให้ตนหุบปาก เป็นเพียงการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ

มิเช่นนั้น ฝ่าบาทจะพระราชทานอาหารได้อย่างไร?

นี่คือตำหนักหย่างซินนะ!

ไม่ใช่การพระราชทานอาหารธรรมดา แต่เป็นการร่วมรับประทานอาหารเช้ากับฝ่าบาท!

นี่เป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เพียงใด!

เมื่อออกไปแล้ว เหล่าขุนนางจะต้องมองตนใหม่ด้วยความชื่นชมอย่างแน่นอน

ฉางเซิงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง นับตั้งแต่ชายารัชทายาทสิ้นไป ตระกูลฉางก็ถูกฝ่าบาททอดทิ้ง

ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับฝ่าบาท

หรือว่าเป็นเพราะจูอวิ่นเทิงหลานนอกของตน?

แต่ว่า วันนี้จูอวิ่นเทิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากนี่นา

กรมพระเครื่องต้นยกอาหารเช้าขึ้นมา โจ๊กปลายข้าว ผักดอง ก้านผักกาดขาว กระเทียมที่ปอกเปลือกแล้ว

เสนาบดีทั้งสองกินอย่างเอร็ดอร่อย น้ำตาไหลหยดลงไปในชาม

ข้าไม่ได้กินข้าว แต่กินเกียรติยศ!

จูหยวนจางไม่สนใจภาพลักษณ์ ยกชามขึ้นมากิน ในปากยังมีเสียงดังจั๊บๆ

[ตาเฒ่าจูมาจากครอบครัวที่ลำบากจริงๆ! เป็นฮ่องเต้แล้ว ยังเรียบง่ายขนาดนี้!]

[ฮ่องเต้แบบนี้ ขอให้ข้าสักโหลหนึ่ง!]

[ไม่สิ ฮ่องเต้ต้องมีเพียงคนเดียว!]

[แต่ว่า กับข้าวพวกนี้นี่รับไม่ได้จริงๆ!]

[เทียบกับหม้อไฟ ข้าวผัดของข้าแล้ว นี่มันอาหารหมูชัดๆ!]

[เจ้าพวกนี้เป็นหมูหรือไง? กินกันอร่อยขนาดนี้?]

อาหารหมู?

แค่ก แค่ก จูหยวนจางที่กำลังซดโจ๊กอยู่ถึงกับสำลัก
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 100

    ฉางเซิงได้ฟังก็รู้ว่า ที่แท้เป็นขันทีน้อยที่ฝ่าบาทส่งมาให้จูอวิ่นเทิงเแก้ปัญหาให้เรื่องนี้ ควรบอกให้ฝ่าบาททราบดีหรือไม่?เมื่อตัดสินใจได้ ฉางเซิงก็กราบทูลให้จูหยวนจางทราบก่อนจูหยวนจางคิดดูแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขแล้ว และคนที่จัดการก็คือมู่เหยาต้องเป็นหลานสามที่บอกวิธีแก่มู่เหยาแน่ ๆแล้ววิธีนั้นคืออะไรกันแน่ จูหยวนจางสนใจเป็นอย่างมากเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงที่สำนักโหราศาสตร์หลวงวันนั้น จูหยวนจางกลับไปแล้วก็คิดทบทวนอยู่นานหากวิชาคณิตศาสตร์แพร่หลาย งานฝีมือ อาวุธ และอื่น ๆ ของต้าหมิงก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว!โดยเฉพาะอาวุธ ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากสนามรบ ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของมันแต่ภายใต้การกดดันของพระองค์เอง ฐานะของขุนนางฝ่ายบู๊ก็ลดลง ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฐานะสูงขึ้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง”ในฐานะฮ่องเต้ที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นล่าง ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อพวกฝ่ายบุ๋นที่ทำงานไม่เป็น ได้แต่อวดเก่งในชนบท แม้แต่การปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ได้ในทันทีดังนั้น จูหยวนจาง

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 99

    “มู่เหยา ที่จริงข้ากำลังปิดบังความสามารถบางอย่างอยู่” จูอวิ่นเทิงย้ำอีกครั้งเพราะเขาไม่เห็นความตกใจในแววตาของมู่เหยาเลยมู่เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ”หืม มู่เหยารู้แล้วหรือ?“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”มู่เหยากล่าวว่า “เพราะหม่อมฉันเชื่อในความ...ความรู้สึกของหม่อมฉัน ท่านต้องมีความสามารถแน่นอน อาจมีเหตุผลเฉพาะบางอย่างที่ไม่บอกคนภายนอกเท่านั้นเอง”จูอวิ่นเทิงจิตใจเบิกบานในทันที ไม่คิดเลยว่ามู่เหยาจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตน!อาศัยเพียงความรู้สึก ไม่มีเหตุผลใด ๆ ก็เชื่อว่าตนมีความสามารถแล้วลุงรองก็เป็นแบบนี้ มู่เหยาก็เช่นกันได้ผู้คลั่งไคล้ไม่ลืมหูลืมตาเพิ่มอีกคนแล้วการมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้จิตใจอันทระนงของตนได้รับความพึงพอใจอย่างมาก“ถึงแม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องบุ๋นและไม่เก่งเรื่องบู๊ แต่ข้าก็มีความรู้จิปาถะอยู่บ้าง อย่างเช่นคณิตศาสตร์และเรขาคณิตเป็นต้น”มู่เหยาแอบหัวเราะในใจ สามีในอนาคตของนางยังคงเสแสร้งอยู่ไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ? ท่านบดขยี้ฟางเสี้ยวหรูในทุกด้าน ท่านบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ?ไม่เก่งเรื่องบู๊? ข้าที่ฝึ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 98

    สามารถพูดได้ว่า ความปราดเปรื่องของจูอวิ่นเทิงนั้น ไร้ผู้เทียมทานในยุคนี้!หลายปีมานี้ จูอวิ่นเทิงได้ปกปิดพรสวรรค์ของเขามาโดยตลอด!บัดนี้นางเข้าใจในเจตนาของฝ่าบาทแล้วฝ่าบาทตรัสว่าวิธีเอาชนะกองทัพช้างศึกนั้นได้ยินมาจากคำละเมอของจูอวิ่นเทิงตอนนี้มาคิดดูแล้ว สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง ไม่ได้โป้ปดเลยแม้แต่น้อย!จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกบิดาของตนจูอวิ่นเทิงมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงต้องปกปิดไว้ตลอด?หรือว่าจูอวิ่นเทิงจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง?จะทูลให้ฝ่าบาททราบดีเรื่องนี้หรือไม่?ฝ่าบาททรงรับปากให้ตนแต่งงานกับจูอวิ่นเทิงจูอวิ่นเทิงคือสามีในอนาคตของนาง จะทำเช่นไรดี?จะให้จูอวิ่นเทิงรู้ไม่ได้ และยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทรู้ด้วย ตนเองรู้ก็พอแล้วอันที่จริง ภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้คือการฟังเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง และสังเกตว่ามีสิ่งแปลกใหม่ใดภายในเรือนหรือไม่การไม่ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดพระบัญชาเมื่อมู่เหยามองไปยังจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ภาพลักษณ์ก็พลันสูงส่งขึ้นมาทันทีเดิมทีคิดว่าสามีในอนาคตจะเป็นคนปัญญาอ่อนทำอะไรไม่เป็น แต่ใครจะไปร

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 97

    “ฟางฮั่นหลิน ท่านหมายความว่าจะยังคงสอนหนังสือข้าหรือ?”จูอวิ่นเทิงอยากจะลองตรวจดูว่าหนังหน้าของฟางเสี้ยวหรูทำมาจากวัสดุใด ถึงได้หนาเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็นภาษาโบราณหรือบทกวี ฟางเสี้ยวหรูก็ถูกลูกศิษย์บดขยี้ทุกด้าน เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์ต่ออีกหรือ?ฟางเสี้ยวหรูพยายามควบคุมความอับอายที่แผ่ซ่านอย่างหนักไม่มีทางเลือก การเป็นอาจารย์ส่วนตัวของจูอวิ่นเทิงคือคำสั่งของฝ่าบาท!เดิมทีเขาไม่ได้อยากมาสอนหนังสือ เพียงอยากมาฟังคำละเมอของจูอวิ่นเทิงเท่านั้นหากไม่ได้เป็นอาจารย์ของจูอวิ่นเทิงแล้ว จะชี้แจงให้คนภายนอกฟังอย่างไรดี?หากออกไปบอกว่าความสามารถของจูอวิ่นเทิงเหนือกว่าตนเอง แล้วต่อไปจะอยู่ในแวดวงบัณฑิตและนักกวีได้อย่างไร?และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ทุกคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหลกระทั่งอาจมองว่าเขากำลังย่ำยีเกียรติตัวเอง เอาใจราชสำนัก!ดังนั้น ตอนนี้ยังไปไม่ได้!“อู๋อ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสอนหนังสือ หากอู๋อ๋องไม่ให้กระหม่อมสอนแล้ว ก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อน กระหม่อมจะกราบทูลสาเหตุให้ฝ่าบาททราบด้วยตนเอง”“หากฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมก็จะไป”“แม

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 96

    “อาจารย์ฟาง การคำนวณ เป็นหนึ่งในหกศิลป์ของสุภาพชน แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นทักษะพิสดารไร้ประโยชน์! ไร้สาระ เหลวไหลสิ้นดี!”“เหมือนพวกพิธีการ ดนตรี หรืออักษร มันเข้าใจง่าย พวกท่านจึงขวนขวายกันนัก! ส่วนวิชาที่ลึกซึ้งอย่างคำนวณ ท่านไม่เข้าใจ ก็เลยหลบเลี่ยง”“หากท่านไม่อยากเรียนวิชาคำนวณก็แล้วไป แต่ท่านไม่ควรดูถูกมัน!”เวลานี้ใบหน้าของฟางเสี้ยวหรูแดงก่ำ ไม่นึกเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้อีกฝ่ายมีเหตุมีผล หากจะโต้แย้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มแย้งจากตรงไหน!“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง เหตุใดน้ำถึงไหลลงสู่ที่ต่ำ? เหตุใดผิงกั่วถึงตกลงสู่ด้านล่าง?”ฟางเสี้ยวหรูตอบว่า “นี่คือหลักการธรรมชาติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”“รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น! พวกท่านไม่ได้ชอบพูดถึงการไขสิ่งของเพื่อรู้แจ้งอยู่ตลอดหรือ? แล้วท่านไขสิ่งใดได้บ้าง? คนอย่างพวกท่านยิ่งศึกษามากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์ต้าหมิงมากเท่านั้น!”“รู้ว่าท่านไม่ยอมจำนน สิ่งที่ข้าทำได้ท่านทำไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำได้ข้าทำได้ทั้งหมด ถึงตาของท่านแล้ว!”น้ำเสียงช่างโอหังนัก!ฟางเสี้ยวหรูก

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 95

    ฟางเสี้ยวหรูไม่คาดคิดเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!ถึงกับพูดว่าจะตั้งใจเรียน ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน!เจิ้งเหอและมู่เหยาจึงถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะไม่นานนัก มู่เหยาก็แอบย่องกลับมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างเงียบ ๆภายในห้องหนังสือ จูอวิ่นเทิงกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ท่านสอนเหล่านั้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ”ฟางเสี้ยวหรูเกิดความขุ่นเคืองเมื่อก่อน จูอวิ่นเทิงเคยหลับในห้องเรียนของเขา ก็ยังพอทนได้!บัดนี้ ฝ่าบาทให้เขามาเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่นี่ ก็ยังพอทนได้!ทว่า ตอนนี้จูอวิ่นเทิงกลับกล้าพูดต่อหน้าว่า สิ่งที่เขาสอนนั้นน่าเบื่อ!นี่มันคือการตบหน้ากันซึ่งหน้า ดูหมิ่นกันตรงนั้น!“อู๋อ๋อง ท่านจะดูหมิ่นกระหม่อมก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูหมิ่นปราชญ์ในอดีตไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดูหมิ่นคำสอนของปราชญ์ได้”จูอวิ่นเทิงยิ้ม “คำสอนของปราชญ์ ไหนลองยกตัวอย่างหน่อยสิ?”ฟางเสี้ยวหรูกล่าวว่า “ขงจื๊อกล่าว ในการปกครองประเทศใหญ่ ต้องเคารพหน้าที่และรักษาความสัตย์ มัธยัสถ์และรักผู้คน ให้ประชาชนได้ทำงานตามฤดูกาล”“ขงจื๊อกล่าว คนสามคนเดินด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ของเราสักคน”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status