เข้าสู่ระบบซูเหยายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ตอบในทันที นางเปลี่ยนท่านั่ง เอนตัวพิงหมอนข้าง ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะข้างตัวสามครั้ง เป็นจังหวะเนิบนาบราวกับคนกำลังนับอะไรอยู่ในใจ“ข้าล่อเหยื่อไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว” นางพูดในที่สุด น้ำเสียงแฝงความเหนื่อยอ่อนที่แสร้งทำจนบ่าวรับใช้แทบแยกไม่ออก“ปลาตัวนั้นอาจฉลาด ทว่าเมื่อเห็นเหยื่อก้อนใหญ่กว่าปกติ ใครจะอดใจไหวกัน”หลี่หลัวรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ “โธ่คุณหนู ของรางวัลพวกนั้นล้วนเป็นของมีค่าที่ท่านเก็บสะสมไว้ทั้งสิ้น มิใช่ของที่หาได้ง่ายดาย หากสุดท้ายแล้วไม่ได้เบาะแสกลับมา...”“ไม่ได้หรือ” ซูเหยาตัดคำเสียงเบา แววตาเป็นประกายอ่อนระยับราวแสงหิ่งห้อย “ทำไมจะไม่ได้กัน”หลี่หลัวกับกุ้ยซินสบตากันอีกครั้ง สีหน้าผสมผสานทั้งความงงงันและกังวลซูเหยาเอนตัวพิงหมอนอีกครั้ง ในใจนางหัวเราะอยู่ไม่รู้กี่รอบ เพราะนางรู้คำตอบอยู่แล้ว“ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกเปลือกทับทิม เพราะข้ามีสิ่งที่ไม่มีใครมี ดวงตาที่เห็นความรู้สึกแท้ของคนทั้งเรือน”“พวกเจ้าจะซ่อนความรู้สึกอย่างไรได้กัน เมื่อข้าเห็นแม้แต่ความลังเลในหนึ่งลมหายใจของพวกเจ้า”หลี่หลัวกับกุ้ยซินยังก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ทั้งคู่เพิ่งรู้ว่าเ
รุ่งอรุณคลี่ตัวอย่างอ้อยอิ่ง ละอองหมอกบางล้อมรอบจวนฟาง เงาของกิ่งเหมยทอดบนพื้นกรวดที่ยังชื้นจากฝนเมื่อคืนซูเหยาแต่งกายเรียบง่ายในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ผ้าคลุมไหล่บางพาดผ่านบ่า ผิวซีดจัดราวกับยังไม่หายไข้ดีนางก้มหน้าลงช้า ๆ สะท้อนภาพตนเองในกระจกสำริด ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ริมฝีปากคล้ายกลีบดอกท้อถูกน้ำค้างกัดจนจืดสีปลายนิ้วเรียวแตะกล่องแป้งฝุ่น ตบเบา ๆ ลงบนแก้ม นางมองเงาตัวเองอย่างพิจารณา ก่อนหัวเราะแผ่วที่มุมปาก“อ่อนแอหน่อยจะได้ไม่มีใครกลัวข้า”เสียงไอหลายคำหลุดจากลำคอราวกับลมร่วงผ่านกิ่งหลิว เมื่อก้าวออกจากเรือน ทุกสายตาที่มองเห็นต่างรีบเข้ามาช่วยประคอง แต่ซูเหยาเพียงยกมือปฏิเสธ“ไม่เป็นไร ข้าเพียงต้องลมเข้าหน่อยเท่านั้น”พอถึงลานกลาง บ่าวทุกคนก็รออยู่เรียงแถวเรียบร้อย บนโต๊ะหินกลางลานมีถุงเงินวางซ้อนเรียงเป็นระเบียบ สิบตำลึงสำหรับทุกคนตามที่นางสัญญาไว้เมื่อคืน“ทุกคนอยู่กันพร้อมแล้วหรือ” ซูเหยาเอ่ย น้ำเสียงอ่อนแรง“พร้อมเจ้าค่ะ/ขอรับ” เสียงตอบพร้อมกันดังกังวานซู
พลบค่ำหลี่หลัวกลับมาด้วยสีหน้าเร่งรีบก็รู้ได้ทันทีว่ามีข่าวใดไม่ดีซูเหยาซึ่งเอนกายอยู่บนหมอนลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ว่าอย่างไร”สีหน้านางซีดเผือดด้วยความวิตก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าซูเหยา “คุณหนู ยามีปัญหาจริง ๆ เจ้าค่ะ”“อืม ท่านหมอบอกว่าอย่างไรหรือ” ซูเหยาทิ้งเสียงหัวเราะแผ่วเบา เห็นว่าตนทำให้หลี่หลัวตื่นตกใจเสียแล้ว “ไม่เป็นไร อย่ากังวล ค่อยๆ เล่า”“หมอท่านว่า สารที่พบคล้ายเป็นผงรากเย็น ชนิดที่ผ่านการบดละเอียดและแช่ในน้ำไว้นานจนสลายเป็นละออง สรรพคุณของมันไม่ใช่ให้ตายทันที หากแต่ชะลอการหมุนเวียนโลหิต ทำให้หยางภายในอ่อนลง สร้างความเย็นชาต่อเนื้อเยื่อและช่วยชะลออัตราการเผาผลาญ หากรับประทานต่อเนื่อง ผู้รับจะค่อย ๆ ซีด เหนื่อยล้า ชีพจรเบาและช้า มือเย็น ปลายเท้าเย็น อาจมึนงงและซึมลงทุกวัน”ซูเหยาพยักหน้า ช้อนสายตาลงมองผ้าเช็ดหน้าซึ่งหลี่หลัวนำมาวางไว้บนเก้าอี้ข้างเตียง “แปลว่าผู้วางตัวยาหวังให้ข้าอ่อนแรงลง มิได้หวังให้ข้าตายทันที”หลี่หลัวอุทาน “เจ้าคะ?”ซูเหยาครุ่นคิด มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากจนใจเอื้อนเอ่ย “แล้วกากยาล่ะ พบอะไรหรือไม่”“ไม่พบเจ้าค่ะ” หลี่หลัวสั่นศีรษะ “กากยาที่ข้านำไปตรว
นับจากที่ตากฝนเมื่อคืน ซูเหยาล้มป่วยอย่างเป็นทางการ หลายวันมานี้นางเจอเรื่องราวมากมายจนร่างกายอ่อนแอด้วยความเครียดสะสม เป็นเหตุให้ซูเหยาหยุดแสร้งทำตัวอ่อนแอเพราะนางป่วยจริงๆหลี่หลัวเข้ามาพร้อมยาต้ม พอรับประทานอาหารเสร็จจิบไปคำหนึ่ง รสขมเฝื่อนของยาเมื่อครู่ทำเอานางอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ไม่ได้กล่าวอันใด นางดื่มอีกคำลงไป ยามนี้เองสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว พร้อมกับคายยาใส่ถ้วยดังเดิม“ยาต้มนี้เป็นชามที่สามของวันแล้วใช่หรือไม่” ซูเหยาวางชามลง มองหลี่หลัวแววตาจริงจัง ยาชามนี้คล้ายว่าไม่เหมือนกับก่อนหน้า“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นอันใดไป หรือว่ายามีปัญหาเจ้าคะ”ซูเหยาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ถามขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ยารอบนี้ เจ้าต้มเองหรือไม่”“กุ้ยซินเป็นคนต้มเจ้าค่ะ ส่วนข้าเป็นคนเฝ้าไว้ไม่ได้ลุกไปไหน ทุกขั้นตอนล้วนทำตามที่ท่านหมอกำชับ” สีหน้าหลี่หลัวแปรเปลี่ยน “ยานี้ผิดปกติจริงหรือ”“ยังบอกไม่ได้ เพียงแต่กลิ่นแตกต่างกว่าครั้งก่อนอยู่บ้าง” ซูเหยาดึงปิ่นปักผมจุ่มลงชามยาต้ม ด้ามสีเงินยังคมเดิม “เจ้านำยาต้มในชามไปโรงหมอสักรอบหนึ่ง ตรวจดูว่ามีสิ่งใดเจอปนบ้าง หากไม่พบก็แล้วไป ข้าอาจคิดมา
เสียงระฆังลมกระทบกันเบา ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดม่านไม้ไผ่เป็นริ้วร้านน้ำชาที่เพิ่งเปิดใหม่ “เหยาซินถัง” ตกแต่งงดงาม ตัวอาคารไม้สีอ่อน โปร่งด้วยหน้าต่างกระจกฝ้ารูปเมฆ โต๊ะไม้ไผ่เรียงรายเป็นระเบียบ ด้านในสุดมีชั้นวางโถชาแกะลาย ตรงกลางห้อง มีกระถางบัวขนาดใหญ่ น้ำใสสะท้อนเงาจันทร์จำลองจากโคมกระดาษที่แขวนอยู่เหนือศีรษะวันนี้คลาคล่ำด้วยผู้คน พวกหลงจู๊และเหล่าบัณฑิตมานั่งพูดคุยกัน เสียงหัวเราะนุ่มนวลเคล้ากลิ่นชาอบใบเหมย และกลิ่นหอมหวานจากขนมสดใหม่ซูเหยาอยู่ในชุดผ้าแพรสีอ่อน นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ นางกำลังบรรจงรินน้ำชาจากกาน้ำดินเผาลงในจอกขาว ละอองไอร้อนลอยคลอรอบปลายนิ้วหลี่หลัวยืนอยู่ใกล้ ๆ มือเรียวกำลังจดบัญชีและตรวจนับกล่องชา พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ“ในที่สุดความฝันของคุณหนูก็กลายเป็นจริงแล้วเจ้าค่ะ ดูสิ ลูกค้าข้างนอกแน่นขนัดตั้งแต่เปิดร้านจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลยสักนิด”ซูเหยายิ้มบาง ดวงตาอ่อนโยนทอดมองออกไปยังหน้าร้าน มองกลุ่มคนเดินผ่าน เสียงหัวเราะของแขกหนุ่มสาว และสูดกลิ่นหอมของขนมอบคลุ้งไปทั่วอากาศ“กลิ่นชาคละเคล้าขนมสูตรเฉพาะตอนนี้กำลังดีทีเดียว หากรุนแรงไปจะท
ซูเหยาใช้เท้าเขี่ยขาเขาอย่างไม่ลังเล ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น่าจะสลบไปแล้วกระมัง"ช่วยคนหนึ่งครั้งเรียกว่าบังเอิญ สองครั้งเรียกว่าสวรรค์บังคับ" ซูเหยาพึมพำกับตัวเองขณะยืนมองเขา นางเริ่มยกชายเสื้อของเขาขึ้น พิจารณาแผลกลางอกที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แม้จะไม่ลึกมากจนถึงชีวิต แต่ถ้าไม่รีบรักษาในตอนนี้ เขาคงจะได้ตายจริง ซูเหยารู้ดีว่าเวลาไม่รีรอเมื่อมือของซูเหยาเริ่มทำแผลให้กับเขา นางรู้สึกถึงความไม่มั่นคงที่กำลังก่อตัวในใจ ความหล่อเหลาของเขาทำให้นางเผลอหยุดมองเนิ่นนาน ใบหน้าที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด ความงดงามของเขานั้นเหมือนเทพบุตรที่ลงมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่นางทายา มืออีกข้างไม่รักดีถึงกับลูบไล้ใบหน้ารูปสลักนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของซูเหยาฉับพลัน นางรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ซูเหยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สั่นศีรษะเรียกสติตนเองกลับคืน ไม่ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในความลุ่มหลงนี้ได้จู่ ๆ สัญชาตญาณบางอย่างก็ทำให้ซูเหยาหยุดการกระทำของตัวเองได้สำเร็จ นางเหลือบมองไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม แล้วเห็นตัวเลขที่กระพริบขึ้นเหนือหัวของเขา นางไม่อาจมองข้ามสิ่งนี้ได้ ค่าความชอบ







