เธอตื่นขึ้นมาในร่างของนางร้ายในนิยายที่ตัวเองเขียน บทบาทของพิงค์มิรามีเพียงหนึ่งเดียวทำลายทุกอย่างและจบลงด้วยความตาย แต่เมื่อเธอพยายามดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนชะตา เส้นเรื่องกลับพาเธอเข้าไปพัวพันกับเขา
view moreทิชานักเขียนสาววัยยี่สิบต้นๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันในบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่ชานเมือง บ้านหลังเล็กที่เธอซื้อไว้ด้วยเงินจากการเขียนนิยายมาตลอดห้าปี ทั้งชีวิตของเธอมีเพียงตัวอักษร เป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งเป็นความรักที่ไม่เคยทรยศ
ในคืนฝนพรำคืนนั้นบนโต๊ะไม้หน้าหน้าต่าง เธอกำลังนั่งเขียนตอนจบของนิยายเรื่องล่าสุด เรื่องราวของพิงค์มิรา นางร้ายที่ไม่มีใครรักไม่มีใครเข้าใจ และสุดท้ายต้องตายอย่างเดียวดายในห้องนอนที่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากโลกภายนอก
“พี่ศรัญถ้าคิดว่าเกรซโกหกก็ยิงเลย”
“อย่ามาท้าฉันเกรซ และจำไว้ว่าคนที่ฉันรักมีพราวฟ้าคนเดียวฉันไม่เคยรักเธอ!” เขาตะโกนสุดเสียงมือไม้สั่นเทาเพราะเกียจคนตรงหน้า ที่เข้ามาทำลายเขาและคนที่เขารัก
เธอวางมือลงบนอกของเขาตรงหัวใจที่เต้นรัว ความเงียบเข้าครอบคลุมเพียงชั่ววินาที แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ดังชัดเจนในค่ำคืนอ้างว้าง
ปัง!
ร่างของพิงค์มิราทรุดลงช้าๆ แขนตกข้างลำตัวดวงตากลมโตยังค้างอยู่ที่ใบหน้าของเขา ราวกับอยากจดจำให้ถึงวินาทีสุดท้าย
“ขอบคุณที่เคยทำให้เกรซรู้จักคำว่ารัก” เธอพูดด้วยเสียงกระซิบ ก่อนดวงตาจะค่อยๆ ปิดลง พร้อมลมหายใจที่แผ่วเบาลงทุกที
เลือดไหลซึมลงผืนหญ้า และลมหายใจของเธอก็ไม่กลับมาอีก
ทิชาวางปากกาลงช้าๆ น้ำตาไหลรินตามแรงสะเทือนของฉากสุดท้ายที่เธอเป็นคนบรรจงเขียน แต่รู้สึกเหมือนมันเป็นคำไว้อาลัยของชีวิตตัวเอง
“ไอ้ศรัญสารเลวเอ้ย” ทิชาสบถออกมาเพราะกำลังอินแถมยังมีนักเขียนเข้ามาคอมเมนต์ด่าคนเขียนมากมาย รวมถึงด่าตัวละครด้วย
‘คนเขียนโรคจิตป่ะ’
‘ไอ้เลวไม่รักแล้วยังยิงเขาอีก’
‘เกิดอีกกี่ชาติอย่าได้เจอกับคนแบบมึงอีก’
‘คนเขียนขาดความรักหรือยังไงพิงค์มิราก็มีหัวใจน่ะ ถึงจะร้ายนางก็รักแต่พระเอก’
ทิชายิ้มอย่างภาคภูมิใจที่มีกระแสตอบรับนิยายเรื่องนี้อย่างล้นหลาม แต่ละปีงานเขียนสามารถทำเงินให้เธอมากมายเรียกว่าหลายคนคิดไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ความบ้างานมักมาพร้อมกับความโดเดี่ยว
“เกิดหน้าหรือชาติไหนขออย่าได้เจอผู้ชายแบบไอ้ศรัญ!”
ตัวละครเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง แต่ปักใจรักพราวฟ้านางเอกของเรื่อง ทำลายทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่เรารัก แต่ลืมนึกถึงจิตใจของอีกคนเขากำจัดได้ทุกคนแม้กระทั่งคนที่รักเขา
จู่ๆ สายฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด ราวกับฟ้ารู้ว่าคืนนี้จะมีอะไรบางอย่างจบลง
“มาตกอะไรตอนนี้กลางคืนมันเหงา”
ทิชาเดินช้าๆ ออกจากโต๊ะเขียนนิยายมือยังเปื้อนหมึกที่ยังไม่แห้งดี เธอพิงกับขอบเคาน์เตอร์ในห้องครัว เปิดก๊อกน้ำ ตั้งใจจะล้างหน้าที่เปียกไปด้วยทั้งน้ำตาและเหงื่อเย็นๆ แต่อยู่ดีๆ แสงสว่างสีขาววาบก็สาดเข้ามาในห้อง
เปรี้ยง!
แรงระเบิดจากฟ้าผ่าทำให้ร่างของทิชาถูกเหวี่ยงกระแทกกับพื้น กลิ่นควันไหม้คละคลุ้งเธอนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม้เย็นเฉียบ รู้สึกถึงลมหายใจที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ เหมือนเสียงโลกทั้งใบหายไปไกลเกินจะเอื้อมถึง
สายตาเธอเริ่มพร่าเลือน แต่ในหัวกลับชัดเจนเหลือเกิน
“นี่เรากำลังจะตายจริงๆ ใช่ไหม ยังไม่มีผัวอายุก็สั้น”
ทิชาค่อยๆ หลับตาลง ภาพชีวิตที่ผ่านมาผุดขึ้นในหัว เหมือนฉายซ้ำช้าๆ
โต๊ะเขียนหนังสือกลางห้องเงียบ ๆ กองต้นฉบับวางเรียงกันสูงราวภูเขา ถ้วยกาแฟที่แห้งสนิทจนเป็นคราบ โทรศัพท์มือถือที่แทบไม่เคยมีสายเรียกเข้า เว้นแต่บรรณาธิการเพราะพ่อกับแม่เธอเสียไปนานหลายปีแล้ว
คืนวันเกิดที่เธอนั่งกินเค้กคนเดียว พร้อมเป่าเทียนขอพรเดิมๆ
“อยากมีใครสักคนที่ไม่ต้องเข้าใจงานเขียนเราก็ได้ ขอแค่อยู่ข้างๆ ในวันที่เหนื่อย ในวันที่เรารู้สึกว่าไม่เหลือใคร”
แต่เธอก็ไม่เคยได้เจอคนนั้น เวลาหมดไปกับการเขียนถึงความรักในจินตนาการ ทั้งที่ความรักในชีวิตจริงเธอยังไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง
ริมฝีปากของทิชาขยับเบาๆ ราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง ‘จะตายทั้งทีขอมีชีวิตที่เลิศหรูกว่านี้ได้ไหม ขอผู้ชายหล่อๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง’
แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาหยดน้ำตาหยดสุดท้ายไหลลงข้างแก้ม พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่เธอปล่อยไปอย่างเงียบงัน
.
กลิ่นดอกลาเวนเดอร์ลอยอ่อน ๆ ในอากาศ ผ้าม่านสีครีมปลิวไหวตามแรงลมอ่อนยามเช้า แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำ
มือของเธอเรียวบางเนียนนุ่มกว่าที่เคย สวมแหวนเพชรวงใหญ่ เนื้อผ้าเป็นแบรนเนมสุดหรูที่คนอย่างทิชาไม่มีปัญญาซื้อ บรรยากาศคุ้นเคยมากเหมือนเธอหลุดเข้ามาอยู่ในนิยาย
เธอลุกพรวดขึ้นมองรอบตัวห้องนอนหรูหราที่เธอเป็นคนบรรยายไว้ในนิยายเรื่องล่าสุดกลับมีอยู่จริง ไม่ใช่ความฝัน
เธอรีบวิ่งไปที่กระจก และสิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ใบหน้าของนักเขียนสาว
แต่เป็นใบหน้าคมสวยของ พิงค์มิรานางร้ายในนิยายของเธอเอง หัวใจของทิชาเต้นรัวเหมือนจะทะลุออกมา เธอกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าแรงๆ
ใบหน้าหน้ารูปไข่ผิวขาวอมชมพู ผ่องเนียนไร้ที่ติดูสวยแบบผู้ดี ดวงตาตากลมโตมีประกายสะท้อนอารมณ์อ่อนโยนและมั่นใจ แต่งตาชัดเจนด้วยอายไลเนอร์และขนตาเด้ง ริมฝีปากอิ่มสวยสีชมพูแดงนุ่มนวลดูน่าจูบ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนคลื่นสวยงามปล่อยสยายอย่างมีวอลลุ่มดูหรูหราและเซ็กซี่
เธอคิดในฝจในรูปว่าสวยแล้วพอมาเจอแบบนี้พิงค์มิราเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นฉันตายไปแล้ว แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” แล้วสติของเธอก็ชัดเจนขึ้นทีละนิดเธอจำได้ทุกอย่าง เรื่องราวที่เธอเขียนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน การทรยศ และบทจบ
“พิงค์มิราจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ ทำลายชีวิตของนางเอก สุดท้ายโดนพระเอกฆ่าทิ้งตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะร้องไห้ให้”
“ไหนจะถูกพระเอกให้คสวามหวังเพราะต้องการหุ้นพ่อแม่ของพิงค์มิรา ที่เขาดูแลอยู่ พิงค์มิรากลายเป็นคนไม่เหลือใครเพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุ หุ้นทั้งหมดอยู่ในความดูแลของศรัญ และเขาต้องการครอบครองมัน”
เธอนั่งลงบนปลายเตียงสายตาเหม่อลอย คิดถึงตอนจบของเรื่องที่จะมาถึงในไม่ช้า ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของนิยาย
“ถ้าฉันไม่ทำอะไร ฉันก็จะต้องตายซ้ำอีกครั้ง”
เธอสูดลมหายใจลึก ไม่เธอจะไม่ยอมตายแบบนั้นอีก
“ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับพระเอก ไม่แทรกแซงความรักของใคร ไม่เล่นตามบทเดิมที่ฉันเคยเขียนไว้ ฉันจะหนีจากเรื่องทั้งหมดนี้จะมีชีวิตที่สงบเงียบ และไม่ต้องตายเพราะความรักที่ไม่ใช่ของฉัน”
แต่มันไม่ง่ายเพราะแม้เธอจะพยายามหลีกหนี แต่เรื่องราวในโลกนิยายก็ยังคงดำเนินไปตามเส้นทางเดิม พระเอกยังคงเจอนางเอกในงานเลี้ยงครั้งหน้า
เหมือนชะตากรรมไม่ยอมให้เธอหนี นิยายยังคงดำเนินต่อไปนางร้ายแบบพิงค์มิราไม่มีทางได่สมหวังกับพระเอกของเรื่อง
“คุณหนูฟื้นแล้วเหรอคะ ฮือ ป้าดีใจที่สุดเลย”
“ป้ายุ้ย” เธอจำได้ป้ายุ้ยเป็นแม่บ้านที่รักและหวังดีกับพิงค์มิราที่สุด เพราะเลี้ยงหญิงสาวมาเองกับมือ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ เหนื่อยก็พักผ่อน” ป้ายุ้ยร้องห่มร้องไห้ ทำให้เธองุนงงทำเหมือนว่าเธอฆ่าตัวตายเสียอย่างนั้น
“ร้องไห้ทำไมคะ”
“คุณหนูกินยาเกินขนาดหลับไปหนึ่งคืนเต็มๆ ดีนะมีคุณหมอดูแล”
เข้าใจแล้วพิงค์มิราแค่เหนื่อยแต่นอนไม่หลับเลยอัดยาไปเกินขนาด ทำให้หลับนานแล้วทำไมเธอถึงเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองเขียนได้
เพราะอะไรเธอถึงตื่นขึ้นมาในร่างของเกรซ พิงค์มิรา เศรษฐกานต์ วัย 24 ปี นางแบบและชอบรับบทนางร้าย สวย แซ่บ มั่นใจ มีคาแรกเตอร์ชัดเจนแบบแม้จะขี้เหวี่ยง แต่ไม่ได้ไร้เหตุผลเป็นคนทุ่มเทกับทุกอย่างที่รัก และไม่ยอมให้ใครมาดูถูกง่ายๆ
อีกสองวันพิงค์มิราจะไปทานข้าวกับพระเอกของเรื่อง ซึ่งครอบครัวทั้งสองสัญญากันไว้ว่าจะให้พิงค์มิราและศรัญหมั้นหมายกัน แต่แทนที่จะรักศรัญกับเกลียดพิงค์มิราเพราะหญิงสาวมักมีข่าวฉาวกับผู้ชายในวงการ
แสงไฟโคมระย้าคริสตัลที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะอาหารขนาดเล็กสำหรับสองที่ให้บรรยากาศราวกับฉากในหนังฮอลลีวูด
โต๊ะถูกจัดอย่างพิถีพิถันด้วยจานเซรามิคลายทอง ช้อนส้อมเงินแท้ และแจกันดอกกุหลาบขาววางตรงกลาง ทุกอย่างสื่อถึงความตั้งใจของสองตระกูลที่จะผลักดันความสัมพันธ์ของพิงค์มิรา และศรัญให้เดินไปตามกรอบของสังคมชั้นสูง
ศรัญ วริชศ์ศรัญ อัครเดชานนท์ อายุ 30 ปี เจ้าของบริษัทสื่อโฆษณาอันดับหนึ่งของประเทศ WSA Group และเจ้าของบริษัทอสังหาริมทัพย์ ลึกลับผู้เปี่ยมด้วยเสน่ห์เยือกเย็นนิ่งขรึม แต่มีความเจ้าสำราญแบบที่ไม่ต้องอวดอ้าง เขาไม่ใช่คนพูดมาก นิสัยนิ่งพูดน้อยรักอิสระ
ทำไมจะไม่รู้นิสัยเขาเพราะเธอเป็นคนสร้างเขาขึ้นมากับมือ ไม่น่าเขียนให้พระเอกธงแดงเลย
ทิชาในร่างของพิงค์มิรานั่งอยู่ก่อนแล้วใบหน้าสงบนิ่งแต่ตาคมกริบกวาดมองรอบตัวราวกับอ่านฉากได้ทะลุปรุโปร่ง เธอรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจเขาจะมา และบทสนทนาเก่าๆ จะเริ่มต้น
เสียงฝีเท้าชายหนุ่มดังขึ้น ศรัญปรากฏตัวในชุดสูทสีเทากราไฟต์ เนี๊ยบทุกระเบียดนิ้ว ใบหน้าคมเข้มแบบคนเมือง สายตาหยิ่งเย็นชา และมีแววเหน็บแนมตามเคย
‘ไม่คิดว่าตัวจริงจะหล่อแบบนี้’ เธอมองใบหน้าของเขาแบบตะลึงเพราะไม่เคยอยู่ใกล้คนหล่อแบบนี้มาก่อน เขาดูดีจนเธอละสายตาไม่ได้
รูปหน้าหล่อคมแบบวีเชฟ มีคางเด่นและเรียวจมูกโด่งรับกับโครงหน้า ตาเรียวยาวดูเฉียบคมแฝงความมั่นใจและน่าค้นหา ริมฝีปากเรียวได้รูปสีอมชมพูนิดๆ ดูสุขภาพดี
“เซอร์ไพรส์ดีนะ คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาก่อนเวลาหรือแค่กลัวฉันจะไม่มา?”
พิงค์มิรายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย กำลังชื่นชมความหล่อ ลืมไปว่าคนตรงหน้าปากสวนทางกับหน้าตา
“ฉันไม่กลัวอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่ต่อให้ไม่มา ก็คงไม่มีผลอะไรกับชีวิตฉัน” พิงค์มิราเวลาอยู่ต่อหน้าศรัญชอบทำตัวเรียบร้อยให้เขาโขกสับจนและ แต่เธอไม่ใช่คนอ่อนแออีกต่อไป
ศรัญเลิกคิ้วสะบัดสูทเบาๆ ก่อนนั่งลงตรงข้ามเขาหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนหันหน้ามาหาเธอ เขาตกใจกับสรรพนามที่เธอเรียกเขาและแทนตัวเองว่าฉัน
“ปากกล้าขึ้นนะช่วงนี้ หรือว่าไปฝึกจิตมาจากไหน?”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่เลิกทนกับอะไรที่ไม่ควรทน” เธอยิ้มบางๆ ดวงตาไม่สะท้อนความเกรงใจใดๆ
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด พนักงานเสิร์ฟใช้ที่ยืนประจำข้างโต๊ะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกไปเหลือเพียงสองคนที่ยังปะทะสายตากันเหมือนจะไม่มีใครยอม
“เธอจะเล่นบทอะไรอีกล่ะคราวนี้พิงค์มิรา คนดี? คนบริสุทธิ์ หรือเหยื่อผู้ถูกกระทำ?” หลายครั้งที่มีเรื่องกันพิงค์มิรามักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนเสมอ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่เล่นละครซ้ำบทเดิมให้คุณเบื่อหรอก” เสียงเธอนิ่งราบเรียบ แต่คมกริบราวกับปลายมีด อาหารจานแรกถูกเสิร์ฟ แต่ไม่มีใครแตะ
ศรัญพิงพนักเก้าอี้ มองเธออย่างประหลาดใจแต่ไม่แสดงออกชัด
“เปลี่ยนไปจริงๆ เธอจะเล่นละครอะไรตบตาฉัน บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่เคยรักเธอและไม่อยากรู้จัก” เขาพึมพำตอนนี้หุ้นทั้งหมดของพิงค์มิราอยู่ในมือเขา แต่ไม่สามารถสะบัดเธอทิ้งได้เลยเพราะแม่ของเขา
“ดีค่ะ ฉันก็ไม่อยากรู้จักคุณในแบบเดิมเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ เสียดายแค่รสชาติของคนร่วมโต๊ะที่มันขมไปหน่อย” เธอลุกขึ้นยกผ้าเช็ดปากวางบนจานอย่างเรียบร้อย
“งานหมั้นคุณไปคุยกับแม่คุณเอาเองนะคะ บอกไปว่าฉันไม่ต้องการผู้ชายห่วยๆ แบบคุณ”
แล้วเธอก็หันหลังเดินจากไป ปล่อยให้ษรัญของเรื่องนั่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เงียบงันกับความเปลี่ยนแปลงที่เขาเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อะไรวะ” สรัญส่ายหัวเบาๆ ตามอารมณ์ของหญิงสาวไม่ทัน เขารู้ว่าพิงค์มิราคิดกับเขายังไงแต่เขาไม่ได้รักเธอ เขาไม่ชอบผู้หญิงที่ชอบมั่วกับแฟนคนอื่น
“คุณแม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง” จะว่าสงสารก็ได้เพราะตอนนี้หญิงสาวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้ว
“พี่ศรัญคะ พี่ศรัญขา ยัยนี้เรียกร้องความสนใจเก่ง”
พิงค์มิราสะบัดผมเดินออกจากสตูดิโอถ่ายแบบอย่างเหนื่อยล้า เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กไลน์ ก็เห็นข้อความเดิมๆ จากศรัญช่วงนี้ต้องรีบเคลียร์งานให้หมดเพราะอีกไม่กี่เดือนจะถึงวันสำคัญของเธอกับเขา“เลิกงานยัง”“กินข้าวรึยัง”“คิดถึงนะ แต่ไม่ต้องสนใจก็ได้เหมือนเดิม”เธอถอนหายใจเบาๆ เธอรู้ว่าเขางอน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกงานเข้ามาทุกวัน ไหนจะดูแลห้องเสื้อที่เป็นหุ้นส่วนกับนานาอีก ไหนจะเตรียมงานแต่งอีกแต่พอเดินถึงลานจอดรถ เธอกลับพบว่ารถของตัวเองหายไป“อะไรเนี่ย!”แล้วทันใดนั้นรถตู้สีดำก็มาจอดเทียบตรงหน้า ประตูก็เปิดออกก่อนที่เธอจะตั้งตัว“ว้าย เดี๋ยวอ๊ะ!” เสียงร้องตกใจของหญิงสาวขาดห้วง เมื่อใครบางคนคว้าเธอเข้าไปในรถและปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว“พี่ศรัญ” เธอเบิกตากว้าง มองคนตรงหน้าในชุดลำลอง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“ไงคนทำแต่งานเกรซไม่มีเวลาว่างให้พี่ใช่ไหม? งั้นพี่ขอขโมยเวลาหน่อยก็แล้วกัน” เขาเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายๆ“บ้าเหรอนี่มันลักพาตัวนะ”“ก็ใช่ ลักพาตัวว่าที่เจ้าสาวของตัวเองผิดตรงไหน” เขายักไหล่“พี่จะพาเกรซไปไหน!” เธอมองเขาตาเขียวเขายิ้มไม่ตอบ แต่รถก็เคลื่อนตัวออกไปแล้วเรียบร้อยสองชั่วโมงต่อ
หลังจากที่ใช้เวลานับเดือนในกองถ่าย ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายทั้งความเครียดความเหนื่อย และการทุ่มเททุกวินาทีให้กับบทบาทนางร้าย พิงค์มิราในชุดเดรสสีดำเรียบหรู ก้าวออกมาจากรถพร้อมรอยยิ้มกว้าง สะท้อนความโล่งใจและความสุขที่ยากจะซ่อนเธอไม่ได้มาคนเดียวข้างๆ คือผู้จัดการส่วนตัวที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เริ่มต้นในวงการ พร้อมกับทีมงานทั้งหมดค่ำคืนนี้พวกเขานัดฉลองที่ผับชื่อดังกลางเมือง วิวด้านนอกเป็นแสงไฟระยิบระยับของตึกสูง และเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังสอดแทรกมากับเสียงดนตรีเบาๆ“ในที่สุดก็จบจริงๆ แล้วนะ” พิงค์มิราพูดพร้อมยกแก้วขึ้น ก่อนทุกคนจะชนแก้วกันเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง“ใครบอกจะหยุดแค่เรื่องนี้ล่ะ เดี๋ยวบทใหม่ก็มาอีกแน่ ดูสิยิ่งเล่นยิ่งปังนะน้องเกรซ” แววที่แม้จะเป็นผู้จัดการจอมเข้ม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาหยีพิงค์มิราหัวเราะเบาๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย และอาจจะมีเศษเสี้ยวของความคิดถึง เพราะการถ่ายทำเรื่อง “อย่ารักนางร้าย” ไม่ได้เป็นแค่ผลงานอีกชิ้น แต่มันคือบทพิสูจน์ตัวตนในอีกแง่มุม ที่เธอเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะรักมันได้มากขนาดนี้“เกรซครับพี่ขอชนแก้วหน่อย” กวินพระเอกของเรื
“ปล่อยฉันนะ! ไอ้พวกโง่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” เสียงโวยวายของพราวฟ้าดังลั่นตำรวจสองนายจับแขนเธอแน่นพราวฟ้าสะบัดสุดแรง แต่ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งแน่น หญิงสาวมองไปที่ศรัญที่ยืนอยู่ไม่ไกล“อีเกรซ! มึงมันก็แค่ตัวดีแต่ขายหน้าตามัวแต่เกาะผู้ชายรวยอีเลว!”เขายืนขึ้นเต็มความสูง แววตาเยือกเย็นริมฝีปากตึงแน่น เขาก้าวเข้าไปหาพราวอย่างช้าๆ ท่ามกลางตำรวจที่ยังจับตัวเธอไว้“เธอลักพาตัวทำร้ายผู้หญิงคนเพื่อหวังจะให้เกรซมีตำหนิ ที่แย่ที่สุดคือเธอกล้าทำกับเกรซ ทั้งที่เธอไม่เคยทำผิดอะไรกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว”“ถุย” พราวฟ้าถ่มน้ำลายลงพื้น“หึ เพราะแกมันโง่ถึงหลงผู้หญิงแบบนั้น ก็ให้มันดูแลแกไปเถอะ เดี๋ยวก็โดนสวมเขาอีสวยแค่เปลือก!”ศรัญมองเธอด้วยแววตาเย็นเยือก สะกดความโกรธไว้เต็มที่มือกำแน่น แล้วเขาก็หยิบปืนพกของตัวเองออกมา ตำรวจรีบกรูเข้าห้ามทันที“ออกไปรอข้างนอก” สารวัตรเจตต์ไล่ลูกน้องออกไปรอด้านนอกพราวฟ้าชะงักนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนความจริงเพิ่งกระแทกเข้ามาเต็มแรง ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะยกปืนขึ้นขู่เธอเพื่อปกป้องอีกคน“มึงไม่กล้ายิงกูหรอกไอ้ศรัญไอ้เฮงซวย”“เธอไม่สำนึกจริงๆ” เสียงพิงค์มิราดังขึ้นเพราะเธอเบื่อจะมองหน้า
ศรัญดึงพิงค์มิรามากอดไว้แน่น เขาไม่อยากให้เธอออกไปไหนเลยในวันนี้“อยู่กับพี่ได้ไหมวันนี้” เสียงทุ้มของเขาแผ่วเบา แต่หนักแน่นพอจะหยุดทุกจังหวะของหัวใจเธอได้ “เป็นอะไรคะ” เธอชะงัก มือที่กำลังจะหยิบกระเป๋าชะงักกลางอากาศ เธอหันมามองเขา ดวงตากลมโตไหวระริกเขาไม่ตอบในทันที แค่ก้มหน้าซบลงกับไหล่เธอแขนทั้งสองข้างรัดแน่นขึ้นอีกนิดราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป“ไม่รู้สิ วันนี้แค่รู้สึกไม่ดีไม่อยากให้ไปไหนเลย” เขาพูดเบาๆ ตรงกับหัวใจตัวเองที่สุดหญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ความดื้อดึงที่เคยมีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนเมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นจากเขา เธอค่อยๆ วางกระเป๋าลง หันมากอดเขาตอบมือเรียวลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ“ไปไม่นานค่ะมีงานเปิดตัวสินค้า พี่แววใกล้มาถึงแล้วเกรซต้องไปแล้วค่ะ” เธอหอมแก้มเขาทั้งซ้ายและขวา และจูบปากเบาๆ ก่อนจะผละออก“เฮ้ออ รีบกลับมานะ” ทำไมวันนี้เขาไม่สดชื่นเลยอาจจะคิดมากเกินไปเรื่องพราวฟ้า เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้หญิงสาวคิดจะทำอะไรต่อ ตอนที่ออกมาจากคอนโดเขาเห็นแววตาที่เคียดแค้นของพราวฟ้าพิงค์มิรานั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ขณะช่างแต่งหน้ากำลังเกลี่ยรองพื้นลงบนผิวเนียนละเอียดของเธออย่าง
ห้องนั่งเล่นคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่กลับไม่มีอะไรสามารถดับความร้อนรุ่มในอกของพราวฟ้าได้ เธอนั่งกอดอกอยู่หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ จ้องภาพศรัญที่กำลังแถลงข่าวอย่างใจจดใจจ่อใบหน้าเธอแสดงอารมณ์ทุกอย่างพร้อมกัน ทั้งโกรธเจ็บใจ และเหนือสิ่งอื่นใดกลัว เมื่อเขาพูดชัดถ้อยชัดคำว่าเธอกับเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ และปฏิเสธข่าวการตั้งครรภ์ของเธอออกสื่อระดับประเทศ พราวฟ้าถึงกับเขวี้ยงรีโมตลงพื้นอย่างแรง“ไอ้ศรัญ! มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง มึงเป็นคนมาให้ความหวังกูก่อนทำเหมือนรักสุดท้ายก็ไปรักอีเกรซ” เสียงร้องด้วยความโกรธดังก้องอยู่ในห้อง แต่ไม่มีใครได้ยินไม่มีใครสนใจ เธอชอบเขาก็จริง ถ้าหากเขาไม่เข้ามาให้ความหวังเธอจะรักเขาถึงขนาดนี้หรือเธอหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดโซเชียลอย่างร้อนรน หวังจะเห็นคนยังอยู่ข้างเธอ ยังให้กำลังใจ แต่สิ่งที่เธอเห็นคือข่าวพาดหัวจากหลายเพจดัง“ใบรับรองแพทย์แท้งลูกของพราวฟ้า อาจเป็นของปลอมหมอเจ้าของชื่อไม่เคยออกเอกสารดังกล่าว”“คลิปหลุดเบื้องหลังแถลงข่าวพราวฟ้า ‘ซ้อมร้องไห้’ กับทีมงานก่อนขึ้นเวที”พราวฟ้าเบิกตากว้างมือสั่น เธอกดเข้าไปดูคอมเมนต์อย่างควบคุมตัวเองไม
“พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าพราวฟ้าต้องการอะไรเพราะพี่ปฏิเสธไปแล้ว หรือแค่ใช้ข่าวนี้เป็นเครื่องมือพี่ไม่อยากปรักปรำใครถ้าไม่มีหลักฐาน แต่มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงข้อเดียวพี่รักเกรซไม่ใช่พราวฟ้า”คำพูดนั้นเหมือนหยุดลมหายใจของทั้งสองคน พิงค์มิราหลุบตาลงต่ำ น้ำเสียงเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ“เกรซเหนื่อยมาก เกรซผ่านช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง และเกรซไม่คิดว่าจะต้องย้อนกลับไปเจอแบบนั้นอีก” ตอนจบของเรื่องหวังว่าศรัญจะรักพิงค์มิราตลอดไป“พี่รู้ว่าเกรซเสียใจพี่จะทำทุกอย่างให้ชัดเจน” เขากระซิบเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมเธออย่างอ่อนโยน เขาหยุด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดหนักแน่น และมั่นคงกว่าเคย“พี่จะไม่ให้เกรซเป็นคนที่ต้องยืนรับความผิดทั้งหมดอีกต่อไป”เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ เห็นประกายในแววตาของศรัญที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาของคนที่เลือกแล้ว“พี่ศรัญจะทำอะไรคะ”“พี่จะออกแถลงข่าวเอง และจะพูดทุกอย่างความจริงทั้งหมด ทั้งเรื่องกับพราวฟ้าเรื่องข่าว หรือแม้แต่เรื่องหัวใจของพี่” เขายิ้มบางๆ และบีบมือเธอเบาๆ“เพราะตั้งแต่วินาทีนี้พี่จะไม่ยอมเสียเกรซไปอีก”เธอถึงกับร้องไห้ออกมาโผล่เข้ากอดเขา วันนี้รับรู้ถึงความอบ
Mga Comments