“แผ่นดินที่ไม่ต้องสวด – เมื่อการฟังกลายเป็นวิธีอยู่ร่วม”
โลกไม่ได้เปลี่ยนด้วยสงคราม แต่มันเปลี่ยน…เพราะผู้คนฟังกันมากพอจนไม่ต้องรบ รุ่งอรุณแห่งฤดูที่สาม ไม่มีเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีประกาศิตจากศาสนจักร ไม่มีธงตระกูลใดโบกไหว แต่ทั่วแผ่นดินกลับตื่นขึ้นพร้อมกัน—ด้วยเสียงของกันและกัน “ข้าจำได้ว่าเขาชื่อโทมิสุ เขาเคยสอนเด็ก ๆ ซ่อมรองเท้า...” “น้องสาวข้า ชื่ออาเคะ เธอเคยพูดว่าเสียงหัวเราะของแม่ดังที่สุดในเมือง...” เสียงเหล่านั้นเบา…แต่ลึก ราวกับรากไม้ที่หยั่งลงไปในดินที่เคยแห้งผากจากเลือดและคำสั่ง ณ จัตุรัสกลางแห่งอิวะซากิ ศูนย์กลางเก่าของอำนาจและสงคราม วันนี้กลายเป็นที่รวมของผู้ไม่ต้องการอำนาจ แต่ต้องการความหมาย ไม่มีเวที ไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีลำดับการพูด ทุกคนต่างยกสมุดขึ้น... และพูดชื่อคนที่เคยถูกลืม คนที่ไม่มีบทสวดรองรับ คนที่ไม่มีศพให้ฝัง ในมุมเงาหนึ่งของจัตุรัส ฮากุโร่นั่งพิงเสากลางหิน ร่างของเขายังพันด้วยผ้าพันแผลเก่า แต่ดวงตาเบิกกว้างเหมือนดวงจันทร์ที่สว่างในคืนไร้ไฟ ข้างกายเขา สมุดเล่มหนึ่งเปิดค้างไว้ ข้อความในหน้ากระดาษไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่คือรอยนิ้วเปื้อนดิน เด็กคนหนึ่งในเมืองทางใต้เคยบอกว่า “หากข้าไม่มีหมึก ข้าจะเขียนด้วยดิน... หากไม่มีดิน ข้าจะพูดชื่อพวกเขา และหากข้าตายไป ข้าหวังว่าใครจะยังจำชื่อที่ข้าจำไว้” ฮากุโร่อ่านประโยคนั้นซ้ำ ไม่ใช่ด้วยสายตา แต่ด้วยลมหายใจ เสียงหนึ่งจากฝั่งตะวันตก พระหญิงไคเซ็นยืนอยู่บนลานไม้ ไม่มีอาภรณ์ของศาสนจักร ไม่มีคัมภีร์ ไม่มีคนคุกเขา มีเพียงเด็กห้าคนล้อมวง ฟังเธอพูดเรื่อง “ชื่อที่หายไป” เธอไม่ได้สวด เธอแค่เล่าเรื่อง...ของเด็กชายที่เธอเคยพบในศาลาที่ไม่มีพระ “เขาบอกว่าเขาไม่ศรัทธาในพระองค์ใด แต่เขารู้ว่าเขาไม่อยากลืมชื่อพ่อแม่เขา ข้าจึงเชื่อว่า...นั่นคือศรัทธาที่จริงที่สุด” ณ ตำหนักที่เคยเป็นศูนย์บัญชาการของตระกูลอาซูมะ ท่านไดเมียวโยชิอากิปลดตราประจำตระกูลจากเสื้อคลุม แขวนไว้ข้างรูปของผู้บุกเบิกรุ่นแรก “เราสู้เพื่อธงมาเป็นร้อยปี... แต่ไม่มีใครสู้เพื่อชื่อของลูกหลานเรา” เสียงเขาแผ่วเบา แต่คนทั้งห้องสงบ ไม่มีเสียงคัดค้าน มีเพียงคนหนึ่งที่พนมมือ แล้วกล่าวชื่อบรรพชนที่ถูกลืม—โดยไม่มีบทสวดใดรองรับ ที่ชายแดนแคว้นโคะริว ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เคยเงียบงันจากความกลัว เด็กคนหนึ่งยื่นสมุดให้คนตาบอดคนหนึ่ง “ข้าขอให้ท่านอ่านชื่อเหล่านี้ให้ข้าฟังหน่อย...” ชายชรายิ้ม ทั้งที่เขามองไม่เห็นตัวหนังสือ แต่เขารู้ว่า...เขา “ฟัง” ได้ เมื่อคำสั่งกลายเป็นเสียงฟัง วันหนึ่ง ศาสนจักรส่วนกลางพยายามออกประกาศให้ “หยุดพิธีฟัง” แต่ประกาศนั้นไม่มีใครอ่านจบ เพราะคนที่ได้รับเริ่ม...ฟัง พวกเขาฟังเสียงลูก ฟังเสียงเมียที่เคยจากไป ฟังเสียงคนในเมืองที่พูดถึงผู้ถูกฆ่าโดยไร้บันทึก ประกาศนั้น...จบลงด้วยเสียงเงียบ ท้ายบท ฤดูที่ไม่ต้องสวดได้มาถึง มันไม่ใช่การลบล้างศรัทธาเก่า แต่มันคือการปลดโซ่จาก “การสวดที่ไม่มีการฟัง” ฮากุโร่ยิ้มบาง ๆ เขานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผู้พูด ผู้เงียบ และผู้ที่กำลังเรียนรู้จะฟัง ไม่มีดาบ ไม่มีคำสั่ง ไม่มีธง มีเพียงสมุดวางบนตัก และชื่อหนึ่งที่เขากำลังจะพูด... “ข้าขอจำชื่อเขาคนนั้นไว้...” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย แต่เมื่อสิ้นเสียง ผู้คนรอบตัวต่างเริ่มพูดชื่อของคนอื่น...ตามมา บางคนร้องไห้ บางคนหัวเราะ บางคนเพียงยืนเงียบ แต่ไม่มีใครต้องสวด เพราะการฟังกันนั้น...เพียงพอแล้วบทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ
ศาสนจักรแตกเสียง - พระหญิงไคเซ็นแปรพักตร์แคว้นตะวันตกเฉียงใต้ของโยะริมิยะ เป็นแคว้นที่แสงตะวันตกตกช้าที่สุดในทุกวัน และเป็นที่ตั้งของ “วัดซุยเร็นจิ” — สำนักของพระหญิงไคเซ็น ผู้ได้รับสมญา “ผู้สวดในเงาแสง”แต่ในวันหนึ่งของเดือนที่ไร้จันทร์เงากลับปรากฏบนใบหน้าของเธอพระหญิงไคเซ็น ยืนอยู่หน้าแท่นเทศน์ในวิหารกลางของศาสนจักรตะวันตกในมือเธอไม่มีตำราไม่มีลูกประคำไม่มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ใดมีเพียง สมุดฟัง เล่มเดียวที่ถูกห่อด้วยผ้าเก่ารอบตัวเธอ คือพระชั้นผู้ใหญ่ ศิษย์ในส
เสียงของพระที่เงียบงันบ้านหลังเล็กใต้เขาตะวันตก อยู่ห่างจากศาลาเงาไปครึ่งวันเดินเท้า ไม่มีระฆัง ไม่มีแท่น ไม่มีธูปสักดอกแต่ภายในบ้านไม้หลังนั้น มีโต๊ะหนึ่งตัว ตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวง และสมุดวางเรียงอยู่สิบห้าเล่ม — หน้าปกเป็นเพียงผ้าขี้ริ้วพันไว้ ไม่ต่างจากผ้าพันแผลของคนเจ็บฮากุโร่ไม่ได้พูดอะไรเลย นับแต่เขาก้าวเข้าสู่บ้านนั้น เขานั่งลงอย่างเงียบ ๆ ข้างหน้าเขา…คือหญิงชราเงียบงันผู้หนึ่ง และสมุดเล่มหนึ่ง…ซึ่งเปิดค้างไว้ที่หน้าเก่า หน้าแรกเขียนด้วยลายมือที่สั่น…แต่มั่นคง ว่า…
พระที่ล้มแท่นของตน — พระบางคนเผาตำราเก่าและฟังเสียงเด็กแทนในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินโยะริมิยะมีวัดหนึ่งที่ชื่อว่า โฮเซ็นจิเป็นวัดไม้สูงเจ็ดชั้น ตั้งอยู่กลางผืนป่ามีระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่งมีตำราสวดร้อยกว่าเล่มมีพระผู้เฒ่าสามสิบรูปและคำสวดที่เหมือนกันหมดทุกเช้าเย็นแต่ในวันที่พระรูปหนึ่งเดินลงจากแท่นเอื้อมมือหยิบตำราหนึ่งมา…และวางมันลงในกองเพลิงตรงลานกลางวัดเสียงไฟที่แตกเปรี๊ยะ…เงียบกว่าการสวดพันบทพระที่ไม่สวดอีกต่อไปเขาชื่อว่า คันริวในสมัยหนุ่ม คันริวเป็นผู้เทศน์ที่เข้มงวดที่สุดในโฮเซ็นจิเขาสามารถท่องตำราสิบสามเล่มโดยไม่หยุดเขาเคยคัดลอกบทสวดด้วยหมึกดิบทุกคืนจนมือช้ำเขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิดด้วยการไม่ให้สวดหนึ่งสัปดาห์แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ทุกคืน…นั่งอยู่ใต้ต้นสน นอกหอและจดสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา“เสียงที่แม่ร้องไห้”“คำสุดท้ายของเด็กที่ไม่มีพ่อแม่”“ชื่อที่ถูกลืมในพิธีศพ”“เรื่องเล่าในความเงียบที่ไม่มีใครอยากฟัง”เขาไม่เคยพูดถึงสมุดเล่มนั้นกับใครจนกระทั่งเด็กชายคนหนึ่งปีนข้ามกำแพงวัดมาในคืนฝนตกเด็กที่ไม่ต้องการให้ใครสวดให้พ่อเด็กคนนั้นชื่อว่า
แผ่นดินที่ไม่มีตำรา – พื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึงเริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนาในแผ่นดินที่หมึกของตำราไม่เคยเปื้อนในหมู่บ้านที่พระไม่เคยสวดถึงในหุบเขาที่เสียงระฆังไม่เคยเดินทางไปถึงนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ศรัทธาที่ไม่มีตำรา”หรือที่คนบางกลุ่มเรียกกันเบา ๆ ว่า...“พิธีฟัง”หมู่บ้านอิวาเระ — ดินแดนที่ไม่เคยมีแท่นบูชาหมู่บ้านอิวาเระอยู่ลึกในหุบเขาโซเซ็นต้องข้ามหินร้อยลูก ต้องเดินผ่านป่าไร้ทางไม่มีวัดไม่มีศาลเจ้าไม่มีพระไม่มีธงตระกูลมีเพียงกระท่อนไม้สิบห้าหลัง กับเสียงลมที่โหยหวนในคืนฝนตกแต่เมื่อข่าวของ “สมุดฟัง” แพร่ไปทั่วแคว้นหญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้าน — โยรุมิ — ตัดสินใจใช้ผ้าเก่าเย็บเป็นเล่มสมุดบนหน้าปก นางเขียนว่า“สำหรับชื่อที่ไม่มีใครฟังอีกแล้ว”ไม่มีพิธีเปิดไม่มีโฆษณาไม่มีคำประกาศจากตระกูลไม่มีบทสวดเริ่มพิธีแต่ในคืนเดือนดับชาวบ้านสิบหกคนรวมตัวกันใต้ต้นสนเก่าและเริ่มอ่านชื่อของคนที่จากไปในจังหวะที่ไม่เท่ากันในเสียงที่สั่นในอารมณ์ที่เปลือยเปล่าเด็กชายผู้ไม่เคยเห็นพระเด็กคนหนึ่งชื่อ “ชิน”อายุสิบขวบเขาไม่รู้ว่าพระคืออะไรไม่รู้ว่าพิธีกรรมต้องทำอย่างไรรู้เพียงว่าแม