Share

บทที่ 5 นักพรตชรา

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-05 12:12:38

ด้านหลัวม่อเยียนนั้น ยามนี้เขากำลังทำพิธีบูชาขอพรจากเทพสวรรค์ เพื่อช่วยให้ไท่หยางกลับมาอุดมสมบูรณ์เฉกเช่นแต่ก่อน พิธีในครานี้เหล่าธิดาเทพต่างมาช่วยด้วยอีกแรงหนึ่ง  แม้จะไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่เมื่อเป็นคำสั่งจากหลัวม่อเยียน พวกนางก็มิอาจปฏิเสธได้  

หลัวม่อเยียนคำนับฟ้าดิน ตามพิธีการที่ปฏิบัติกันมาช้านาน ในทุก ๆ หนึ่งปี ผู้เป็นฮ่องเต้จะต้องทำพิธีขอพรจากเทพบนสวรรค์ ให้คอยคุ้มครองราษฎรไท่หยางให้ปลอดภัย อีกทั้งยังขอให้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ไท่หยางอีกด้วย

แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นมาร่วมครึ่งเดือน คำขอของหลัวม่อเยียนกลับไม่เป็นผล ไท่หยางกลับแห้งแล้งรุนแรงกว่าที่ผ่านมา อีกทั้งแม่น้ำโดยรอบก็ใกล้จะแห้งขอดลงไปทุกที ผู้คนต่างพากันล้มป่วยอดตายมากยิ่งขึ้น

"ราชเลขา ไปเชิญธิดาเทพมาพบข้าที"

"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

ราชเลขารีบรับคำทันที ก่อนจะรีบเร่งออกจากตำหนักไป ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับธิดาเทพ ที่อาศัยอยู่ในตำหนักเทพ บริเวณริมสระบัวใหญ่ของวังหลวง

เมืองหลวงไท่หยางนับถือเทพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ตำหนักเทพถูกก่อสร้างขึ้นมาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่เสด็จพ่อของเขาขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ ธิดาเทพหลายองค์ต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแลไท่หยาง อีกทั้งยังช่วยขจัดภัยร้ายต่าง ๆ ได้อีกด้วย ธิดาเทพทุกองค์ ล้วนอยู่ในศีลและหมั่นสวดภาวนาอย่างเคร่งครัด  

"ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ"

"ธิดาเทพ เราทำพิธีถูกต้องตามหลักทุกประการ แต่เหตุใดไท่หยางจึงย่ำแย่ลงเช่นนี้เล่า"

หลัวม่อเยียนเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ ธิดาเทพ จึงจ้องมองเขาคราหนึ่ง

ธิดาเทพผู้นี้ มีนามว่าฉาฮวา นางรับช่วงต่อจาก ธิดาเทพคนเก่าที่แก่ชราและสิ้นวาสนาจึงลาจากโลกนี้ไปเมื่อสามปีก่อน ฉาฮวาจึงได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าธิดาเทพแทน นางเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามอ่อนหวาน กิริยานอบน้อมสุขุม อีกทั้งยังน่าเกรงขามกว่าธิดาเทพคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก

"ทูลฝ่าบาท ตามที่หม่อมฉันเคยบอกเอาไว้ ว่าดวงชะตาของพระองค์ เป็นดวงวิบัติ เทพบนสวรรค์มิยอมรับท่านเป็นฮ่องเต้ หากอยากให้ไท่หยางกลับมาอุดมสมบูรณ์เช่นดังเดิม มีเพียงทางเดียวเพคะ พระองค์ต้องทรงสละบัลลังก์เสีย"

"เหลวไหล!!! ข้าเป็นฮ่องเต้ เป็นประมุขของไท่หยาง ข้าให้เจ้าหาวิธีการแก้ไข!!! แต่เจ้ากลับเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้าหรือ!!! ทหารลากนางไปคุมขัง และสั่งให้ปิดตายตำหนักธิดาเทพเสีย!!!"

หลัวม่อเยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด ฉาฮวาไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกใดใดออกมาเลยแม้แต่น้อย ราวกับนางรู้ว่า เรื่องราวจะต้องเป็นเช่นนี้ตั้งแต่คราแรก

แต่สิ่งที่นางกลัวยิ่งกว่าอาจจะกำลังเกิดขึ้น!!!

นางมิรู้เช่นกันว่ามันคือเรื่องใด แต่สิ่งที่นางเห็น มันคือความตาย ความตายที่น่าหวาดกลัว!!! โลหิตหยดแล้วหยดเล่าไหลเจิ่งนองราวกับสายน้ำอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

ข่าวลือว่าหลัวม่อเยียนสั่งปิดตายตำหนักเทพนั้น แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ขุนนาง และสร้างความไม่พอใจแก่คนในราชสำนักเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่เห็นด้วยมากเพียงใด แต่ใครกันเล่าจะกล้าเอ่ยทัดทานสิ่งใดออกมา

หลัวม่อเยียนยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว เขาเหนื่อยเหลือเกินยามนี้ รู้สึกเหนื่อยล้าไปเสียหมด

"ฝ่าบาท ทรงพักผ่อนพระวรกายก่อนเถิดเพคะ"

เสียงหวานกังวานใสดังขึ้น พร้อมกับกลิ่นชาหอม ๆ ที่ลอยเข้ามาเตะจมูก ช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมาก หลัวม่อเยียนลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย

"กัวฮองเฮา"

"เพคะ หม่อมฉันเอง"

กัวฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย พลางจ้องมองหลัวม่อเยียนด้วยความรักใคร่

กัวฮองเฮาพระองค์นี้มีนามว่า กัวชิงชิง นางเป็นฮองเฮาของเขา ทั้งสองรักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นางอภิเษกสมรสกับเขาตั้งแต่เขายังเป็นเพียงองค์รัชทายาท เมื่อเขาได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ จึงสถาปนานางขึ้นเป็นฮองเฮา

"อีกสองวันข้าจะเดินทางไปที่วัดบนเขาเสียหน่อย เจ้าจงดูแลวังหลังให้ดีเล่า"

"ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ หม่อมฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระหนักของพระองค์เอง"

หลัวม่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ดึงรั้งร่างบางของนางมาโอบกอดเอาไว้ ยามนี้วังหลังมีเพียงนางที่เป็นใหญ่ เสด็จแม่ก็ทรงสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว นางสนมในวังหลังก็มีไม่มากนัก เขาเองก็โปรดปรานนางมิใช่น้อย

สองวันต่อมา หลัวม่อเยียนก็เดินทางไปที่วัดบนหุบเขาทันที ในครั้งนี้เขามิได้พาองครักษ์ไปด้วยมากนัก และออกเดินทางอย่างเงียบเชียบที่สุด ด้วยเพราะเขาอยากออกไปตรวจตราไท่หยางและความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยองค์เอง โดยไม่อยากให้มากพิธีเกินไปนัก

หลัวม่อเยียนควบม้ามุ่งหน้าขึ้นไปที่วัดบนเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็เดินทางมาถึงวัดบนหุบเขา วัดแห่งนี้ทั้งเงียบสงบและร่มรื่น มีต้นไผ่เรียงรายโอบล้อมโดยรอบเต็มไปหมด อีกทั้งยังตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่สลับซับซ้อนกันไปมา หากจะเอ่ยว่าวัดแห่งนี้ดูเหมือนแดนสวรรค์ก็คงจะไม่เกินไปนัก

"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่า ที่วัดแห่งนี้ มีนักพรตที่เก่งกาจอยู่ผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ?"

"นักพรตหรือ?"

หลัวม่อเยียนหันไปมององครักษ์คนสนิทของตน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสนใจ

"พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่า เดินทางมาจากทางทิศเหนือ และมาขอพักอาศัยที่วัดแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านต่างเลื่อมใสยิ่งนัก ได้ยินมาว่า เมื่อหลายเดือนก่อนแคว้นทางเหนือแห้งแล้ง ก็ได้นักพรตท่านนี้ช่วยเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งยังมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

"จริงหรือ ข้าอยากจะพบกับนักพรตผู้นั้น"

"ได้พ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงเสด็จตามกระหม่อมมาทางนี้เถิด"

องครักษ์เดินนำทางหลัวม่อเยียนไปทันที ไม่นานนักก็พาเขามาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าอารามหลวงหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ภายในหุบเขา ยามนี้ไม่มีผู้คนเนื่องจากยังเช้ามืดอยู่

"ไหนเล่านักพรตที่เจ้าว่า?"

"เชิญเสด็จเข้าไปด้านในก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ก่อนพระองค์จะเสด็จมาถึง กระหม่อมได้นัดหมายกับนักพรตท่านนี้เอาไว้ก่อนแล้ว"

"เจ้าทำงานรอบคอบยิ่งนัก"

"ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงชม"

หลัวม่อเยียนก้าวเดินเข้ามาภายในอารามหลวงที่เงียบสงบ เมื่อเข้ามาด้านใน เขาก็พบกับนักพรตชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่ เส้นผมของนักพรตผู้นั้นขาวโพลน หนวดเครารุงรัง ใบหน้าชราแต่ทว่ากลับดูน่าเกรงขามไม่น้อย สวมใส่ชุดสีขาวทั้งชุด ท่าทางดูสำรวมเป็นอย่างยิ่ง หลัวม่อเยียนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเลื่อมใสท่านนักพรตผู้นี้ขึ้นมาทันที

นักพรตชราที่เห็นเช่นนั้น จึงหันมามองหลัวม่อเยียนและจางไห่เล็กน้อย จางไห่จึงเอ่ยกับนักพรตอย่างไม่รอช้า

"พวกข้ามาจากในวังหลวง ท่านนี้คือฮ่องเต้แห่งไท่หยาง"

นักพรตชราจ้องมองหลัวม่อเยียนคราหนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นทำความเคารพเขาด้วยความนอบน้อม หลัวม่อเยียนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที

"ท่านนักพรตไม่ต้องมากพิธี!!!"

"ผู้น้อยเป็นเพียงนักพรตชรา มิอาจล่วงเกินประมุขแห่งไท่หยาง เพียงพระองค์ย่างกรายเข้ามาในที่แห่งนี้ ก็ถือว่าเป็นวาสนาของนักพรตชราต่ำต้อยเช่นผู้น้อยแล้ว"

นักพรตชราเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม ยิ่งสร้างความพึงพอใจให้แก่หลัวม่อเยียนเป็นอย่างมาก

"ข้าจะเอ่ยกับเจ้าตรง ๆ ที่ข้ามาที่นี่ เดิมทีเพียงจะเดินทางมาขอพรให้ไท่หยางอุดมสมบูรณ์ หลุดพ้นจากความแห้งแล้งเสียที องครักษ์ได้แจ้งแก่ข้าว่าท่านนักพรตมีผู้คนนับถือเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยขจัดภัยแล้งให้แก่แคว้นทางเหนือเมื่อหลายเดือนก่อนอีกด้วย"

นักพรตชราที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองหลัวม่อเยียนเล็กน้อย

"พระองค์จึงอยากให้ผู้น้อย ช่วยในเรื่องนี้ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"

หลัวม่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย นักพรตชราหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา ด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน

"เท่าที่ผู้น้อยมองเห็น ดวงชะตาของพระองค์มิเป็นที่ยอมรับของเหล่าเทพบนสวรรค์ อีกทั้งยังมิเป็นที่ยอมรับในเหล่าขุนนางด้วย ดวงชะตาวิบัติ ทำให้บ้านเมืองแห้งแล้ง ผู้คนล้มตายเจ็บป่วยมากขึ้นทุกครา หากคิดจะเปลี่ยนแปลงดวงชะตาคงจะยากอยู่มิใช่น้อย"

หลัวม่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น

"ไม่มีทางแก้ไขได้เลยหรือท่านนักพรต"

"ย่อมมีอยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่วิธีนี้จะผิดต่อเหล่าเทพไปเสียหน่อย หากพระองค์ทรงตกลงทำตามที่ผู้น้อยแนะนำ ผู้น้อยก็ขอยืนยันว่าพระองค์จะต้องทรงสมปรารถนาในสิ่งที่ทรงคิดหวังเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ"

"จริงหรือ? วิธีใดกัน!!!"

หลัวม่อเยียนเอ่ยถามนักพรตชราด้วยความตื่นเต้น นักพรตชราปรายตามององครักษ์ของหลัวม่อเยียนคราหนึ่ง หลัวม่อเยียนที่เห็นเช่นนั้นจึงสั่งให้องครักษ์ออกไปเสียก่อน

เมื่อองครักษ์ออกไปแล้ว เขาจึงหันไปเอ่ยถามนักพรตชราอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น

"เจ้าบอกข้าได้หรือยัง ว่าจะต้องใช้วิธีใด?"

"ทูลฝ่าบาท วิธีนั้นก็คือ..."

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เชลยรัก ท่านอ๋องแฝดนรก   ตอนพิเศษ

    รัชศกหลัวเฉวียนปีที่5ม้าเร็วจากไท่หยาง ส่งข่าวมาแจ้งหลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงว่า ฮ่องเต้หลัวเฉวียน ทรงสิ้นพระชนม์แล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยเพราะพิษร้ายที่สะสมในร่างกายมันรุนแรงจนกัดกร่อนทุกส่วนในกายจนหมดสิ้น ยามนี้ราชวงศ์กำลังสั่นคลอน ฮองเฮามีเพียงพระธิดาที่มีอายุเพียงไม่กี่ชันษาเท่านั้นไร้พระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์ ยามนี้ไท่หยางกำลังต้องการฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หลัวเยี่ยนเจ๋อและหลัวเทียนเฉิงรีบเร่งกลับไท่หยางโดยเร็ว พร้อมกับพาโจวอวี้หลันและบุตรชายทั้งสองติดตามมาด้วย ยามนี้โจวอวี้หลันกำลังตั้งครรภ์ที่สอง พวกเขาใช้เวลาร่วมสองคืนสามวันจึงเดินทางถึงไท่หยาง พระศพของฮ่องเต้หลัวเฉวียนถูกนำไปฝังในสุสานของราชวงศ์ ส่วนเหมยฮองเฮาก็ออกจากวังหลวงพร้อมกับองค์หญิงหลัวอิงอิง ไปบำเพ็ญเพียรที่วัดบนหุบเขา รักษาศีลภาวนาให้จิตใจบริสุทธิ์และไม่คิดจะกลับเข้าวังหลวงอีกชั่วชีวิต ยามนี้ที่วัดบนหุบเขาแห่งนั้นมีไต้ซือและสามเณรที่น่านับถือพักอาศัยอยู่หลายร้อยองค์ อีกทั้งยังมีภิกษุณีอาศัยอยู่ในวัดแห่งนั้นอีกด้วย หลัวเฉวียนตอนที่ยังมีชีวิตเขาก็ได้ขยายพื้นที่ของวัดให้กว้างขวางมากขึ้น เหล่าผู้คนต่างพากันไปไหว้พร

  • เชลยรัก ท่านอ๋องแฝดนรก   บทที่ 51 ความสงบสุขมาเยือน

    รัชศกเฉวียนปีที่1 ฮ่องเต้นามว่า หลัวเฉวียน เสียงบรรเลงเพลงขับขานแซ่ซ้อง ฮ่องเต้หนุ่มในชุดพัสตราภรณ์มังกรสีทองกำลังนั่งเคียงคู่อยู่กับสตรีที่สวมชุดสีแดง ปักลวดลายหงส์งามนั่นก็คือฮองเฮาของเขา นามว่า เหมยลี่อิง บุตรสาวของท่านแม่ทัพตระกูลเหมยเหมยฮองเฮาทรงประสูติพระธิดาหนึ่งองค์ ด้วยเพราะร่างกายของหลัวเฉวียนไม่ดีเท่าใดนัก นางจึงมิอาจตั้งครรภ์ได้อีก หลัวเฉวียนยังจำได้ดี วันที่เขาเดินทางมาไท่หยางเพื่อสู้ศึก เหมยลี่อิงกำลังตั้งครรภ์ แต่ทว่านางกลับเข้มแข็งและไม่ยอมเป็นตัวถ่วงเขา นางบอกว่า ขอเพียงประชาชนไท่หยางอยู่อย่างร่มเย็นสงบสุข นางยินดีสละความสุขส่วนตนได้เสมอแผ่นดินไท่หยางกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครา ฝนตกต้องตามฤดูกาล อีกทั้งสติปัญญาที่เก่งกาจของหลัวเฉวียนทำให้แผ่นดินไท่หยางอุดมสมบูรณ์ เหล่าราษฎรอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ขุนนางในราชสำนักก็ไม่คิดต่อต้านราชวงศ์อีกหลัวเฉวียนสั่งให้คนขุดดินเพื่อสร้างเป็นทางน้ำขนาดใหญ่ ให้แม่น้ำจากนอกเมืองหลวงไท่หยางไหลเข้ามาในพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้านได้ รวมถึงสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ยามเกิดภัยแล้งอีกด้วย และยังลดค่าภาษีต่าง ๆ ลงเป็นจำนวนมาก ผู้คนอยู่ดีกิ

  • เชลยรัก ท่านอ๋องแฝดนรก   บทที่ 50 เดินทางกลับไท่หยาง

    เสียงฟ้าร้องพร้อมกับฝนห่าใหญ่ ทำให้โจวอวี้หลันรู้สึกหนาวเย็นยิ่งนัก ฝนตกในครั้งนี้ ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้นางเหมือนในครั้งก่อน ๆ อีก ยามนี้นางกำลังยื่นมือไปลูบหัวของอาลู่และอาชิงเจ้าแมวอ้วนสองตัวด้วยความรักใคร่ฉาฮวาละสายตาจากสายฝนด้านนอก ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งข้างกายโจวอวี้หลัน แล้วจึงเอ่ยขึ้นมา "ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ ดวงดาวของฮ่องเต้ดับสูญแล้ว" โจวอวี้หลันที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง "ฉาฮวา หรือจะเกี่ยวกับพิธีบูชายัญเหล่านั้น""เพียงแค่ส่วนเดียวเพคะพระชายา การบูชาเทพและปีศาจ เป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเพียงเท่านั้น ฝ่าบาททรงถูกอำนาจและความทะเยอทะยานครอบงำจิตใจจนเกินจะแก้ไข ทำให้ขาดสติไตร่ตรองดีชั่ว หลงเชื่อคนผิด คิดกระทำการขัดต่อดวงชะตา ผลจึงออกมาเป็นเช่นนี้เพคะ""แล้วที่ได้ยินมาว่าดวงชะตาของฝ่าบาทคือดวงชะตาที่วิบัติ มันจริงหรือ?""จริงเพคะ ดวงวิบัติไม่ได้หมายถึงแผ่นดินจะวิบัติเพียงอย่างเดียว แต่คนรอบข้างที่รายล้อมฝ่าบาท หากไม่ตายด้วยน้ำมือของเขา ก็จะสิ้นชีพลงเพราะดวงชะตาของเขากดข่มเอาไว้ แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้ดีและมองดูตนเองอย่างถ่อง

  • เชลยรัก ท่านอ๋องแฝดนรก   บทที่ 49 การบูชายัญครั้งสุดท้าย

    กว่าจะสะสางเรื่องราวตรงหน้าได้จนแล้วเสร็จหลัวเยี่ยนเจ๋อก็เหนื่อยไม่น้อยแล้ว หลัวเฉวียนสั่งให้เหล่าทหารนำซากศพของเหล่ากบฏต้าไห่ไปทิ้งในป่านอกเมืองเสีย ไม่ต้องกลบฝัง ปล่อยให้ฝูงกาทึ้งกินตามยถากรรม ส่วนหัวของโจวอวิ๋น ให้นำไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมือง เพื่อมิให้แคว้นอื่นคิดทำเป็นเยี่ยงอย่าง ด้านหลัวเทียนเฉิงในยามนี้เขาบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้ หมอหลวงจึงให้เขาพักฟื้นห้ามขยับกายทำสิ่งใดเป็นอันขาด หลัวเยี่ยนเจ๋อเองก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น "ขอบพระทัยเสด็จพี่รองยิ่งนัก""ข้าเต็มใจ อย่างไรเสีย ข้าคงต้องรีบกลับแคว้นเย่ว์ก่อนแล้ว ป่านนี้พระชายาคงจะร้อนใจยิ่งแล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่ไท่หยางมีพวกเจ้าทั้งสองคอยจัดการ ข้าก็วางใจ""พี่รอง""หืม?""เรื่องราชโองการของเสด็จพ่อ...""ช่างเถิด หลัวม่อเยียนยังไม่ได้สิ้นพระชนม์ หากเขาคิดได้แล้ว ข้าก็ไม่อยากแย่งชิงบัลลังก์กับพี่น้อง"หลัวเฉวียนยิ้มให้หลัวเยี่ยนเจ๋ออย่างอ่อนโยน แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เดินทางกลับแคว้นเย่ว์ ก็ได้ยินเสียงตะโกนก้องของราชเลขาดังขึ้นมาเสียก่อน "เย่ว์อ๋อง!!! ชินอ๋องแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!!!"หลัวเฉวียนและหลัวเยี่ยนเจ๋อรีบหัน

  • เชลยรัก ท่านอ๋องแฝดนรก   บทที่ 48 นักพรตชราสิ้นชีพ

    ทหารไท่หยางตกตายไปกว่าครึ่ง หลัวเยี่ยนเจ๋อเห็นว่าปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงไม่ดีแน่แล้ว จึงสั่งให้พ่อบ้านเฉียวรีบพาหลัวเทียนเฉิงที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไปในเรือนเสียก่อน ส่วนเขาและหลัวเฉวียนจะต้านทัพของต้าไห่เอาไว้อย่างสุดกำลัง "ถึงเวลาตายของพวกเจ้าแล้ว!!! ฆ่าคนไท่หยางให้หมด!!!"โจวอวิ๋นส่งเสียงตะโกนก้องฟ้าสะเทือนปฐพี เหล่าทหารต้าไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นต่างส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง พร้อมกับพุ่งเข้าเข่นฆ่าราษฎรของไท่หยางอย่างอำมหิตหลัวม่อเยียนในยามนี้จิตใต้สำนึกของเขามีแต่ความว่างเปล่า ความรู้สึกที่อยากได้ตัวฉาฮวาและโจวอวี้หลันไม่มีอีกแล้ว มีเพียงความรู้สึกที่ยากจะอธิบายในยามนี้ "ย้าาาาา!!!"ในความคิดของหลัวม่อเยียนมีเพียงคำว่า ฆ่า ฆ่าให้หมดเพียงเท่านั้น!!!หลัวเฉวียนไม่มีเวลาสนใจสิ่งใดแล้ว เขาร่วมรบเพื่อปกป้องไท่หยางอย่างสุดกำลังเช่นกัน นักพรตชราที่เขาอยากเห็นหน้ายามนี้คงไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะเขาได้ยินกับหูของตนเองแล้ว ว่ามันคือกบฏที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้แก่ไท่หยางดาบในมือของหลัวเฉวียนยังคงสังหารคนไม่หยุด แม้มีบางคราที่พิษจะกำเริบขึ้นมา แต่เขาเองก็ไม่ยอมหยุด ดาบในมือกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วและว

  • เชลยรัก ท่านอ๋องแฝดนรก   บทที่ 47 หลงกลกบฏ

    เสียงกรีดร้องโหยหวนของราษฎรไท่หยางดังลอยมาเป็นระยะ อีกทั้งยังเกิดเพลิงไหม้เป็นวงกว้างทั่วทั้งเมืองหลวงไท่หยาง เหล่าทหารของต้าไห่ต่างควบม้าพุ่งทะยานเข้ามาในไท่หยางหลายแสนนาย หลัวเฉวียนและหลัวเยี่ยนเจ๋อที่ได้เห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก จางไห่ถือโอกาสที่ทุกคนไม่ทันระวังตัว เงื้อดาบขึ้นสูงเตรียมจะจ้วงแทงมันลงไปที่หัวใจของหลัวม่อเยียน หลัวเยี่ยนเจ๋อที่ได้เห็นเช่นนั้นก็รีบเขวี้ยงมีดสั้นสกัดดาบของจางไห่ได้ทันเวลา ร่างสูงใหญ่พุ่งทะยานฟาดฝ่ามือเข้าที่กลางอกของจางไห่อย่างเต็มแรง จนฝ่ายตรงข้ามกระอักเลือดอีกครา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หลัวม่อเยียนหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะจ้องมองจางไห่ด้วยแววตาที่เย็นชา "จางไห่!!! เจ้า เหตุใดเจ้าจึงคิดสังหารข้า!!!"จางไห่ไม่ตอบ เขากระอักเลือดออกมาอีกคราอย่างทรมาน "เป็นเจ้าที่เปิดประตูเมืองหลวงให้เหล่ากบฏเช่นนั้นหรือ!!!"หลัวม่อเยียนหันไปเอ่ยถามจางไห่ด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้น จางไห่ยังคงไม่ตอบ แต่ทว่ากลับหยัดกายลุกขึ้นยืน และเดินไปหาบุรุษวัยกลางคน ที่กำลังควบอาชามุ่งหน้าเข้ามายังทิศทางที่พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ "โอ้ววว ได้มาดูพี่น้องเข่นฆ่ากันเช่นน

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status