หลักจากที่เมิ่งฮวาเตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ยกอาหารออกมาตั้งโต๊ะอาหาร แล้วรีบเดินไปตามคนทั้งสองที่กำล้งพักผ่อนอยู่ในห้องเลยทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“ท่านลุงท่านป้าเจ้าคะ ข้าเตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้วรีบออกมากินกันก่อนเถิด”
“โอ้! ได้ได้ เดี๋ยวลุงกับป้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” เมื่อท่านลุงเอ่ยพูดจบก็เปิดประตูแล้วเดินนำท่านป้าออกมา
…
“อาหารฝีมือของอาเมิ่งอร่อยไม่เปลี่ยนเลยนะ ป้ากินแล้วแทบจะกลืนลิ้นเลยทีเดียว”
“ท่านป้าก็ชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ฝีมือข้าก็แค่พื้นฐานธรรมดาเท่านั้น” เมิ่งฮวาเอ่ยตอบท่านป้าออกมาอย่างเก้อเขิน
“ไม่เกินไปหรอก ที่ข้าพูดก็เรื่องจริงทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ดูตาแก่สิ กินข้าวไม่ยอมเงยหน้ามองผู้ใดเลย”
“เพ้ย! ข้าก็นั่งกินข้าวของข้าเงียบๆ เจ้าจะมาพูดจาหาเรื่องข้ารึ”
“พอๆ เจ้าค่ะ พวกท่านอย่าตีกันเลย รีบกินข้าวกันต่อดีกว่าเจ้าค่ะ หากอาหารเย็นชืดจะไม่อร่อยเอานะเจ้าคะ”
“โอ้จริงๆ อย่างที่เจ้าว่า ว่าแต่ต้มจืดของเจ้านี่ลุงลองซดแล้วคล่องคอดีนัก ซู้ด!” ท่านลุงเอ่ยพร้อมกับซดน้ำซุปต้มจืดสาหร่ายอย่างเอร็ดอร่อย
“หากอร่อยท่านก็กินเยอะๆ นะเจ้าคะ ท่านป้าด้วยนะเจ้าคะ นี่เจ้าค่ะ!” เมิ่งฮวาที่พูดจบก็เอื้อมไปตักพวกเนื้อที่อยู่ในต้มจืดใส่ถ้วยข้าวให้แก่ท่านป้า
“ขอบใจมากอาเมิ่ง เจ้าก็กินเข้าเถิด”
หลังจากนั้นทุกคนก็หันมาสนใจกินข้าวของตัวเองกันต่ออย่างเอร็ดอร่อย… และเมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็ได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน
***
ยามเฉิน (07:00-08:59 น.) หลังจากที่ทั้งสามคนกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็จะเริ่มทำการดองผัก หรือไม่ก็ทำพวกเนื้อตากแห้งเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงหน้าหนาว
“วันนี้เราจะเริ่มทำเนื้อตากแห้งก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ พวกท่านคิดว่าอย่างไร? ” เมิ่งฮวาเอ่ยถามความเห็นของทั้งสองคน
“ป้าว่าก็ดีนะ เอาตามอย่างที่เจ้าว่ามาเถิด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาช่วยกันหั่นเนื้อเพื่อที่จะเตรียมไปตากแห้งก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ”
“ได้ได้ ตาแก่แกก็หั่นให้มันดีๆ เล่า” ท่านป้าที่เอ่ยตอบเมิ่งฮวา แต่ก็ไม่วายที่จะหันไปหาเรื่องสามีของตัวเอง
“เพ้ย! ข้ารู้แล้วล่ะน่ายัยแก่ เจ้าก็ทำงานของตัวเองไปเงียบๆ เถิด” ท่านลุงบ่นออกมาอย่างกระปอดกระแปด
“นะ…นี่ ตาแก่!”
“เอ่อ… ท่านลุงท่านป้าอย่าเพิ่งตีกันนะเจ้าคะ สามัคคีกันไว้ก่อนนะเจ้าคะ” เมิ่งฮวาถอดถอนหายใจเมื่อต้องมาคอยห้ามทัพของคนทั้งสอง
เมื่อทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันแล้วก็หันมาสนใจการหั่นเนื้อที่ตัวเองต้องรับผิดชอบต่อไป ทั้งสามคนจึงช่วยกันทำงานตามหน้าที่ของตัวเองกันอย่างขมักเขม้น
.
จนกระทั่งเวลาผ่านไป 1เค่อ [15นาที] แล้ว ท่านลุงที่เห็นว่าเนื้อที่พวกเขาหั่นกันไปนั้นเยอะแล้วจึงได้เอ่ยอาสาออกมา
“อาเมิ่งเนื้อที่หั่นก็ได้เยอะแล้วนะ ลุงต้องทำอย่างไรต้องรึ? ”
“อ้อ… นำเนื้อมาหมักแล้วค่อยนำเนื้อที่หมักแล้วไปจัดวางเรียงใส่กระจาดที่ข้าวางเตรียมไว้บนโต๊ะนั้นน่ะเจ้าค่ะ แล้วนำไปตากแดดเพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ “
“ง่ายถึงเพียงนี้ เหตุใดข้าจึงไม่เคยรูัมาก่อน” ท่านลุงกล่าวออกมาอย่างสงสัย พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ
เมื่อกล่าวจบท่านลุงกับท่านป้าก็ช่วยกันโดยการแบ่งหน้าที่ ซึ่งก็คือท่านป้าจะมีหน้าที่หมักเนื้อ โดยที่ท่านลุงมีหน้าที่นำหมูที่หมักเสร็จแล้วมาจัดวางเรียงใส่กระจาดแล้วนำออกไปตากแดด …ทั้งสามคนช่วยกันทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเมิ่งฮวานางคิดว่าวันนี้ควรพอกับการทำเนื้อแดดเดียวเสียก่อน แล้วหันมาสอนท่านลุงกับท่านป้าทำอย่างอื่นต่อ
“ต่อไปข้าจะเริ่มสอนท่านลุงกับท่านป้าทำไข่เค็มก็แล้วกันนะเจ้าคะ สามารถเก็บไว้ได้นานอีกอย่างนำไปทำอาหารก็ได้หรือจะนำมากินกับข้าวต้มก็อร่อยเช่นเดียวกัน”
“โอ้! จริงรึ มันต้องทำอย่างไรเล่า ยากหรือไม่” ท่านป้าเอ่ยถามออกมาพร้อมกับทำตาโตด้วยความตกใจ
“ไม่ยากหรอกเจ้าค่ะ ขั้นตอรแรกก็คือการล้างไข่เป็ดให้สะอาดสะเด็ดน้ำจนแห้งสนิท แล้วจึงใส่ลงในโหลแก้วเตรียมไว้ ทำน้ำเกลือสำหรับดองไข่โดยใส่เกลือกับน้ำลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟจนเดือด และคนให้เกลือละลายจนหมดแล้วยกลงจากเตาพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท เทน้ำเกลือที่เย็นแล้วลงในโหลไข่จนท่วมไข่ จากนั้นใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำวางทับลงไปให้ไข่เป็ดจมอยู่ใต้น้ำ ตลอดเวลา ปิดฝาให้สนิทเก็บไว้ในที่ร่มนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งสำหรับทำไข่ดาว เก็บไว้นานประมาณ 2 สัปดาห์ แต่สำหรับทำไข่ต้ม เก็บไว้นานประมาณ 3 สัปดาห์”
“งะ…ง่ายอันใดขนาดนี้ แต่ว่าเหตุใดถึงได้ใช้เกลือเยอะนักเล่า” ท่านป้าเอ่ยพร้อมกับบ่นออกมาอย่างเสีย
“ท่านป้าอย่าได้เสียดายไปเลยเจ้าค่ะ หากนำไข่เค็มนี้ไปขายข้าคิดว่าก็คงจะได้หลายตำลึงเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่าเจ้าไข่เค็มนี่มันจะขายได้จริงๆ หรืออาเมิ่ง? ” ท่านลุงที่ตอนแรกยืนฟังเงียบๆ ก็เอ่ยถามนางออกมาอย่างสนใจ
“ข้าคิดว่าอย่างไรก็ขายได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เอาอย่างนี้มั้ยเจ้าคะอีกสัก 3 สัปดาห์ ท่านลุงก็ลองนำไข่เค็มที่เราดองไว้ไปขายดูสักโหลสิเจ้าคะ ขายสักฟองละ 5 อีแปะก็น่าจะได้นะเจ้าคะ”
“ได้ได้ เอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วเราค่อยมาว่ากันอีกเถิด ตอนนี้ลุงว่าเรามาทำงานของพวกเรากันต่อเถิด”
“เจ้าค่า”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ช่วยกันนำไข่เป็ดมาดองเป็นไข่เค็มตามขั้นตอนต่างๆ ที่เมิ่งฮวาเพิ่งจะบอกไป ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมักไปได้25ไห ไหละ10ฟอง ทั้งสามคนจึงได้หยุดมือลงกันทันที
ตอนนี้ก็เป็นเวลายามเว่ย (13:00-14:59 น.) แล้ว อาหารกลางวันทั้งสามคนก็กินเพียงแค่ซาลาเปาใส้เนื้อคนละลูกสองลูกเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น แล้วกลับมาช่วยกันทำงานต่ออย่างขยันขันแข็ง
“ข้าว่าไหนๆ วันนี้เราก็ดองไข่เค็มกันแล้ว เรามาทำไข่เยี่ยวม้ากันต่อเลยดีกว่า”
“ไข่เยี่ยวม้า? มันคือสิ่งใดหรืออาเมิ่ง”
“มันคือไข่เป็ดที่นำมาดองกับใบชา เกลือ น้ำปูนขาว แล้วก็ขี้เถ้าแกลบน่ะเจ้าค่ะท่านลุง”
“โอ้ อย่างนั้นรึ ว่าแต่ชื่อมันช่างแปร่งหูเสียจริง”
“ถึงชื่อจะแปร่งๆ แปลกๆ แต่เชื่อข้าได้เลยว่ามันอร่อยเจ้าค่ะ หากนำไปทำอาหารจะยิ่งอร่อยมากขึ้นไปอีกด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นจะเริ่มทำกันเลยดีหรือไม่ ลุงอยากลองทำดูแล้วสิ? ”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ อธิบายขั้นตอนการทำนะเจ้าคะ ขั้นตอนแรกก็คือนำใบชา เกลือมาต้มรวมกับน้ำจนเกลือละลายเข้ากันดีแล้วเติมปูนขาว และขี้เถ้าแกลบใช้ไฟอ่อนประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นทิ้งพักไว้ให้เย็น นำไข่มาล้างด้วยน้ำอุ่นเช็ดให้สะอาด จุ่มลงในส่วนผสมจนทั่ว นำมาคลุกแกลบ และนำมาวางในลังไม้ หรือภาชนะที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกหมักไว้ประมาณ 30-45 วัน นำมาแกะส่วนผสมที่พอกออก แล้วเราก็ควรที่จะกลับไข่ในทุกๆ 7 วันด้วย เพื่อที่ไข่แดงจะได้อยู่ตรงกลาง เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ยากหรือไม่? ”
“ไม่ยากอย่างที่คิดเลยล่ะ จริงไหมตาแก่”
“จริงสิยายแก่ ข้าชักอยากจะลองชิมเจ้าไข่เค็มกับไข่อะไรนะ? ไข่เยี่ยวม้าใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะท่านลุงสิ่งนี้เรียกว่าไข่เยี่ยวม้า ถ้าท่านลุงอยากชิม เอาไว้เย็นนี้ข้าจะลองทำให้กินนะเจ้าคะ”
“จริงรึ ได้ได้ ถ้าอย่างนั้นลุงจะรอกินนะ” ท่านลุงเอ่ยออกมาอย่างดีอกดีใจ
“เก็บอาการหน่อยเถิดตาแก่”
“ก็ข้าอยากจะลองกินนี่นา หรือว่าเจ้าไม่อยากลองกิน ฮึ!”
“อยากสิ!” ท่านป้าเอ่ยแหวใส่ท่านลุง
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป