ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารมื้อนี้นั้น จบลงด้วยการที่เสิ่นอวี้เจาจงใจทำลายบรรยากาศ นางโยนตั๋วเงินให้เถ้าแก่เพื่อชดเชยความเสียหาย จากนั้นก็หันหลังออกจากหอสุราอย่างไม่รีรอ
แน่นอนว่าทันทีที่ลุกขึ้นเดิน ไม่ลืมที่จะรักษามาดสง่างาม ด้วยการประสานมือคำนับอำลาฉู่หยุนชิงที่พยายามห้ามนางเอาไว้ เสิ่นอวี้เจาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจากนี้ไป หากที่ไหนมีรัชทายาทฉู่มู่ฉือปรากฏตัว นางจะไม่อยู่ที่นั่นเกินครึ่งก้านธูปเด็ดขาด แม้แต่องค์ชายห้าจะอยู่ด้วยก็ตาม!
แต่ความคิดก็คือความคิด ความจริงนั้นกลับห่างไกลออกไปมาก เพราะสุดท้ายนางก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกับไท่จื่อ การนัดหมายล่ม อาหารก็กินไม่อิ่มท้อง พอกลับถึงตำหนัก ยังต้องฟังคำเทศนาจากองค์รัชทายาทที่หาเรื่องมาอบรมอีก
"เจ้าสาบานต่อฮ่องเต้แล้วว่าจะช่วยเรื่องหาพระชายาให้ข้าอย่างเต็มใจ แต่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน เจ้ากลับอยากจับมือร่วมรบกับน้องห้า แล้วถอดใจไปเช่นนั้นหรือ?"
"ฝ่าบาทโปรดแก้ไขให้ถูกต้อง หม่อมฉันบอกเพียงว่าจะลองดูเท่านั้น เพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตคู่ของฝ่าบาทได้สำเร็จ" เสิ่นอวี้เจานั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงลูกแพร์ ปอกส้มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "ยิ่งไปกว่านั้น หม่อมฉันกับองค์ชายห้าก็เพียงพบกันตามปกติ ไม่ได้ 'ร่วมรบ' และยิ่งไม่ได้ 'กลายเป็นคู่รัก' ส่วนเรื่อง 'ถอดใจ' นั้นตรงกันข้าม ฝ่าบาทต่างหากที่ไปฉิงลั่วหว่านหาความสำราญเอง ขาดความจริงใจเช่นนี้ ท้ายที่สุดฝ่าบาทยังคิดจะตัดสัมพันธ์ที่ดีนี้อีกหรือ?"
ฉู่มู่ฉือที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง ยิ้มพร้อมใช้มือเท้าคาง จ้องมองเสิ่นอวี้เจาด้วยสายตาส่องประกาย "ท่านหญิงเสิ่นปกปิดความคิดชั่วร้ายไว้มาโดยตลอด ไยต้องพยายามปิดบังเล่า? ใครก็ตามที่ไม่โง่เขลา ก็เดาได้ว่าเจ้าคิดเช่นไรกับองค์ชายห้า แต่ก็มิใช่เรื่องน่าอับอาย เจ้าเป็นแม่สื่อมานานจนเปล่าเปลี่ยวแล้ว มันย่อมเป็นเรื่องปกติ"
"หม่อมฉันไม่อาจเปรียบเทียบกับฝ่าบาทได้เลย ฝ่าบาทไม่เคยเปล่าเปลี่ยว เพียงแค่กวักนิ้ว สตรีงามก็วิ่งเข้ามาหา...อ้อ หม่อมฉันเกือบลืมไป นั่นเพราะเงื่อนไขคือ อีกฝ่ายไม่รู้ฐานะของฝ่าบาท มิเช่นนั้นคงวิ่งหนีไปเหมือนเจองูพิษ เพื่อปกป้องชีวิตและวงศ์ตระกูล"
"ท่านหญิงเสิ่นนี่ช่างแทงใจดำข้าจริงๆ นิสัยไม่อ่อนโยน และไม่ชวนให้หลงรักเลย" น้ำเสียงของเขาฟังเหมือนต่อว่า แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ แถมยังมีเวลาหยอกเย้าอีก "ข้าคิดว่าท่านหญิงเสิ่นอยู่ในตำหนักข้าได้ดีทีเดียว ไม่เสียแขนเสียขา บางทีชะตาของเราอาจเข้ากันได้ดี ในอนาคตหากหาพระชายาที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ ก็ให้ท่านหญิงเสิ่นมาเติมเต็มก็แล้วกัน!"
เบื้องหน้าชายรูปงามประดุจภาพวาด หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงไม่อาจต้านทานได้ แต่โชคร้ายที่เป้าหมายของเขาคือเสิ่นอวี้เจา นางรู้จักเขามาสิบปีแล้ว และชินชากับใบหน้านี้มานาน มีแต่จะยิ่งรำคาญเมื่อมองนานขึ้น และไม่มีอานุภาพใดๆ ให้รู้สึกใจอ่อนเลย
"ฝ่าบาท ไม่ควรตรัสคำหยาบเช่นนี้ เรื่อง 'ชะตา' เป็นเรื่องเหลวไหล ฝ่าบาทควรรู้ว่าหม่อมฉันมีชะตาที่จะได้เสวยสุขความมั่งคั่ง มิเช่นนั้นไยหม่อมฉันจึงเป็นแม่สื่อได้?" เสิ่นอวี้เจาโยนเปลือกส้มที่ปอกเป็นกลีบวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะยัดทั้งลูกใส่ปากของเขา แล้วลุกขึ้นยืนเดินออกไปโดยไม่แยแส ทิ้งไว้เพียงประโยคเรียบๆ ว่า "ฝ่าบาทมิต้องทรงกังวล พรุ่งนี้หม่อมฉันจะเริ่มพิจารณาเลือกพระชายาให้ฝ่าบาทเอง โปรดทรงรออย่างสงบเถิด"
ฉู่มู่ฉือจ้องมองร่างบอบบางที่หายลับไปหลังประตู รอยยิ้มบนใบหน้างามยังคงไม่จาง เขาลูบคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำเบาๆ
"ไม่ว่ามองอย่างไร ก็เห็นชัดว่ามีเพียงท่านหญิงเสิ่นเท่านั้นที่ถูกใจข้า"
เสิ่นอวี้เจาที่เดินเล่นอยู่ในตำหนัก เผลอคิดในใจขึ้นมา "หรือจะเป็นเพราะแกล้งข้ามานานจนรู้สึกว่า 'แต่งงานกับข้าก็คงไม่แย่' หรอกหรือ?"
ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เสิ่นอวี้เจาก็รักษาสัญญา เริ่มปฏิบัติการคัดเลือกพระชายาให้รัชทายาทอย่างจริงจัง ด้วยท่าทีที่ดูจริงใจเหมือนแม่สื่อที่ตั้งใจทำงาน แต่ในฐานะองครักษ์ผู้ภักดี และช่างสังเกตอย่างยิ่งเจียงเฉิน กลับพบประเด็นที่ชวนให้สงสัย
หากดูจากรายชื่อที่คัดเลือกไว้ล่วงหน้า สาวงามเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ยังไม่เคยแต่งงาน ซึ่งดูสมเหตุสมผลดี เพียงแต่...บุคคลที่อยู่ในรายชื่อนั้น กลับเป็นสตรีที่แทบไม่มีความน่าเอ็นดูให้กล่าวถึง พวกนางล้วนมีลักษณะภายนอกแปลกประหลาด จนไม่มีใครกล้าหันไปมองซ้ำ
เจียงเฉินขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่า เจ้านายแน่ใจแล้วหรือว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจ จะบีบคอรัชทายาทให้ขาดใจตาย?
"ท่านหญิง การเลือกสตรีจากตระกูลเหล่านี้ ดูเหมือนท่านมิได้ตั้งใจเลยสักนิด"
"ตรงไหนที่ว่าข้าเลือกส่งๆ ข้าตัดสินใจหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วต่างหาก" เสิ่นอวี้เจาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "สาวงามเหล่านี้ล้วนเป็นยอดพธูที่เลิศล้ำ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกนางถึงยังไม่แต่งงาน? เพราะพวกนางรอคอยช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ต่างหาก พวกนางเกิดมาเพื่อองค์รัชทายาทโดยแท้"
อย่าพูดจาจริงจังอย่างเหลวไหลแบบนี้ได้หรือไม่?!
เจียงเฉินแทบจะล้มทั้งยืน ต้องสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้งเพื่อสงบสติ "ท่านหญิง ข้าว่าองค์รัชทายาทคงไม่เห็นด้วยแน่ๆ เพราะว่า..."
เพราะว่าผู้ชายปกติคนไหนก็คงไม่เห็นด้วย!
น้ำชาหมิงเยว่
เสิ่นอวี้เจายืนอยู่หน้าประตูโรงน้ำชาหมิงเยว่ สถานที่นัดพบกับสาวงามจากตระกูลขุนนาง แม่สื่อเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว
"เฉินเฉิน เจ้าไม่เข้าใจความหวังดีของข้าเลย ข้าไม่อาจปล่อยให้สตรีที่งดงามเหล่านี้ ต้องตกอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ได้หรอก"
"...เช่นนั้นท่านหญิงจึงเลือกแต่สตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า 'งดงาม' มาอย่างนั้นหรือ?"
"จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าการมีคนยอมเข้าตำหนักรัชทายาทสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องตาบอดแค่ไหนถึงจะยอมรับได้? ฝ่าบาทควรพอใจนะ" นางพูดด้วยน้ำเสียงธรรมชาติ เหมือนคุยเรื่องกินข้าวดื่มน้ำ "ตั้งแต่แรกข้ากำหนดมาตรฐานไว้แค่สองข้อ หนึ่งคือเป็นสตรี สองคือต้องยังมีชีวิตอยู่"
เจียงเฉินน้ำตาแทบไหล องค์รัชทายาทที่ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นบุคคลสูงส่งและยอดเยี่ยม ไยต้องถูกปฏิบัติเหมือนคนข้างถนนที่ไม่มีใครสนใจเช่นนี้? นายหญิงของเขา ช่างเป็นคนที่เอาเรื่องส่วนตัว มาปะปนกับงานได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
เมื่อเจ้าของโรงน้ำชานำทาง ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว และทันทีที่เข้าประตูมา ก็รู้สึกได้ถึงแสงจ้าประหลาดที่ส่องมากระทบจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เจียงเฉินรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้หมดสติไป และยังสามารถยืนอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง เขาช่างเป็นชายที่มีจิตใจแข็งแกร่งจริงๆ!
ใครอธิบายได้บ้างว่าสตรีเหล่านี้มาจากไหน?
คนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายคนแรก ใบหน้าอ้วนกลมจนไม่เห็นดวงตา ไขมันหน้าท้องส่วนเกินพับซ้อนกันสามชั้น คนที่สองทางด้านซ้าย มีใบหน้าหยาบกร้านประหนึ่งซาลาเปาไส้งา เมื่อยิ้มยังเผยให้เห็นฟันเหลืองไม่เป็นระเบียบ คนที่หนึ่งด้านขวาแต่งหน้าหนาประหนึ่งสวมหน้ากาก แม้เครื่องประทินผิวจะเยอะ ก็ปกปิดโครงหน้าที่บิดเบี้ยวโดยกำเนิดไม่ได้ ส่วนคนที่นั่งตรงกลางมีดวงตาเรียวเล็กเป็นสามเหลี่ยม และหน้าผากที่เหมือนผมถูกจับรวมกันเป็นกระจุก...
นี่สินะที่เขาบอก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น!
เจียงเฉินอดคิดไม่ได้ว่า ท่านหญิงของเขารวมปีศาจจากทั้งใต้หล้ามาได้จริงๆ
ในทางกลับกัน เสิ่นอวี้เจากลับดูสงบนิ่งมาก นางกวัดแกว่งพัดไหมในมือ ด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะยกมือขึ้นดึงความสนใจ และกล่าวคำชมที่ทำให้คนฟังตะลึงเหมือนฟ้าผ่า
"ไม่ได้พบกันเสียนาน คุณหนูทุกท่านช่างดูงดงาม และมีเสน่ห์ขึ้นมากนัก หากข้าเป็นองค์ไท่จื่อ คงตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นพวกท่าน สวยจนดวงดาวและพระจันทร์ต้องหมองเลยทีเดียว"
หลังจากนั้น เหล่าคุณหนูทั้งหลายก็เป็นกันเองและร่าเริงขึ้นมาทันที ต่างพากันรายล้อมเสิ่นอวี้เจา พร้อมพูดคุยอย่างเป็นมิตร บรรยากาศดูสนุกสนานจนเรียกได้ว่า "แม่ทัพมา ทหารสู้ น้ำมา ดินสกัด" ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก นางสามารถทำให้เหล่าสตรีใจเต้นแรง ราวกับกำลังอยู่ในงานเทศกาล
ความสามารถในฐานะแม่สื่อ ของนางเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน จนใครๆ ก็อดชื่นชมไม่ได้
แอบสงสารองค์รัชทายาทอยู่นะ 5555555555 คู่นี้เขาเกิดมาเพื่อฟาดฟันกันจริงๆ
ตั้งแต่นั้นมา ความหวาดกลัวที่ฉู่เหม่ยหลิน มีต่อฉู่มู่ฉือก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน ภาพลักษณ์ของเสิ่นอวี้เจาในสายตานางกลับยิ่งดูสูงส่งมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นความชื่นชมในระดับสูงสุดเช่นทุกวันนี้เรื่องจริงพิสูจน์แล้วว่า ทุกครั้งที่ฉู่มู่ฉือรังแกน้องสาว เสิ่นอวี้เจามักจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ"ฝ่าบาทอย่าก่อเรื่อง มิใช่ว่าท่านต้องการชักใยด้ายแดง เพื่อนำทางให้องค์หญิงที่หลงทาง รู้จักกลับตัวกลับใจหรือ?""ข้าไม่ได้กำลังเตือนนางอยู่หรือ?""ขอฝ่าบาทโปรดวางถ้วยน้ำชาเสียก่อน ทรงอย่าทำท่าเหมือนกำลังจะสาดน้ำใส่เลย"ใบหน้าของฉู่มู่ฉือหนาเท่ากับกำแพงเมืองสิบชั้น แม้วิธีการบีบบังคับของเขาจะถูกเปิดโปง แต่ก็ยังคงไม่แสดงอาการลำบากใจ กลับหัวเราะอย่างสดใสแทน"เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องสำคัญกันเถอะ เหม่ยหลินบอกพี่สามมา หากคนรักของเจ้ากลายเป็นคนเสียสติ เจ้ายังจะรักเขาอยู่หรือไม่?"
ในตำหนักจวี้ซิ่วกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกระถางธูปรูปทรงสัตว์มงคล ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ชุดน้ำชาเบญจรงค์ลายครามที่บรรจุชาเขียว สาวใช้เพิ่งชงใหม่ยังคงส่งไอร้อนล่องลอย ขณะที่ฉู่เหม่ยหลิน องค์หญิงในฉลองพระองค์สีแดงสดงดงามน่าหลงใหล ยิ้มแย้มพลางยกถาดขนมมาให้แขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ"ท่านพี่สาม พี่หญิงเสิ่น" ฉู่เหม่ยหลินกล่าวทักทายอย่างนุ่มนวล สายตาเปล่งประกายความเย้ยหยันเล็กน้อย เมื่อมองไปยังฉู่มู่ฉือ "ท่านทั้งสองมาเยี่ยมข้าพร้อมกัน ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งนัก"ฉู่มู่ฉือนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เนื้อดีโดยไม่รอคำเชิญ สายตาที่ทอดมองน้องสาวเต็มไปด้วยความยียวน "ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้า'สนใจ' ลูกชายตระกูลซู น่าสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว"ฉู่เหม่ยหลินยิ้มมุมปาก ขณะวางถาดขนมลงบนโต๊ะ "ข่าวลือนั้นจริงเท็จเพียงใด ยังไม่ถึงคราวที่พี่สามจะต้องมากังวลใจ กระนั้น ข้ากลับสงสัยมากกว่า ว่าท่านพี่มีธุระอันใดถึงได้มาเยือนที่นี่ได้ หรือเพียงเพราะแค่ต้องการความรื่นรมย
ขณะที่ท่านเสนาบดีซวีเดินจากไปด้วยความโล่งอก เสิ่นอวี้เจากำลังจะจากไป แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง นางหันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้ที่มาเป็นราชครูซูแห่งราชสำนัก"อวี้เจา" อีกฝ่ายยิ้มเรียกนาง "คุยกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่?"ราชครูซูแม้จะเป็นขุนนางอาวุโสที่ได้รับความนับถืออย่างสูง แต่กลับมีนิสัยเหมือนกับฮ่องเต้ทุกประการ กล่าวคือแม้จะแก่แต่ก็ยังอย่างประหลาด และยังชอบทำตัวเหมือนบิดา ที่เอ็นดูลูกหลานมากเกินไปเสมอ อีกทั้งเขามักจะเรียกนางด้วยชื่อรองตรงๆ ซึ่งชวนให้อึดอัดไม่น้อย เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน และถือว่าเป็นคนในราชสำนักเหมือนกันด้วย"ราชครูซู หากท่านมีอะไรจะพูด ก็พูดมาตรงๆ เถิด" เสิ่นอวี้เจาเงยหน้ามองชายชราอาวุโส บอกเผยให้ทราบว่านางรู้จุดประสงค์ของเขาแล้ว "หรือว่าท่านคิดตกแล้ว และตัดสินใจรับข้อเสนอของฝ่าบาท ให้ข้าหาคู่เคียงให้ท่าน?"ราชครูซูหน้าแดงทันที "อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้า!""ข้าก็เดาไปเรื่อย" นางตอบ
"เจ้าควรลืมเหตุการณ์นั้นไปเสีย มิเช่นนั้น..." น้ำเสียงของนางเย็นชาและอำมหิต "ข้าจะทำให้เจ้าสูญเสียลูกหลานทั้งหมด และจากนั้นชีวิตของเจ้าจะมีแต่ความว่างเปล่า""ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!"เสิ่นอวี้เจาหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นสวมด้วยท่าทีดูแคลน ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ด้วยความสง่างามอย่างไม่แยแส ทิ้งให้เจียงเฉินยืนถอนหายใจอยู่เพียงลำพังยามเหมา, ท้องพระโรงเฉิงเฉียนฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์มังกรสีทอง ประทับบนพระที่นั่งมังกรอย่างสง่างาม ขณะฟังเหล่าขุนนางรายงานราชการ พระเนตรทรงมองไปทางเสิ่นอวี้เจา ผู้ยืนอยู่เบื้องล่างของขั้นบันไดหินอ่อนเป็นระยะ'อวี้เจา อวี้เจา? เจ้าได้ยินความคิดข้าหรือไม่? นี่เจ้ามาประชุมราชการนะ ห้ามกินของว่างเช่นนี้ มันทำให้ข้าเสียสมาธิมาก'เสิ่นอวี้เจาไม่ได้สังเกตพระเนตรของฮ่องเต้ นางเพียงหยิบขนมไส้เม็ดบัวออกมาจากแขนเสื้อ เคี้ยวกินอย่างเปิด
ในความทรงจำของเสิ่นอวี้เจา เจ้าคนสารเลวนี่ไม่เคยทำอะไรดีๆ เลยสักครั้ง รู้แค่จะเอาหนอนตัวอ้วนมาโยนใส่เสื้อของนาง หรือเอาเถ้าถ่านไปใส่รองเท้า หรือบางทีก็ยืนอ่านจดหมายรักของนางเสียงดังๆ ต่อหน้าฝูงชน...กล่าวโดยรวมแล้ว หากเขาปรากฏตัวขึ้นที่ใด ที่นั่นก็ต้องเกิดเหตุเภทภัยเสมอส่วนเรื่อง "ตามใจ" อะไรนั่น ก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้งเดียวฉู่มู่ฉือไม่ได้โกรธ แต่ยิ่งกว่านั้นเขาเพียงหัวเราะเบาๆ พร้อมลูบไล้ตัวนางอย่างอ้อยอิ่ง ปลายนิ้วไล่ผ่านลำคอขาวเนียนลงมาที่ไหปลาร้าบอบบาง แล้วเลื่อนไปถึงทรวงอกที่โค้งงอน..."คนเลว!" เสิ่นอวี้เจาฟาดมือของเขาด้วยเสียง "เพียะ" อย่างไม่ลังเล แต่ทันทีที่คำพูดหยาบคายหลุดจากปาก นางก็รู้ตัวว่ามันไม่เหมาะกับความสง่างามของขุนนางหญิง จึงรีบกระแอมเปลี่ยนน้ำเสียงทันควัน "อะแฮ่ม...หม่อมฉันเองก็ชั่วช้าเช่นกัน ดังนั้นการใกล้ชิดกับฝ่าบาทมากเกินไปเช่นนี้ นับว่าไม่อาจให้อภัยได้ หม่อมฉันควรกลับห้องเสียที"หางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้นเล็กน้อย
ด้วยคำเตือนก่อนหน้านี้ของเสิ่นอวี้เจา เหล่าคุณหนูล้วนรู้ว่าไท่จื่อชอบสตรีที่กล้าหาญและตรงไปตรงมา พวกนางจึงพยายามแสดงท่าทีที่งดงามที่สุด ดวงตายั่วเย้า มือหยกกวักเรียก แต่แล้วคุณหนูจากตระกูลเฉียนที่ดูจะกระฉับกระเฉงเกินไป กลับสะบัดสะโพกใหญ่อันอวบอิ่มของนางเข้าใกล้ฉู่มู่ฉือในใจที่ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ฉู่มู่ฉือขบฟันแน่น ยกมีดผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ใครจะคาดคิดว่าเสิ่นอวี้เจาจะตบหลังมือเขาอย่างรวดเร็ว มีดจึงลื่นหลุดจากมือและบินออกไป ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็ได้เห็นหายนะความผิดพลาด ในยามที่ฉู่มู่ฉือโกรธเกรี้ยว มีดที่หลุดมือพุ่งตรงไปหาขาซ้ายของคุณหนูเฉียนเสียงกรีดร้องดังก้องเหมือนหมูถูกเชือดเจียงเฉินกลับรู้สึกสงบในทันที เขารู้ดีว่าหากมีการนองเลือดเล็กน้อย การแสดงเลือกคู่ในวันนี้อาจต้องจบลง การเสียสละคนหนึ่งเพื่อให้คนอื่นมีความสุข นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า อีกทั้งคุณหนูเฉียนมีรูปร่างที่อ้วนท้วม การเสียเลือดเพียงเล็กน้อยคงไม่ทำให้นางอ่อนแอลง