ความมืดมิดเข้าปกคลุมป่าต้องสาปอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาแม้แต่น้อย มีเพียงลำแสงจากไฟฉายของโอกิเท่านั้นที่ฉายสาดส่องไปรอบๆ ตัดกับเงามืดทึบของต้นไม้ที่บิดเบี้ยวดูน่ากลัวกว่าเดิมในยามค่ำคืน มายูและโอกิพยุงกันออกมาจากลานต้นไม้สีดำ พวกเขาเดินกลับมาตามทางที่เข้ามาอย่างเงียบๆ ความเหนื่อยล้ากัดกินร่างกาย แต่จิตใจยังคงเต็มไปด้วยคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเผชิญหน้า
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไรจริงๆ โอกิ?” มายูถามอีกครั้ง เมื่อเห็นโอกิยังคงเดินกะเผลกเล็กน้อยจากแรงกระแทกจากเงาปีศาจผู้พิทักษ์ โอกิพยักหน้า สีหน้าเขาซีดเผือดแต่ก็ยังคงความแข็งแกร่ง “ไม่เป็นไรมากหรอก แค่จุกๆ นิดหน่อย ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนั้น” เขาก้มมองมีดอาคมในมือที่ยังคงมีคราบของเงาปีศาจติดอยู่จางๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่ามีดเล่มนี้จะใช้ได้ผลกับมันจริงๆ” “นั่นเพราะมันเป็นเงาปีศาจที่รวมตัวกันไงล่ะ” มายูอธิบายพลางชูขวดที่เก็บวิญญาณเอาไว้ “วิญญาณพวกนี้มันรวบรวมพลังจนมีตัวตนแทบจะสมบูรณ์แบบ มันเลยมีจุดอ่อนที่ชัดเจนกว่าเงาปีศาจธรรมดาที่กระจัดกระจาย” พวกเขาเดินต่อมาอีกพักใหญ่ ลำแสงจากไฟฉายของโอกิส่องไปข้างหน้า เผยให้เห็นทางเดินที่เต็มไปด้วยรากไม้และกิ่งไม้ที่ระโยงระยาง จนกระทั่ง มายูก็ชะงักเท้า “เดี๋ยวก่อนโอกิ” เธอพูดเสียงแผ่ว ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ความมืดเบื้องหน้า แต่ไม่ใช่ด้วยความโล่งใจที่ใกล้จะถึงทางออก แต่เป็นความกังวล “มีอะไรเหรอ?” โอกิถาม พยายามใช้ไฟฉายส่องไปตามทิศทางที่ มายูมอง มายูไม่ได้ตอบ เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังฟังบางอย่างที่คนอื่นไม่ได้ยิน สีหน้าของเธอเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนโอกิเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ “มายู?” “ฉัน… ได้ยินอะไรบางอย่าง” มายูกระซิบ เสียงของเธอแทบจะเลือนหายไปในความเงียบของป่า “มันไม่ใช่เสียง… แต่มันเหมือนความรู้สึก… เหมือนมีใครบางคนกำลังเรียกหา” “เรียกหาใคร? เราเหรอ?” โอกิถาม ไฟฉายในมือเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย เขารู้สึกขนลุกกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป “ไม่แน่ใจ… แต่มันมาจากข้างในป่า… ลึกเข้าไปกว่าเดิม” มายูตอบ พลางหันกลับไปมองความมืดมิดที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาเพิ่งออกมาจากตรงนั้นแท้ๆ และดูเหมือนจะมีบางอย่างกำลังดึงดูดเธอให้กลับเข้าไป โอกิขมวดคิ้ว “เธอหมายความว่าไง? เราเพิ่งจัดการกับไอ้ตัวประหลาดนั่นไปนะ มายู! เราควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงของเขาเริ่มมีแววหงุดหงิดเล็กน้อย ความอ่อนล้าทำให้เขาหมดความอดทน “ฉันรู้… แต่เสียงนี้มัน… มันไม่เหมือนกับสัญญาณของเงาปีศาจ” มายูพูด เธอสัมผัสขวดวิญญาณในมือเบาๆ “มันเป็นพลังงานที่แตกต่างออกไป… พลังงานที่บริสุทธิ์กว่า… แต่ก็ลึกลับกว่า” “บริสุทธิ์?” โอกิทวนคำ “ในป่าต้องสาปเนี่ยนะ? เธอแน่ใจเหรอมายูว่าไม่ได้คิดไปเอง? หรือโดนพิษของป่าเข้าไปแล้ว?” เขาถามด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดประชัน ไฟฉายในมือยังคงส่องส่ายไปมาอย่างหงุดหงิด คำพูดของโอกิทำให้มายูหันมามองเขา ดวงตาของเธอฉายแววไม่พอใจ “ฉันรู้ว่าฉันรู้สึกอะไรโอกิ! ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานมาตั้งแต่เด็ก นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ?” “แต่สิ่งที่สัมผัสได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันนะ มายู! เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วนะ!” โอกิขึ้นเสียง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงได้ดื้อรั้นขนาดนี้ “แล้วนายคิดว่าเรามาที่นี่ทำไมล่ะโอกิ?” มายูสวนกลับ เสียงของเธอเริ่มแข็งกร้าวขึ้น “เรามาเพื่อหาคำตอบไม่ใช่เหรอ? เพื่อหาต้นตอของเงาดำทั้งหมด! แล้วถ้าเสียงนี้มันนำเราไปสู่ความจริงล่ะ? นายจะไม่ตามไปเหรอ?” “แต่เราต้องมีแผนสิ มายู! ไม่ใช่พุ่งเข้าไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้!” โอกิพยายามใช้เหตุผล ลำแสงไฟฉายของเขาสั่นไหวตามอารมณ์ “แล้วนายคิดว่าเรามีเวลามากแค่ไหนกัน?” มายูพูดเสียงดังขึ้น “ไอ้เงาดำพวกนั้นมันกระจัดกระจายไปทั่ว อาจจะก่อความวุ่นวายที่ไหนก็ได้! เราต้องรีบหยุดมัน!” บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ความเหนื่อยล้าและความกดดันจากการเผชิญหน้ากับเงาปีศาจตัวแรกทำให้ความอดทนของทั้งคู่ลดลง และความคิดเห็นที่แตกต่างกันก็เริ่มสร้างรอยร้าวเล็กๆ ในมิตรภาพของพวกเขา มายูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอกำขวดวิญญาณในมือแน่น “ฉันจะไม่ปล่อยให้มันค้างคาอยู่อย่างนี้หรอกนะโอกิ ถ้าเสียงนี้มันนำไปสู่คำตอบ… ฉันจะตามไป” โอกิมองเพื่อนด้วยความผิดหวัง “แล้วถ้ามันเป็นกับดักล่ะ? เธอไม่คิดจะระวังตัวบ้างเลยรึไง?” “ฉันไม่ได้ไม่ระวัง แค่ฉันเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง” มายูยืนกราน “นายจะไปกับฉันไหมล่ะ?” โอกิเงียบไป เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แสงไฟฉายส่ายไปตามความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุด แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่สามารถทิ้งมายูไว้คนเดียวในป่าต้องสาปแห่งนี้ได้ หลังจากที่พวกเขาผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย “เฮ้อ… โอเค! ก็ได้!” โอกิพูดเสียงอ่อนลงแต่ยังคงมีแววไม่พอใจ “แต่ถ้าเจออะไรแปลกๆ ขึ้นมาอีก เธอก็ห้ามโทษฉันนะ” “ไม่มีทางหรอก” มายูยิ้มให้เขาเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งใจที่เพื่อนยังคงอยู่เคียงข้าง “ขอบคุณนะโอกิ” ทั้งคู่หันกลับไปเผชิญหน้ากับความมืดมิดของป่าอีกครั้ง มายูหลับตาลง พยายามตั้งใจฟังเสียงเพรียกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ในหัว เสียงนั้นไม่ใช่คำพูด แต่เป็นทำนองที่ลึกลับและเยือกเย็น มันดูดดึงเธอราวกับแม่เหล็ก แรงดึงดูดนั้นรุนแรงจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ “ทางนี้แหละ…” มายูพูด เธอเปิดตาขึ้น ดวงตาของเธอตอนนี้ฉายแววมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม “ลึกเข้าไปกว่าเดิม…” พวกเขาเดินกลับเข้าไปในป่าที่มืดมิดกว่าเดิม ไฟฉายของโอกิกลายเป็นแสงสว่างเดียวที่นำทาง รากไม้ที่บิดเบี้ยวดูน่ากลัวกว่าเดิมในความมืดที่ไร้ขอบเขต เสียงสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้นจากความมืดรอบกาย ทำให้บรรยากาศยิ่งวังเวงและกดดัน ยิ่งลึกเข้าไป เสียงเพรียกที่มายูได้ยินก็ยิ่งชัดเจนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันนำพาพวกเขามายังบริเวณที่ต้นไม้ดูเก่าแก่และใหญ่โตกว่าส่วนอื่น ใบไม้ของต้นไม้เหล่านี้มีสีดำสนิทราวกับดูดกลืนแสงทั้งหมดเอาไว้ และที่กลางป่าทึบนั้นเอง ลำแสงจากไฟฉายของโอกิก็ฉายไปกระทบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด ลานกว้างแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา กลางลานนั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่น้ำเป็นสีดำสนิท ราวกับกระจกที่สะท้อนความมืดมิดรอบตัว แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตกตะลึงคือ ที่กลางสระน้ำนั้น มีแท่นหินโบราณตั้งตระหง่านอยู่ และบนแท่นหินนั้น มีสิ่งของบางอย่างวางอยู่… มันคือหีบไม้เก่าแก่ที่คุ้นตา หีบเดียวกับที่พวกเขาเจอที่ท้ายแปลงผักของโรงเรียน! แต่สิ่งที่แตกต่างคือ จากหีบนั้นมีลำแสงสีดำอมม่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ความมืดมิดเบื้องบน มันคือลำแสงที่พวกเขาเพิ่งเห็นจากเงาปีศาจผู้พิทักษ์ต้นไม้สีดำ แต่คราวนี้มันดูยิ่งใหญ่และทรงพลังกว่ามาก และจากลำแสงนั้นเอง เสียงเพรียกที่ มายูได้ยิน ก็เปล่งออกมาอย่างชัดเจน… ไม่ใช่เสียงเรียกหา แต่เป็นเสียงบรรยายเรื่องราวเก่าแก่ที่ถูกลืมเลือน… เสียงนั้นเล่าถึงอำนาจโบราณที่ถูกกักเก็บไว้ในหีบ ความผิดพลาดในอดีตที่ทำให้พลังนั้นหลุดรอดออกมา และคำสาปที่ปกคลุมป่าแห่งนี้มานานนับศตวรรษ “นั่นมัน… หีบใบนั้น!” โอกิพูดเสียงสั่น ลำแสงไฟฉายในมือเขาสั่นระริก เขาก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเจอต้นตอของเรื่องทั้งหมดที่นี่ มายูไม่ได้ตอบ เธอเดินเข้าไปใกล้สระน้ำอย่างช้าๆ ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่หีบโบราณนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความตกใจ ความหวาดกลัว และความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจต้านทานได้ “นี่คือที่มาของเงาดำทั้งหมดเหรอ…” มายูพึมพำกับตัวเอง ขณะที่เธอกำลังจ้องมองหีบอยู่นั้น จู่ๆ เงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มก่อตัวขึ้นจากผิวน้ำสีดำของสระน้ำ พวกมันไม่ได้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เหมือนเงาปีศาจที่เคยเจอ แต่เป็นเพียงกลุ่มควันสีดำที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งเข้าใส่มายูและโอกิจากทุกทิศทาง “ระวัง!” โอกิตะโกน เขายกมีดอาคมขึ้นเตรียมพร้อมต่อสู้ แต่จำนวนของเงาดำนั้นมากมายมหาศาลเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้เพียงลำพัง เสียงกระซิบที่เคยเป็นทำนองลึกลับ ตอนนี้กลายเป็นเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นที่ดังก้องไปทั่วทั้งลาน พร้อมกับเสียงร่ายคาถาโบราณที่ฟังดูไม่เป็นภาษา แต่กลับทำให้เส้นขนทั่วร่างของทั้งคู่ลุกชัน และจากสระน้ำสีดำนั้นเอง ค่อยๆ มีร่างเงาขนาดใหญ่กว่าที่เคยเจอ ผุดขึ้นมาจากความมืดมิด… ร่างนั้นมีรูปร่างคล้ายสัตว์ร้ายในตำนาน มีเขาที่บิดเกลียวและดวงตาสีแดงฉานนับร้อยดวงที่มองมายังพวกเขา นี่คือผู้เฝ้าหีบที่แท้จริง… และมันดูเหมือนจะทรงพลังกว่าเงาปีศาจที่เคยเจอมาหลายเท่าความมืดมิดเข้าปกคลุมป่าต้องสาปอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาแม้แต่น้อย มีเพียงลำแสงจากไฟฉายของโอกิเท่านั้นที่ฉายสาดส่องไปรอบๆ ตัดกับเงามืดทึบของต้นไม้ที่บิดเบี้ยวดูน่ากลัวกว่าเดิมในยามค่ำคืน มายูและโอกิพยุงกันออกมาจากลานต้นไม้สีดำ พวกเขาเดินกลับมาตามทางที่เข้ามาอย่างเงียบๆ ความเหนื่อยล้ากัดกินร่างกาย แต่จิตใจยังคงเต็มไปด้วยคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเผชิญหน้า“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไรจริงๆ โอกิ?” มายูถามอีกครั้ง เมื่อเห็นโอกิยังคงเดินกะเผลกเล็กน้อยจากแรงกระแทกจากเงาปีศาจผู้พิทักษ์โอกิพยักหน้า สีหน้าเขาซีดเผือดแต่ก็ยังคงความแข็งแกร่ง “ไม่เป็นไรมากหรอก แค่จุกๆ นิดหน่อย ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนั้น” เขาก้มมองมีดอาคมในมือที่ยังคงมีคราบของเงาปีศาจติดอยู่จางๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่ามีดเล่มนี้จะใช้ได้ผลกับมันจริงๆ”“นั่นเพราะมันเป็นเงาปีศาจที่รวมตัวกันไงล่ะ” มายูอธิบายพลางชูขวดที่เก็บวิญญาณเอาไว้ “วิญญาณพวกนี้มันรวบรวมพลังจนมีตัวตนแทบจะสมบูรณ์แบบ มันเลยมีจุดอ่อนที่ชัดเจนกว่าเงาปีศาจธรรมดาที่กระจัดกระจาย”พวกเขาเดินต่อมาอีกพักใหญ่ ลำแสงจากไฟฉายของโอกิส่องไปข้างหน้า เผยให้เห็นทา
ยิ่งลึกเข้าไปในป่าเท่าไหร่ พืชพรรณก็ยิ่งดูแปลกตามากขึ้นเท่านั้น บางต้นมีใบสีดำสนิท บางต้นมีดอกสีแดงเข้มเหมือนเลือดหยด กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นคาวจางๆ ลอยมาตามลม ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ รากไม้บิดเกลียวพันกันยุ่งเหยิงราวกับงูยักษ์ที่กำลังต่อสู้กันเอง เสียงกรอบแกรบจากใบไม้แห้งใต้ฝ่าเท้ากลายเป็นเสียงเดียวที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขาในความเงียบอันวังเวง“รู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ ไหม?” มายูถาม เธอหันไปมองโอกิที่กำลังเดินนำไปข้างหน้า“อืม… เหมือนมีแรงกดดันบางอย่าง” โอกิตอบ “หน่วงๆ ที่หน้าอก”จู่ๆ สัญญาณบนนาฬิกาของมายูก็เร่งขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวกะพริบถี่จนเกือบจะเป็นสีทึบ มายูชะงักเท้าทันที โอกิหันกลับมามองเธอ“เจอแล้ว! อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ” มายูชี้ไปยังพุ่มไม้หนาทึบเบื้องหน้าพวกเขาทั้งคู่ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปอย่างช้าๆ โอกิชูมีดอาคมขึ้นเตรียมพร้อม มายูเองก็เตรียมพร้อมที่จะใช้พลังจากนาฬิกาหากจำเป็น เมื่อพวกเขาแหวกพุ่มไม้ออกไป ก็พบกับลานเล็กๆ ที่มีต้นไม้ประหลาดตั้งตระหง่านอยู่กลางลาน ต้นไม้นั้นมีลักษณะคล้ายต้นสนแต่ลำต้นเป็นสีดำสนิท ไร้ซึ่งใบ มีเพียงกิ่งก้านที่บิดงอชี้ขึ้นฟ้า ราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้าย
มายู และโอกิยืนอยู่เบื้องหน้าสิ่งที่ดูคล้ายประตูมิติที่เรืองแสงสีม่วงหม่น แสงนั้นสั่นระริกราวกับลมหายใจของสิ่งมีชีวิตโบราณ บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวระดมอยู่ในอก ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากช่องว่างบิดเบี้ยวตรงหน้า ราวกับกำลังเชิญชวนให้ก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งความลึกลับ“พร้อมนะโอกิ?” มายู หันไปมองเพื่อนชาย ดวงตาของเธอฉายแววตื่นเต้นผสมกับความกังวลเล็กน้อย แสงสะท้อนจากประตูมิติทำให้ใบหน้าของเธอดูซีดเซียวแต่ก็ยังคงความมุ่งมั่นโอกิพยักหน้า สีหน้าของเขาจริงจังกว่าที่เคย เขาเอื้อมมือไปจับมือของมายูที่เย็นเฉียบ “พร้อมเสมอ… ไปกันเถอะ”มือทั้งสองประสานกันแน่น ราวกับยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันไว้ท่ามกลางความไม่แน่นอน พวกเขาก้าวเท้าพร้อมกันเข้าไปในห้วงแห่งแสงสีม่วงนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียว ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากลานโล่งที่เคยยืนอยู่ พวกเขาพลันมาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง กลิ่นดินชื้นและพืชพรรณที่แปลกประหลาดตีเข้าจมูก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความดิบชื้นและความพิศวง ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าที่มองไม่เห็นยอดปกคลุมด้วยเถาวัลย์หนาทึบจนแสงอา