ต่อมาถึงวันที่สกนธีจะต้องไปร่วมงานโรงเรียนของลูกในกิจกรรมวันพ่อ ซึ่งอิสริยาไม่ได้มาด้วยเพราะว่าเธอติดงานที่ร้านแต่หญิงสาวก็ซื้อพวงมาลัยให้ลูกเตรียมไว้สำหรับไหว้คุณพ่อแล้ว เป็นพวงมาลัยดอกไม้สดมะลิร้อยกับดอกไม้สีเหลือง
คุณครูเชิญบรรดาคุณพ่อให้นั่งที่เก้าอี้แถวเรียงหนึ่ง จากนั้นให้เด็กๆ เดินเป็นแถวมานั่งที่พื้นตรงหน้าคุณพ่อของแต่ละคน เด็กหญิงสุพิชชาถือพวงมาลัยข้อมือพวงใหญ่ส่งให้สกนธีและก้มลงกราบตามที่ซ้อมไว้กับคุณครู ชายหนุ่มรับดอกไม้มาถือไว้น้ำตาคลอนิดๆ เมื่อคิดอย่างใจหายว่าตนเองเกือบจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว เขารับไหว้ลูกและให้พรกลับ
“พ่อขอให้หนูมีความสุขในทุกๆ วันนะลูก มีแต่คนรักคนเอ็นดู พ่อสัญญาว่าต่อไปนี้พ่อจะเป็นพ่อที่ดีที่สุดของหนู”
“หนูรักพ่อค่ะ รักแม่ด้วย” เด็กหญิงโผเข้ากอดและถามต่อ “เมื่อไหร่หนูกับแม่จะได้กลับไปอยู่บ้านคะพ่อ”
“ถ้าเราอยู่ด้วยกันสามคนมีหนู มีคุณแม่มีพ่ออีกคน ที่ไหนก็เป็นบ้านทั้งนั้นค่ะลูก โตขึ้นหนูจะเข้าใจนะคะ”
วันนั้นหลังจากเสร็จพิธีทางโรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองที่มาร่วมกิจกรรม พาบุตรหลานกลับได้เลยหรือจะอยู่ร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนต่อก็ได้ เด็กหญิงเลือกอยู่ต่อเพราะอยากชมการแสดงและมีการออกร้านอาหารและของว่างมากมาย
สกนธีส่งรูปไปให้อิสริยาดูว่าเขาจะพาลูกเที่ยวงานต่อก่อนจะรับลูกกลับ หญิงสาวกดอ่านแต่ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากตอบมาสั้นๆ
‘ค่ะ ดูแลลูกดีๆ อย่าให้น้องเพียงวิ่งไปไหนคลาดสายตา’
ที่ร้านอิสริยาเอนหลังพิงพนักอย่างเหนื่อยล้า วันนี้เธอคุยงานกับเซลและทีมงานที่ห้างใหญ่เกี่ยวกับงบการเงินที่เธอดูแล มีรายละเอียดปลีกย่อยบางเรื่องที่ไม่ตรงกันจนต้องไล่หาคำตอบว่ามีตัวเลขตรงไหนที่พลาดไป กว่าจะเจอก็บ่ายแก่แล้วหมดเวลาจะตามไปงานโรงเรียนลูกด
‘งานวันพ่อ ให้สกนธีไปน่ะดีแล้ว เขาควรจะได้เรียนรู้ว่าการดูแลเด็กจริงๆ สักคนนั้นเป็นอย่างไร’ เธอคิดในใจ เธอเป็นแม่ส่วนเขาก็เป็นพ่อ เขาควรมีส่วนช่วยเธอดูแลลูกบ้างก็คงไม่ผิดอะไร
เธอบอกตัวเองว่าให้พยายามไว้ใจว่าเขาคงจะเป็นพ่อที่ดีได้จริงๆ ตามที่ตั้งใจไว้ เพราะถ้าเขาพลาดอีกและเกิดอะไรขึ้นกับลูก เธอจะไม่มีวันให้อภัยเขาได้อีกแน่นอน
“อ้าวไอ้เก่ง มึงมางานวันพ่อด้วยเหรอ” อำพลเพื่อนเก่าสมัยเรียนเดินมาตบบ่าสกนธีที่กำลังยืนมองลูกสาวเกาะขอบเวทีประกวดร้องเพลงในงานกิจกรรมโรงเรียน
“ไอ้นี่ถามแปลก กูมีลูกกูก็ต้องมาไหมวะ” สกนธีตอบอารมณ์ชื่นมื่นของวันนี้เริ่มแกว่ง เขาสังหรณ์ใจว่าวันนี้ของเขาเริ่มไม่สงบสุขเสียแล้วแน่ๆ
“ก็กูไม่เคยเห็นมึงนี่หว่า” อำพลตอบด้วยสีหน้าระรื่นผิดกับอีกคนที่กำลังเริ่มเซ็ง
“ไอ้อ่ำครับ ลูกเมิงเรียนชั้นไหน” สกนธีถามกลับ
“เตรียมอนุบาล มึงถามทำไม” อำพลตอบพาซื่อ ถึงขนาดนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายของสกนธี
“ก็ลูกมึงเพิ่งเข้าเรียนปีแรก มึงไม่เคยเห็นกูในงานวันพ่อก็ถูกแล้วไหม กูเองก็ไม่เคยเห็นมึงเหมือนกัน”
“ออ เออใช่ กูลืมโทษทีๆ” อำพลหัวเราะร่วนตามประสาคนอารมณ์ดี แต่จู่ๆ เขาก็หันมองซ้ายขวาก่อนจะกระซิบด้วยสีหน้าจริงจัง
“กูได้ข่าวว่าเมียมึงขอเลิกกับมึงใช่ไหม วันนี้มึงถึงมาคนเดียว ยังไงกูก็เสียใจด้วยนะโว้ย รักกันมาตั้งนานตั้งแต่เรียน”
ในบางขณะอำพลอาจจะจัดอยู่ในประเภทคนปากเสียอยู่บ้าง แต่เขาเองก็ไม่เคยคิดจะแช่งให้ใครเลิกกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีลูกด้วยกันแล้ว ไม่มีใครอยากให้ลูกมีครอบครัวที่พ่อไปทาง แม่ไปทาง
สกนธีหูกระดิกเมื่อได้ยินที่เพื่อนพูดชัดๆ “เดี๋ยวนะ มึงพูดบ้าอะไรนี่ อยู่ดีๆ จะมาแช่งครอบครัวกูทำไม”
‘ไอ้ปากอัปลักษณ์ ไอ้คนปากไม่มงคล ไอ้คนปากไม่มีหูรูด ผีเจาะปากมาพูดตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ผีมันก็ยังไม่ยอมออกไปไหนอีกเหรอวะ’ ชายหนุ่มคิดในใจอย่างโมโหว่าเซนส์ตัวเองแม่นจริงๆ ว่าวันนี้น่าจะมีอะไรให้หงุดหงิดใจ
“อ้าว ก็เพื่อนในรุ่นเราเขาปิดกันให้แซ่ดว่ามึงถูกเมียทิ้งไง” อำพลพูดถึงกลุ่มไลน์เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ที่แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เข้าไปสนทนาหรือติดตามอะไรแต่ข่าวของสกนธีไม่เคยเงียบหรือจางหายไปนานในกลุ่มนั้น
“ห่า พวกมึงนี่มีชีวิตอยู่ได้เพราะการนินทาชาวบ้านหรือเปล่าวะ” ตัวเขาเองก็แทบไม่ได้เข้าไปดูในกลุ่มนั้นเลย ว่ามีข่าวอะไรพาดพิงถึงตนหรือไม่ ด้วยมองว่ามีแต่เรื่องไร้สาระ หากใครมีธุระเร่งด่วนก็คงโทรหาเขาเอง
“เฮ้ย... กูก็ไม่รู้ว่ะว่าต้นตอข่าวมาจากไหน แต่ยังไงเดี๋ยวกูเข้าไปแก้ข่าวให้ โอ๋เอ๋... อย่าเพิ่งโมโหนะเพื่อน ใจเย็นๆ ยังไงวันนี้กูไปก่อนนะ ลูกกูมาแล้ว”
อำพลรีบขอตัวเมื่อลูกของตัวเองได้ขนมที่ซื้อแล้วและกำลังมองหาบิดา เขาจึงถือโอกาสชิ่งออกไปทันที
“พ่อขา หนูอยากไปเรียนร้องเพลง” เด็กหญิงดูการประกวดร้องเพลงบนเวทีจนจบ จนอยากลองทำแบบนั้นบ้าง
“แล้วที่ว่าจะเรียนบัลเลต์ละคะลูก” เขาถาม
เด็กหญิงทำท่าคิดหนัก ทำอย่างไรดี อูคูเลเล่ก็ไม่อยากเลิก บัลเลต์ก็อยากเรียน แต่ร้องเพลงก็อยากเรียนด้วยอีก
“เลือกได้อย่างเดียวค่ะลูก จะเรียนบัลเลต์หรือร้องเพลง เพราะวันอื่นๆ คุณแม่อยากให้หนูไปกวดวิชาบ้าง”
สุพิชชาทำสีหน้าคิดไม่ตก เธอดูจริงจังมากจนคนเป็นพ่อรู้สึกเอ็นดู แต่ก็ไม่เสนอความคิดของตนเองไปแทรกแซงกระบวนการคิดของเด็กน้อย นี่คือโจทย์ที่เขามองว่าลูกควรได้ตัดสินใจเองก่อนในเบื้องต้น
“หนูคิดไม่ออกค่ะ” เธอบอกตามตรง
“งั้นเดี๋ยวค่อยคิดก็ได้ค่ะลูก วันนี้เราจะกลับกันหรือยังคะ ไปกินอะไรก่อนเข้าบ้านไหม วันนี้พ่อว่างทั้งวันเลยค่ะ” เขาถามต่อ เด็กหญิงพยักหน้า
“กลับค่ะพ่อ หนูคิดถึงแม่แล้วอยากไปกินไอติมด้วย”
อีกสองชั่วโมงต่อมาพ่อลูกจึงพากันเข้าบ้าน สกนธีเปิดประตูชั้นสองเห็นอิสริยาหลับบนโซฟาจึงหันไปบอกลูกให้เงียบ
“แม่หลับค่ะลูก แม่คงทำงานเหนื่อยหนูเงียบๆ นะคะ”
สกนธีดูแลให้ลูกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเงียบกริบ จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดเขาจึงเดินไปปลุกอิสริยาให้รู้สึกตัวตื่น
“เอ๋ เอ๋ครับไม่สบายหรือเปล่า”
เธอลืมตาช้าๆ ขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ พยายามทวนความจำแต่ยังนึกอะไรไม่ออก หญิงสาวงุนงงว่าเธออยู่ที่ไหนก่อนจะนึกได้ว่าตนเองทำงานเสร็จแล้วขึ้นมานั่งพักกะว่าจะนอนเล่นพักสายตาสักครู่แต่กลับหลับจริง
“เปล่าค่ะ เหนื่อยเลยเผลอหลับ ลูกล่ะ”
“ลูกอาบน้ำแล้ว กำลังกินข้าวเย็นน่ะ เอ๋จะกินเลยไหมเดี๋ยวพี่อุ่นกับข้าวให้”
เขาเองก็ยังไม่ได้รับประทานเพราะจะดูแลลูกให้เรียบร้อยก่อน อีกใจนึงก็เป็นห่วงอิสริยาด้วยว่าจะป่วยหนักหรือไม่ เพราะเธอนอนหลับยาวแบบที่ไม่เคยเป็น
“ค่ะกินเลยก็ได้ ขอไปล้างหน้าแป๊บนะคะ”
สิบปีต่อมา “พ่อขา หนูขอไปเรียนต่อที่มช.นะ พ่อให้หนูไปนะคะ” สุพิชชาในวัยสิบแปดปีเต็ม เธอเป็นเด็กสาวที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเป็นผู้ใหญ่แล้วอ้อนขอบิดาในเรื่องเรียน “อืม... พ่อว่า” สกนธีคิดหนัก เขาเป็นพ่อที่ขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาวทั้งสองคนมาก โดยเฉพาะคนโตที่กำลังเป็นสาวสะพรั่ง จะทำใจปล่อยให้ไปอยู่ไกลขนาดนั้นได้อย่างไร “หนูยื่นคะแนนผ่านแล้วหรือยังลูก” อิสริยาถามแทน“ผ่านแล้วค่ะแม่สาขาแอนนิเมชันและวิชวลเอฟเฟกต์ อาทิตย์หน้าต้องไปสัมภาษณ์ รอบรับตรงคะแนนผ่านยี่สิบคนรับสิบห้าค่ะ” “งั้นเดี๋ยวพ่อแม่ไปด้วย” สกนธีตัดสินใจ ในวัยของลูกเขาเองก็ผ่านมาแล้ว รู้ว่าไม่ควรห้ามและปิดกั้นลูกไม่ให้ออกไปเผชิญโลกภายนอก“พิงค์ไปด้วยค่ะ” สโรชาวิ่งลงมาจากบันไดทันได้ยินพอดี “ไปกันหมดบ้านล่ะ ถ้าน้องเพียงสอบผ่านเราก็หาบ้านไว้ที่นั่นสักหลังนะคะพี่เก่ง” อิสริยาสรุป“เย้... ดีใจจังเราจะมีบ้านที่เชียงใหม่แล้ว” ดูเหมือนว่าลูกสาวคนเล็กจะดีใจกว่าคนที่ขอไปเรียนเสียอีก สกนธีมองลูกแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู แม้ว่าเขาเองจะมีความใจหายลึกๆ ว่าอีกหน่อยลูกจะโตกันหมดแล้วก็ตามห้าวันต่
หนึ่งปีต่อมา“เราจะซื้อไปทำไมคะแม่ ดอกไม้พวกนี้” น้องเพียงในวัยแปดขวบถามหลังจากที่ช่วยมารดายกถุงใส่พวงมาลัยสดขนาดยาวสามเมตรขึ้นรถ“เอาไปไหว้เหล่ากงไงลูก” น้องเพียงทำหน้านึก “อ๋อ... ไปเชงเม้งเหรอคะแม่”“ใช่จ้ะลูก บ้านเราไปกันพรุ่งนี้” เพราะว่าครอบครัวของอิสริยาเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดังนั้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนจะเป็นช่วงเทศกาลเชงเม้งหรือการไปไหว้บรรพบุรุษ สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะต้องไปพร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ว่าจะเป็นเสี่ยกวงและภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกเขย และบรรดาหลานๆโดยที่ปีนี้ครอบครัวของอิสริยาจะเอารถไปเอง โดยที่เธอนัดกับคนอื่นๆ ไว้ว่าให้ไปเจอกันที่สุสานที่จังหวัดสระบุรีในช่วงสายได้เลย เช้าวันนั้นเด็กๆ ตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างจังหวัดจึงพากันตื่นเร็วทั้งพี่ทั้งน้อง อิสริยาให้พี่เลี้ยงลูกตามไปหนึ่งคนเพื่อคอยดูเด็กๆ ในช่วงที่ทำพิธีไหว้เมื่อจัดของขึ้นรถเรียบร้อยแล้วในตอนเช้า ยังไม่ถึงหกนาฬิกาดีรถยนต์เจ็ดที่นั่งก็เคลื่อนตัวออกเดินทาง สกนธีเพิ่งเปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้เมื่อต้นปีเพราะมันเป็นรถรุ่นครอบครัว เหมาะกับบ้านที่มีสมาชิกหลายคน “ลูกอมกาแฟหน่อยไหมคะ
“คุณพ่อขา แม่จะต้องอยู่ข้างในนานไหมคะ” เด็กหญิงสุพิชชากระตุกมือคุณพ่อของเธอที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัด“เดี๋ยวคุณแม่ก็ออกมาลูก” สกนธีจูงมือลูกสาวพามานั่งรอด้วยกัน “หนูหิวหรือยังคะ ไปหาอะไรกินก่อนไหมพ่อพาไป” ชายหนุ่มมองเวลา จากที่คุณหมอแจ้งไว้น่าจะพอมีเวลานิดหน่อยพาลูกไปหาอะไรรับประทาน“หิวค่ะ แต่หนูอยากรอแม่” เพราะว่าเด็กหญิงเพิ่งกลับจากโรงเรียนก็ตรงมาที่โรงพยาบาลเลย “ไปกินก่อนลูก กว่าแม่จะผ่าตัดเสร็จกว่าจะขึ้นห้องพัก” ชายหนุ่มบอกลูกสาว กำลังจะพาเด็กหญิงไปชั้นล่างแต่คุณนายอิสรีย์เดินมาถึงเสียก่อน“น้องเพียงไปกับอาม่าก็ได้ลูก เก่งรอดูเอ๋เถอะเดี๋ยวแม่พาน้องเพียงไปเอง” “ขอบคุณครับม้า” สกนธีขอบคุณแม่ของภรรยาที่มาช่วยดูแลหลาน หลังจากที่อันธิกาเป็นคนไปรับหลานจากโรงเรียนมาส่งหาพ่อแม่ที่โรงพยาบาล“แล้วนี่เอ๋จะทำหมันด้วยเลยไหม” นางถามต่อ“ไม่ทำครับ เดี๋ยวผมทำเอง” แม่ยายชะงักมองหน้าลูกเขย ก่อนจะยิ้ม “ดี ทำหมันก็เจ็บตัวเพิ่มแค่ผ่าคลอดก็เจ็บพอแล้ว ขอบใจนะ” หาได้น้อยบ้านที่ผู้ชายจะยอมเป็นฝ่ายทำหมัน เนื่องจากมองกันว่าไหนๆ ฝ่ายหญิงก็คลอดลูกอยู่แล้ว ควรจะทำหมันไปด
อิสริยาและสกนธีจรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรสต่อหน้านายทะเบียนที่เชิญมานอกสถานที่ ทั้งสองผลัดกันเซ็นแล้วนายทะเบียนลงนามและตรวจสอบความเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นจึงมอบให้คู่บ่าวสาวเก็บไว้ถือคนละฉบับวันนี้เป็นวันแต่งงานอีกครั้งของสกนธีและอิสริยา ซึ่งจัดเป็นพิธีแบบครึ่งวันไม่มีงานเลี้ยงเย็นเนื่องจากเจ้าสาวตั้งครรภ์อยู่ ไม่สะดวกเข้าพิธีที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานแขกที่พวกเขาเชิญมาร่วมงานมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนสนิทหรือญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมวงการทั้งสิ้น งานจัดแบบสบายๆ เป็นงานแต่งงานในสวน ตามตารางเวลาจะมีพิธีเลี้ยงภัตตาหารและหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ พิธีส่งตัว จบที่การเชิญแขกร่วมรับประทานมื้อเที่ยงแบบเป็นกันเอง“รักกันนานๆ ดูแลกันไปตลอดนะลูก” คุณธิดาให้พรเป็นคนแรกในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวอีกครั้งเพื่อเป็นสิริมงคลคู่บ่าวสาวในงานแต่งงานครั้งที่สองของลูกชายคนเดียว“พ่อขอให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ทำอะไรเจริญก้าวหน้านะลูก เด็กๆ แข็งแรง พระเจ้าอวยพรลูก” ตามด้วยคุณศิริหลั่งน้ำสังข์พร้อมกับให้พรและมีเงินขวัญถุงใส่ซองให้บ่าวสาวคู่บ่าวสาวก้มลงไหว้คนทั้งสอง “ขอบคุณค่ะคุณแม่คุณพ่อ” “ขอบคุณครับพ่อแ
คดีของติยากรคืบหน้าอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มไปในทางดี เพราะว่าทนายติดต่อไปยังอดีตแฟนสาวอีกคนของเคน และได้รับทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่ต่างกันกับที่ติยากรได้พบ นอกจากนั้นในอีกส่วนซึ่งเป็นคดีของสกนธีเองก็มีการได้คุยกับเพื่อนร่วมวงการหลายคน และพบว่าเคนไม่ได้ทำกับสกนธีเป็นคนแรก ดังนั้นจึงมีการรวบรวมผู้เสียหายหลายคนรวมฟ้องกันเป็นหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระและมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลายสิบล้านคดีของติยากรและผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่คดีที่เกี่ยวกับการแบล็กเมล ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและกรรโชกทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วและได้ตัดสินให้เคนจำคุกทั้งหมดสี่ปีสิบสองเดือน และเสียค่าปรับอีกสามแสนบาทและมีคำสั่งห้ามเข้าใกล้โจทก์ในระยะห่างที่ศาลกำหนดจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลได้รับอุทธรณ์ตามขั้นตอน นั่นหมายความคดีจะต้องยืดเยื้อไปอีกนาน ในส่วนคดีของสกนธีศาลได้ประทับรับฟ้องเคนเป็นจำเลยที่หนึ่ง และผู้มีส่วนรู้เห็นเป็นจำเลยที่สองและสามอีกหลายคน ซึ่งคดีของสกนธีเป็นคดีที่มีมูลความผิดและอัตราโทษที่รุนแรงไม่แพ้กัน คือคดีปลอมแปลงเอกสารราชการซึ่งถือเป็นความผิดอาญามีโทษทั้งจำและปรับทีมกฎหมายของคดีที่สกน
การก่อสร้างห้างใหม่กว่าจะแล้วเสร็จใช้เวลาหนึ่งปีพอดี ในวันเปิดงานหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่ปีถัดมา นั้นก็เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเข้าศกใหม่และย้ายโกดัง สำนักงานและสินค้าทั้งหมดเข้าห้างใหม่ไปในเวลาเดียวกันกรรมการบริหาร หุ้นส่วน พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อสร้างล้วนถูกเชิญให้มาร่วมในงานทำบุญเปิดห้างเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นศักราชใหม่ ซึ่งรวมถึงอิสริยาและสกนธีกับทีมงานของเขาก็มาร่วมงานในวันนี้เช่นกัน“แม่ขาหนูสวยยังคะ” น้องเพียงในวัยหกขวบหมุนตัวไปมาให้มารดาดู เธอสวมชุดเจ้าหญิงฟูฟ่องสีชมพูที่เธอร้องอยากได้และคุณพ่อเป็นคนซื้อให้ตามสัญญา“สวยแล้วค่ะ อยู่นิ่งๆ ก่อนนะคะ รอพระสวดเสร็จก่อนลูก” หญิงสาวปรามลูกไม่ให้ขยับตัวไปมาเยอะจนเป็นการรบกวนคนอื่นให้เสียสมาธิในการรับพร“หนูจะไปหาคุณพ่อ” ว่าแล้วเธอก็วิ่งปรู๊ดไปหาสกนธีที่กำลังคุยกับเสี่ยกวงและอังกูร พ่อและพี่ชายของภรรยา“ขอบใจมากนะอาเก่ง ลื้อเก่งจริงๆ ดูสิเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้” เสี่ยกวงขอบใจพ่อของหลานสาวที่เป็นธุระเรื่องการสร้างห้างใหม่ให้ชายหนุ่มก้มศีรษะน้อมรับคำชมนั้น ซึ่งไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทำให้งานสำเร็จลงได้ การก่