เมืองคอร์เซียร์...
เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือด เรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมือง กลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน “ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วน ลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมือง ที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีก ภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับ ชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่ “เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน” แบร์กตันโบกมือ ผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น “ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้อง เขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอกข้าเรอะ!? ข้าจ่ายเจ้าไปตั้งแต่ก่อนพระจันทร์ขึ้น! แล้วเจ้ากลับมาพร้อมคนเเคระ ข้าต้องการเงือก?!” “เงือกหนีระหว่างทาง” แบร์กตันกัดฟันตอบ “นางฉลาดกว่าที่ข้าคิด...แต่ไม่เกินมือข้าแน่ ข้าจะไปจับนางกลับมาให้” “ในคอร์เซียร์ ไม่มีใครล้อเล่นกับข้าแล้วจากไปพร้อมหนี้หรอกนะ กัปตัน” ทันใดนั้น บรรดาคนงานของโรงละครสัตว์ก็ก้าวออกจากมุมมืดรอบลานหลังโรง ในมือพวกเขามีทั้งตะขอ ค้อน ท่อนไม้เหล็ก และโซ่สนิม แบร์กตันหรี่ตา มือข้างหนึ่งแตะด้ามดาบที่สะโพก แต่ก่อนที่เลือดจะนอง เจ้าของโรงละครยกมือขึ้น “...ฟังนะ” เขายิ้ม “ถ้าเจ้าจะตามตัวเงือกตัวนั้นกลับมาให้ภายใน ห้าวัน เราจะถือว่าหนี้สินเป็นโมฆะ” “ดี” แบร์กตันกล่าว “นางหลบอยู่ในเกาะต้องสาป ข้าจะลากหางปลานั่นกลับมาให้เจ้าเอง…” เรือเล็กของโจรสลัดลอยลำอย่างเงียบงันเหนือผืนน้ำสีดำสนิท ไอเย็นที่พัดผ่านไม่ใช่เพียงลมจากทะเล...แต่มันเหมือนเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่มีตัวตน กัปตันแบร์กตันยืนหัวเรือ ดวงตาแข็งกร้าว เบื้องหลังเขา คือลูกเรือห้าคน คนหนึ่งชื่อบรอล ร่างใหญ่ใจร้อน อีกคนคือซิน หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญกับดัก และอีกสามคนคือ เดร็กซ์, วินซ์, โฮลเลอร์ — ล้วนแต่ผ่านสนามรบทะเลมานับไม่ถ้วน “เจอเงือกแล้วก็จับใส่กรง” แบร์กตันพูดเสียงเย็น “อย่าลังเล อย่าใจอ่อน—สิ่งมีชีวิตพวกนั้นไม่ใช่คน พวกมันลวงโลกด้วยหน้าตาเท่านั้น” เกาะร้างปรากฏในสายตา แนวป่าทึบตั้งฉากรอผู้บุกรุกเหมือนเขี้ยวสัตว์ร้าย ทรายชายฝั่งสีหม่น ไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น พวกเขาเหยียบฝั่งโดยไม่มีใครพูดอะไร เสียงรองเท้าบู๊ตจมหายลงในเลนเปียก ลมหอบกลิ่นดินชื้นและเศษซากทะเลเหม็นเน่า บรอลพูดขึ้นเบา ๆ ขณะจับด้ามขวานแน่น “ที่นี่มัน...ไม่เหมือนเกาะธรรมดา” “เก็บความกลัวไว้กินตอนตาย” แบร์กตันหันไป “ซิน เจ้าเดินนำทาง หญิงสาวคล้องมีดสั้นไว้ข้างเอว เดินนำผ่านพุ่มไม้หนา เดร็กซ์กับวินซ์ถือคบเพลิงเดินตาม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา แสงไฟสั่นไหวตามแรงลม เงาของต้นไม้เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ทันใดนั้น— แกรก! เสียงบางอย่างขยับอยู่บนยอดไม้ บรอลเงยหน้าขึ้นทันที พลางเงื้อขวาน แต่ไม่มีอะไร...นอกจากเสียงหัวเราะแผ่วเบา ลอยมากับสายลม... > “ได้ยินไหม?” วินซ์กระซิบ “เสียงผู้หญิงหัวเราะ...” > “ข้าคิดว่าเป็นลม” ซินกัดฟัน “เดินต่อ อย่าแตกแถว” พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทว่าทุกก้าวที่ย่างเข้าไปในป่า…เหมือนกับว่าความเป็นจริงเริ่มบิดเบี้ยว ต้นไม้เริ่มขึ้นแนวผิดธรรมชาติ เถาวัลย์พันกันเป็นรูปแปลกตา กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ ทันใดนั้น… พวกเขาพบกับสิ่งหนึ่ง เป็นโขดหิน…ที่มีรอยขีดเขียนของมนุษย์ คำจารึกโบราณด้วยอักษรบางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก และตรงพื้นเบื้องหน้า...คือรอยเท้า รอยเท้าคน...และรอยเลื้อยของบางอย่าง แบร์กตันทรุดลงดูใกล้ ๆ เขาแตะพื้น ตรวจสอบรอยเท้า “นี่ไม่ใช่พวกเราแน่...รอยเท้าผู้หญิง” เขากระซิบเบา ๆ แล้วหันไปสบตากับทุกคน “นางอยู่ที่นี่จริง ๆ...นีร่า” ทันใดนั้น ลมแรงพัดวูบ เปลวไฟจากคบเพลิงดับวูบในพริบตา และเสียงหนึ่ง...ดังขึ้นจากความมืด > “เจ้าคือผู้ล่า...หรือเหยื่อกันแน่?” ทุกคนชะงัก วินซ์ก้าวถอยหลัง ขณะที่ซินกรีดมีดเตรียมสู้ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้มาจากคอคน ค่อย ๆ ลอยวนอยู่รอบพวกเขา พวกเขารู้ในวินาทีนั้นว่า...สิ่งที่อยู่บนเกาะนี้ ไม่ได้มีแค่เงือกนีร่า เขาหันกลับไปขึ้นเรือ ลูกเรือรีบตามหลัง เสียงระฆังเรือดังขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมที่เริ่มเย็นยะเยือก ค่ำคืนมืดมนคลืบคลานลงสู่ป่าแน่นหนาของเกาะร้าง กลิ่นดินชื้น กลิ่นคราบเกลือ และอะไรบางอย่างที่คล้ายกลิ่นศพเริ่มโชยมาตามสายลม คบเพลิงของโจรสลัดถูกจุดขึ้นอีกครั้งด้วยไฟจากหินเหล็กไฟ แสงสีส้มวาบวับของมันฉาบเงาโหดเหี้ยมลงบนใบหน้าของแบร์กตันและลูกน้องทั้งห้า พวกเขาไม่รู้เลย…ว่าในความมืดข้างทาง บางสิ่งกำลังมองอยู่ “ข้าบอกแล้วว่าได้กลิ่นเน่า” บรอลบ่น “นี่มันไม่ใช่แค่กลิ่นซากปลาแน่…” “เงียบ” ซินขู่เสียงแผ่ว มือจับมีดข้างขาแน่น “มีบางอย่างตามพวกเราอยู่ แต่ยังไม่ลงมือ” แต่ในขณะที่ทุกคนระวังหน้า ระวังหลัง… ...ไม่มีใครหันไปมอง “ต้นไม้ใหญ่” ทางซ้ายมือ มันคือไม้เก่าแก่ที่สุดต้นหนึ่งในบริเวณนั้น เปลือกไม้แตกเป็นเส้น มีบางอย่างคล้ายรูปร่างมนุษย์ฝังแนบอยู่กับลำต้น บิดเบี้ยว เหมือนถูกหล่อรวมกับเนื้อไม้มาเป็นร้อยปี ตาไม่มีลูกกระตา ปากอ้าค้าง แต่กลับมีไอหมอกสีดำค่อย ๆ รินออกมาจากรอยแยก เดร็กซ์เป็นคนที่เดินตามหลังกองขบวน เขายืนปัสสาวะข้างทางชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับ… แล้วเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เขาคิดว่าเป็น “รากไม้” > “เฮ้…ต้นไม้นี่…หน้าตาแม่งเหมือนคน…” ไม่ทันที่เสียงจะสิ้นสุด… เสียง “ฉึก!” เงียบกริบ มือดำทะมึนพุ่งฉับเข้าจับปากของเดร็กซ์จากด้านหลัง ร่างของเขาถูกลากเข้าไปในลำต้นไม้เน่าเปื่อย เสียงกระดูกหักดังกร๊อบในความเงียบ เลือดหยดลงพื้น... แต่ไม่มีใครได้ยิน กลุ่มโจรสลัดที่เหลือเดินลึกเข้าไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่า… “เดร็กซ์หายไปแล้ว” บนเปลือกไม้ ตรงจุดที่ร่างนั้นเคยหลอมรวม บัดนี้กลายเป็นสองร่าง และ “ต้นไม้ต้นนั้น” ก็ค่อย ๆ กลืนน้ำลาย…เป็นเสียงครืดแผ่วเบา เหมือนกับยังไม่อิ่มกลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
บรรยากาศในวิหารใต้ดินเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนชัดเจนแสงจากลวดลายโบราณบนพื้นค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงสีน้ำเงินสลัวจากแท่นศิลาเบื้องหน้านีร่ายืนเซเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว แต่ขณะเดียวกันกลับร้อนรุ่มภายในอีธานพยายามประคองเธอ “เจ้าไหวไหม?”“เหมือนข้า...ได้ยินเสียง...” นีร่ากระซิบ ดวงตาของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัวมาริเบลเบิกตากว้าง “ตาของเจ้า...นีร่า...เหมือนตาของแม่เราในคืนสุดท้าย...”ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากมุมมืดของวิหารเสียงฝีเท้าเก่าแก่... และเงาหนึ่งปรากฏออกจากหลังเสาหินชายชราผิวซีดในผ้าคลุมสีดำเดินออกมาช้า ๆ ดวงตาเขาขุ่นมัวคล้ายคนมองทะลุอดีตมาหลายร้อยปี“ในที่สุด... นางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”ทุกคนชะงัก“เจ้าคือใคร?” ไอล่าถาม มือแตะดาบอย่างระวังชายชราไม่ตอบคำถามตรง เขาจ้องนีร่าแน่นิ่งก่อนพูดเสียงแผ่ว “เงือกแห่งคำสาป...เงือกที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของราชาและคราบเกลือพันปี”นีร่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง“ข้า...ไม่เข้าใจ” เธอพูดเบา ๆชายชราก้าวเข้าใกล้แท่นศิลาเขาวางมือลงบนตราสัญลั
อีธานนอนไม่หลับ เขาเดินออกมายังระเบียงวังพบกับนักบวชชรานั่งจุดตะเกียงอยู่คนเดียว“ท่านมาจากดาร์กวาเรนใช่หรือไม่?” นักบวชถาม“ใช่” อีธานตอบ “ทำไม?”นักบวชหันมามองเขา ตาเขาขุ่นเหมือนคนที่เห็นอะไรมานาน“พวกเจ้าไม่ควรมีชีวิตรอดออกมา”“และหากเมืองมันปล่อยพวกเจ้ามา... แปลว่า มันเลือกแล้วว่าใครจะนำบางสิ่งติดมาด้วย”อีธานขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไร?”นักบวชไม่ตอบ แต่เขายื่นเศษผ้าผืนหนึ่งมาให้“ถ้าเธอเริ่มมีแผล... อย่าให้เลือดของเธอตกบนพื้นหินเมืองนี้เด็ดขาด”เช้ามืดวันถัดมา ฟ้าขาวหม่น เหมือนไม่ได้ผ่านคืนที่แท้จริงนีร่าไม่ได้นอน เธอนั่งอยู่บนระเบียงหินสูง มองออกไปที่ทะเลเบื้องล่างนิ้วมือซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ ผิวเริ่มลอกออกเป็นลายริ้วบางแผ่นเนื้อบาง ๆ คล้ายเกล็ด ค่อย ๆ ปรากฏบนข้อนิ้วทีละชั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว”อีธานนีร่าไม่หันไปมอง “ข้าเองก็เคยคิดแบบนั้น”อีธานเดินมานั่งข้างเธอเงียบ ๆ ลมทะเลปะทะใบหน้าเขาเหลือบมองเธอ ก่อนถามตรง“เมื่อคืน... เจ้าชายพูดอะไรกับเจ้า?”นีร่ายังคงมองทะเล “เขาบอกว่า ข้ากำลังเปลี่ยน”อีธานนิ่งไปชั่วอึดใจ“เปลี่ยนเป็นอะไ
ทะเลยามรุ่งอรุณนั้นเงียบอย่างผิดปกติเสียงคลื่นซัดฝั่งแผ่วลงจนเหมือนโลกหยุดหายใจ — และเมืองดาร์กวาเรนที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บัดนี้เงียบงันดั่งสุสานอีธานยืนอยู่กลางลาน ข้างนีร่า ไอล่า และมาริเบลพวกเขายืนเงียบเหมือนนักโทษที่เพิ่งรู้ว่า "กำแพงรอบตัวไม่ใช่กำแพง" — แต่คือเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นนีร่าหลุบตามองผิวแตกร้าวบนแขนตนเองที่เริ่มแตกกระจายเป็นลวดลายแห้งกรังอีกครั้งน้ำทะเลเมื่อคืนหล่อเลี้ยงเธอได้เพียงครู่... ตอนนี้ผิวเริ่มร่วงหล่นอีกหนเธอไม่พูดอะไร... เพราะทุกคนรู้แล้วว่าต้องหนีแต่หนีไปไหน?จนกระทั่ง...“เรือ!”เสียงของไอล่าเบา แต่เฉียบคมเหมือนใบมีดทุกคนหันขวับไปที่ขอบผาเบื้องหน้า — ที่นั่นฝ่าหมอกยามเช้าบางเบา มีเรือขนาดกลางลำหนึ่งแล่นตรงมาอย่างเชื่องช้าธงบนหัวเสากระพือในลม — เป็นสัญลักษณ์ที่อีธานจำได้… นั่นเรือของมนุษย์” เขาพึมพำทันทีที่เรือเข้าเทียบท่า...กลุ่มชายชุดเกราะสีเข้มกระโดดลงมาพร้อมอาวุธครบมือท่าทางเคร่งขรึม แต่ไม่ใช่เพื่อสู้รบ — แต่เพื่อภารกิจที่เงียบงันยิ่งกว่าหัวหน้ากลุ่มนั้นมีผ้าคลุมสีดำขลิบทองผิวเข้มจากแดดดินแดนไกล และดวงตาสีเทานิ่ง
นีร่าไม่เคยกลัวแสงแดดแต่ยามเช้าของวันที่สามบนแผ่นดินเธอเริ่มหลีกเลี่ยงมัน… อย่างไม่รู้ตัวผิวของเธอเคยเนียนชื้น ดั่งเนื้อปลาในละอองเกลือแต่ตอนนี้ แห้งตึงแห้งจนเมื่อเธอขยับนิ้วแขน เหมือนมีบางอย่าง ลั่นอยู่ใต้ผิวหนังเธอเอามือแตะต้นแขนและพบว่าผิวเริ่มแตกลายบางจุดเส้นรอยแตกเล็ก ๆ ที่เหมือนลายแห้งบนดินร้าง...บางจุดหลุดออกเป็น เศษสะเก็ดบาง ๆ ราวกับเกล็ดปลาที่แห้งกรังเมื่อเธอเกา เศษผิวซีดขาวร่วงลงกับพื้นทรายและจากใต้รอยนั้น... มี เบทะ ของเหลวใสอมเงินที่คล้ายเลือดของเงือกซึมออกมาเงียบ ๆ เหมือนหยดน้ำจากหินในถ้ำเธอหอบเบา ๆหน้าอกกระเพื่อม ผิวตรงซี่โครงขึ้นเงา — ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นการตอบสนองสุดท้ายของผิวที่ “เคยอยู่ใต้น้ำ”ความเงียบที่ไม่สามารถพูดเธอไม่บอกอีธานเพราะในแววตาของเขามีความสุขและเธอไม่อยากให้เขารู้ว่า ร่างของเธอ กำลังค่อย ๆ แหลกสลายจากภายในเมื่อเขายื่นถ้วยน้ำจืดมาให้ เธอรับไว้แต่ไม่ใช่เพื่อดื่ม เธอรินลงมือ แล้วลูบเข้ากับแขนชะโลมเบา ๆ ให้ผิวไม่ขาดน้ำเปล่าเย็นเฉียบไหลลงมาตามข้อศอกและเธอ... หลับตาในชั่ววินาทีนั้น เหมือนได้หายใจใต้น้ำอีกครั้งหนึ่งคืนที่เธอร้องไห้เงี
เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเรือเก่า ส่งเสียงผสานกับเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้ากระดานเรือเป็นระยะ มันไม่ใช่เรือที่มั่นคงนัก แต่พอพาให้พวกเขาหลุดจากผืนแผ่นดินที่แทบพรากชีวิตไปแล้วอีธานกับแบร์กตันช่วยกันกางใบเรือซึ่งผ่านการปะซ่อมอย่างเร่งรีบ เชือกมัดเสาบางจุดแทบจะหลุดออกจากกัน ขณะที่มาริเบลกับนีร่าแยกผลไม้ป่าที่เก็บมาใส่ภาชนะ บางอย่างเริ่มเน่าแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าความว่างเปล่า“เรามีเวลาไม่มากก่อนน้ำจะหมด” อีธานกล่าวเรียบ ๆ พลางตรวจถังไม้ที่ใช้รองน้ำค้างจากใบไม้แบร์กตันยืนนิ่ง มองเกาะที่ค่อย ๆ จางหายไปในสายหมอก — ไม่พูดอะไรเลย---วันที่สองกลางทะเลแสงแดดแรงจัด พื้นเรือร้อนจนแผ่นไม้แตกร้าวในบางจุดลูกเรือพยายามใช้ผ้าชุบน้ำพันศีรษะ ลดอาการเพลียแดด อีธานวัดระดับน้ำจืดในถัง แล้วแจกแจง“เหลือพอให้กินได้วันละสองอึก... ถ้าไม่มีฝน เราต้องเริ่มจับน้ำทะเลกลั่นเอง”นีร่าเงยหน้ามองฟ้า “ไม่มีเมฆ... ไม่มีลม... ไม่มีนก...”เหมือนทุกอย่างรอบตัวกลืนหาย — พวกเขาอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า---วันที่ห้าเข็มทิศหมุนช้า ๆ… แล้วหยุด… ก่อนจะหมุนกลับอีกทางอีธานเคาะมันกับขอบเรือ “มันเสียแน่ ๆ”“หรือเรือมันวนเป็นวงกลม”