เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า
"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน" อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไป ลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล "หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้น มันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสด ไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?" อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว...ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความกังวลที่กรีดลึก “ข้าว่านางอาจได้รับบาดเจ็บ” เขาพึมพำกับตัวเอง ราวกับจะกลั้นเสียงหัวใจไม่ให้เต้นแรงกว่านี้ มือเขากำแน่น ก่อนจะตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในป่า เส้นทางข้างหน้ามีรอยเลอะเป็นทาง...บางหยดห่างกันพอสมควร แสดงว่าเจ้าของเลือดยังมีแรงเดินต่อ “เป็นนีร่าแน่ ๆ” ไอล่ากระซิบ อีธานพยักหน้า แม้ใจหนึ่งเขาจะไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่เขาเคยโอบกอด จะต้องเดินลำพังท่ามกลางป่าเงียบสงัดเช่นนี้ ท่ามกลางอันตรายที่เขาควบคุมไม่ได้ ยิ่งเดินลึก เสียงนกเงียบลง อากาศเย็นลงอย่างน่าประหลาด ก่อนหน้าไม่ไกล พุ่มไม้เคลื่อนไหวบางเบา... เขายกมือให้ทั้งสองหยุด “ได้ยินไหม” เสียงกิ่งไม้หักดังเบา ๆ ราวมีบางอย่าง—หรือบางคน—เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า หัวใจอีธานเต้นถี่ เขาก้าวช้า ๆ ไปยังพุ่มไม้นั้น มือจับดาบที่เหน็บข้างเอวไว้แน่น... ฝีเท้าของอีธานหยุดชะงัก เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าบางอย่างแตะจมูก ไม่ใช่กลิ่นของสัตว์ที่ตายตามธรรมชาติ แต่มันคือกลิ่นเนื้อเน่าผสมกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในอากาศรอบตัว ไอล่าทำท่าจะอาเจียน "พระเจ้า...กลิ่นบ้าอะไรเนี่ย" อีธานชักดาบออกมา เสียงโลหะขูดกับปลอกดังแผ่วในความเงียบ "ตามมาให้เงียบที่สุด" พวกเขาเดินอ้อมพุ่มไม้ไปอีกเพียงไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนชะงัก ในลานหินกว้างกลางป่า มีเสาไม้ท่อนใหญ่ปักเรียงเป็นวงกลม ตรงกลางคือซากศพถูกห้อยหัวลงจากไม้ เสียงแมลงวันบินวนรอบ ๆ ไม่อาจกลบเสียงลมหายใจของทั้งสามที่เริ่มหนักขึ้น "บ้าเอ๊ย..." รัฟเฟอร์พึมพำ พร้อมถอยกรูดโดยไม่รู้ตัว ไอล่าเบือนหน้าหนี มือกำหน้าอกตัวเองแน่นราวกับหัวใจจะหลุดออกมา "ดูนั่น" อีธานชี้ไปยังแท่นหิน ที่มีสัญลักษณ์ประหลาดถูกวาดด้วยเลือดสด ผสมกับถ่านและเศษอวัยวะแห้งๆ ที่ดูเหมือนถูกเซ่นไหว้ "มีคนอยู่ที่นี่..." ไอล่าเสียงสั่น อีธานกำดาบแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบเหลือบมองรอบตัว เสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบเบา ๆ จากทางทิศตะวันตก... ไม่ใช่เสียงของสัตว์ ไม่ใช่ของพวกเขา ทันใดนั้น ร่างหนึ่งโผล่จากเงาไม้ — ผิวหนังของมันซีดคล้ำแตกระแหงเหมือนแห้งกรังจากแสงแดดหลายสิบปี ดวงตาแดงก่ำไร้สติ ร่างกายผ่ายผอมแต่เต็มไปด้วยรอยแผล ราวกับมันไม่เคยตาย ไม่เคยพัก แล้วอีกสองร่างก็ตามออกมา จากนั้นอีกห้า...สิบ... พวกมันค่อย ๆ ล้อมวงเข้ามา ช้า...แต่มั่นคง ราวกับฝูงสัตว์ที่หิวโหยไม่รู้จบ "พวกมัน...ไม่ใช่คน.." รัฟเฟอร์เสียงแหบ ไอล่ากระซิบเสียงสั่น "เผ่ากินคน...ฉันเคยได้ยินเรื่องเล่าในหมู่กะลาสี—คนพวกนี้ถูกสาปจากบาปในอดีต...กินเนื้อคนเป็นอาหาร...ไม่ยอมตายแม้หมดวิญญาณ" อีธานสบถในลำคอ "ถ้าเรื่องเล่านั้นจริง เราไม่มีทางคุยกับพวกมันได้แน่" หนึ่งในพวกนั้นคำรามเสียงต่ำ แล้วพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วเกินคาด! อีธานสะบัดดาบฟันฉับ — เลือดสีดำทะมึนกระเซ็น แต่ร่างนั้นยังไม่ล้ม มันเพียงชะงัก แล้วพุ่งกลับมาอีกครั้งราวกับไม่รู้จักคำว่าเจ็บ "วิ่ง!" เขาตะโกน ทั้งสามพุ่งทะยานเข้าไปในป่าราวพายุ เสียงกรีดร้องไล่หลัง เสียงฝีเท้าหนักลากลากบนพื้นดิน พวกมันไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่หยุดหายใจ "เราต้องหาที่สูง!" ไอล่าตะโกนกลับมา "หรือถ้ำ!" อีธานตอบพลางวิ่งฝ่าพุ่มไม้หนา เขาไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร — แต่เขารู้แค่ว่าเขาต้องรอด...เพื่อนำเรื่องนี้ไปเตือนนีร่า และปกป้องเธอกับน้องสาวจากนรกที่แฝงในเกาะสวรรค์แห่งนี้ เสียงฝีเท้ารัวเร่ง เสียงลมหอบหายใจกลบเสียงธรรมชาติไปสิ้น อีธานวิ่งนำอยู่ข้างหน้า ไอล่ากับรัฟเฟอร์วิ่งตามหลังมาติด ๆ ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาราวม่านกำมะหยี่หนาทึบ กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเหงื่อและความกลัวผสมปะปนกันจนเขารู้สึกคล้ายจะอาเจียนออกมา “ทางนี้!” เขาตะโกน เมื่อเห็นโพรงแคบที่ดูเหมือนจะลอดเข้าไปได้ แต่แล้ว—เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “ไอล่า!” อีธานชะงักเท้า หมุนกลับไปทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่า... ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น—แม้แต่เสียงฝีเท้าหรือลมหายใจ ไม่มีเงาของลูกเรือไม่มีเสียงครวญของไอล่า มีเพียงพุ่มไม้ที่สั่นไหวเล็กน้อย และลมหอบแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ “...ไม่...” อีธานกัดฟัน ดาบในมือแน่นขึ้นจนเส้นเลือดปูดบนหลังมือ “ไอล่า!! รัฟเฟอร์!!” เขาตะโกนลั่น — แต่ป่าตอบกลับเพียงเสียงสะท้อนเงียบงัน และเสียงฝีเท้าเบาบางที่ไม่แน่ใจว่าเป็นของใครหรือของอะไร เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่พุ่มไม้ที่เคยผ่านมา กลับเปลี่ยนไป เหมือนถูกบิดเบือน ราวกับตัวป่ามีชีวิตและเล่นตลกกับเขา "นี่มันบ้าอะไรกัน..." เขากระซิบกับตัวเอง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู แล้วจู่ ๆ เสียงกระซิบก็ดังขึ้นเบา ๆ จากทุกทิศ > “ผู้มาเยือน...ผู้ล่วงล้ำ...เลือดเจ้า...จักเซ่นเรา...” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเดียว แต่เป็นหลายเสียง หลายเพศ หลายวัย แทรกซ้อนกันเหมือนคลื่นเสียงที่ปะทะสมอง อีธานทรุดลงคุกเข่า มือทั้งสองปิดหูไว้แน่น แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกลบยังไง “หยุด...หยุด!!” เขาตะโกนสุดเสียง ทันใดนั้น ความเงียบก็กลับมา...ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น...เขาไม่ได้อยู่ในจุดเดิมแล้ว รอบตัวเขาคือสุสานโบราณกลางป่า ต้นไม้แห้งกรอบล้อมรอบ แท่นหินที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์เลือดและกระดูก นับสิบ นับร้อย วางเรียงคล้ายบทสวดของความตาย ท่ามกลางทั้งหมดนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวช้า ๆ...ใต้เงาไม้...ใต้ดิน หรือ...ใต้ผิวโลกที่แตกร้าว? และภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ มีเศษผ้าขาดรุ่งริ่งติดอยู่—ผ้าของชุดไอล่าแน่นอน อีธานกัดฟัน น้ำตาไม่ได้ไหลออกมา แต่ความเจ็บแสบแผ่ไปทั่วอก เขายืดหลังขึ้น ค่อย ๆ หมุนตัวอย่างระมัดระวัง เพราะตอนนี้...เขารู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว และเงามืดรอบตัว...ไม่ใช่แค่ต้นไม้อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส