เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า
"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน" อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไป ลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล "หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้น มันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสด ไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?" อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว...ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความกังวลที่กรีดลึก “ข้าว่านางอาจได้รับบาดเจ็บ” เขาพึมพำกับตัวเอง ราวกับจะกลั้นเสียงหัวใจไม่ให้เต้นแรงกว่านี้ มือเขากำแน่น ก่อนจะตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในป่า เส้นทางข้างหน้ามีรอยเลอะเป็นทาง...บางหยดห่างกันพอสมควร แสดงว่าเจ้าของเลือดยังมีแรงเดินต่อ “เป็นนีร่าแน่ ๆ” ไอล่ากระซิบ อีธานพยักหน้า แม้ใจหนึ่งเขาจะไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่เขาเคยโอบกอด จะต้องเดินลำพังท่ามกลางป่าเงียบสงัดเช่นนี้ ท่ามกลางอันตรายที่เขาควบคุมไม่ได้ ยิ่งเดินลึก เสียงนกเงียบลง อากาศเย็นลงอย่างน่าประหลาด ก่อนหน้าไม่ไกล พุ่มไม้เคลื่อนไหวบางเบา... เขายกมือให้ทั้งสองหยุด “ได้ยินไหม” เสียงกิ่งไม้หักดังเบา ๆ ราวมีบางอย่าง—หรือบางคน—เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า หัวใจอีธานเต้นถี่ เขาก้าวช้า ๆ ไปยังพุ่มไม้นั้น มือจับดาบที่เหน็บข้างเอวไว้แน่น... ฝีเท้าของอีธานหยุดชะงัก เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าบางอย่างแตะจมูก ไม่ใช่กลิ่นของสัตว์ที่ตายตามธรรมชาติ แต่มันคือกลิ่นเนื้อเน่าผสมกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในอากาศรอบตัว ไอล่าทำท่าจะอาเจียน "พระเจ้า...กลิ่นบ้าอะไรเนี่ย" อีธานชักดาบออกมา เสียงโลหะขูดกับปลอกดังแผ่วในความเงียบ "ตามมาให้เงียบที่สุด" พวกเขาเดินอ้อมพุ่มไม้ไปอีกเพียงไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนชะงัก ในลานหินกว้างกลางป่า มีเสาไม้ท่อนใหญ่ปักเรียงเป็นวงกลม ตรงกลางคือซากศพถูกห้อยหัวลงจากไม้ เสียงแมลงวันบินวนรอบ ๆ ไม่อาจกลบเสียงลมหายใจของทั้งสามที่เริ่มหนักขึ้น "บ้าเอ๊ย..." รัฟเฟอร์พึมพำ พร้อมถอยกรูดโดยไม่รู้ตัว ไอล่าเบือนหน้าหนี มือกำหน้าอกตัวเองแน่นราวกับหัวใจจะหลุดออกมา "ดูนั่น" อีธานชี้ไปยังแท่นหิน ที่มีสัญลักษณ์ประหลาดถูกวาดด้วยเลือดสด ผสมกับถ่านและเศษอวัยวะแห้งๆ ที่ดูเหมือนถูกเซ่นไหว้ "มีคนอยู่ที่นี่..." ไอล่าเสียงสั่น อีธานกำดาบแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบเหลือบมองรอบตัว เสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบเบา ๆ จากทางทิศตะวันตก... ไม่ใช่เสียงของสัตว์ ไม่ใช่ของพวกเขา ทันใดนั้น ร่างหนึ่งโผล่จากเงาไม้ — ผิวหนังของมันซีดคล้ำแตกระแหงเหมือนแห้งกรังจากแสงแดดหลายสิบปี ดวงตาแดงก่ำไร้สติ ร่างกายผ่ายผอมแต่เต็มไปด้วยรอยแผล ราวกับมันไม่เคยตาย ไม่เคยพัก แล้วอีกสองร่างก็ตามออกมา จากนั้นอีกห้า...สิบ... พวกมันค่อย ๆ ล้อมวงเข้ามา ช้า...แต่มั่นคง ราวกับฝูงสัตว์ที่หิวโหยไม่รู้จบ "พวกมัน...ไม่ใช่คน.." รัฟเฟอร์เสียงแหบ ไอล่ากระซิบเสียงสั่น "เผ่ากินคน...ฉันเคยได้ยินเรื่องเล่าในหมู่กะลาสี—คนพวกนี้ถูกสาปจากบาปในอดีต...กินเนื้อคนเป็นอาหาร...ไม่ยอมตายแม้หมดวิญญาณ" อีธานสบถในลำคอ "ถ้าเรื่องเล่านั้นจริง เราไม่มีทางคุยกับพวกมันได้แน่" หนึ่งในพวกนั้นคำรามเสียงต่ำ แล้วพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วเกินคาด! อีธานสะบัดดาบฟันฉับ — เลือดสีดำทะมึนกระเซ็น แต่ร่างนั้นยังไม่ล้ม มันเพียงชะงัก แล้วพุ่งกลับมาอีกครั้งราวกับไม่รู้จักคำว่าเจ็บ "วิ่ง!" เขาตะโกน ทั้งสามพุ่งทะยานเข้าไปในป่าราวพายุ เสียงกรีดร้องไล่หลัง เสียงฝีเท้าหนักลากลากบนพื้นดิน พวกมันไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่หยุดหายใจ "เราต้องหาที่สูง!" ไอล่าตะโกนกลับมา "หรือถ้ำ!" อีธานตอบพลางวิ่งฝ่าพุ่มไม้หนา เขาไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร — แต่เขารู้แค่ว่าเขาต้องรอด...เพื่อนำเรื่องนี้ไปเตือนนีร่า และปกป้องเธอกับน้องสาวจากนรกที่แฝงในเกาะสวรรค์แห่งนี้ เสียงฝีเท้ารัวเร่ง เสียงลมหอบหายใจกลบเสียงธรรมชาติไปสิ้น อีธานวิ่งนำอยู่ข้างหน้า ไอล่ากับรัฟเฟอร์วิ่งตามหลังมาติด ๆ ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาราวม่านกำมะหยี่หนาทึบ กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเหงื่อและความกลัวผสมปะปนกันจนเขารู้สึกคล้ายจะอาเจียนออกมา “ทางนี้!” เขาตะโกน เมื่อเห็นโพรงแคบที่ดูเหมือนจะลอดเข้าไปได้ แต่แล้ว—เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “ไอล่า!” อีธานชะงักเท้า หมุนกลับไปทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่า... ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น—แม้แต่เสียงฝีเท้าหรือลมหายใจ ไม่มีเงาของลูกเรือไม่มีเสียงครวญของไอล่า มีเพียงพุ่มไม้ที่สั่นไหวเล็กน้อย และลมหอบแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ “...ไม่...” อีธานกัดฟัน ดาบในมือแน่นขึ้นจนเส้นเลือดปูดบนหลังมือ “ไอล่า!! รัฟเฟอร์!!” เขาตะโกนลั่น — แต่ป่าตอบกลับเพียงเสียงสะท้อนเงียบงัน และเสียงฝีเท้าเบาบางที่ไม่แน่ใจว่าเป็นของใครหรือของอะไร เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่พุ่มไม้ที่เคยผ่านมา กลับเปลี่ยนไป เหมือนถูกบิดเบือน ราวกับตัวป่ามีชีวิตและเล่นตลกกับเขา "นี่มันบ้าอะไรกัน..." เขากระซิบกับตัวเอง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู แล้วจู่ ๆ เสียงกระซิบก็ดังขึ้นเบา ๆ จากทุกทิศ > “ผู้มาเยือน...ผู้ล่วงล้ำ...เลือดเจ้า...จักเซ่นเรา...” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเดียว แต่เป็นหลายเสียง หลายเพศ หลายวัย แทรกซ้อนกันเหมือนคลื่นเสียงที่ปะทะสมอง อีธานทรุดลงคุกเข่า มือทั้งสองปิดหูไว้แน่น แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกลบยังไง “หยุด...หยุด!!” เขาตะโกนสุดเสียง ทันใดนั้น ความเงียบก็กลับมา...ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น...เขาไม่ได้อยู่ในจุดเดิมแล้ว รอบตัวเขาคือสุสานโบราณกลางป่า ต้นไม้แห้งกรอบล้อมรอบ แท่นหินที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์เลือดและกระดูก นับสิบ นับร้อย วางเรียงคล้ายบทสวดของความตาย ท่ามกลางทั้งหมดนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวช้า ๆ...ใต้เงาไม้...ใต้ดิน หรือ...ใต้ผิวโลกที่แตกร้าว? และภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ มีเศษผ้าขาดรุ่งริ่งติดอยู่—ผ้าของชุดไอล่าแน่นอน อีธานกัดฟัน น้ำตาไม่ได้ไหลออกมา แต่ความเจ็บแสบแผ่ไปทั่วอก เขายืดหลังขึ้น ค่อย ๆ หมุนตัวอย่างระมัดระวัง เพราะตอนนี้...เขารู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว และเงามืดรอบตัว...ไม่ใช่แค่ต้นไม้เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร