จากวันกลายเป็นเดือน จากเดือนกลายเป็นปี
นีร่าเริ่มชินกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นท้ายหมู่บ้าน เริ่มชินกับกลิ่นแดดแรง ๆ ที่แผดลงบนผ้าปูที่ตากไว้หลังบ้าน เริ่มชินกับการถูกแม่บาร์บราชวนไปช่วยจัดปลาทู และถูกยายมัลด้าบ่นเวลาเดินทำเทียนน้ำมันหก นางเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทีละนิด ขูดมะพร้าว หาบน้ำ ผ่าฟืน และแน่นอน...นางหั่นผักได้เท่ากันหมดแล้วในตอนนี้ (แม้อีธานจะแอบแก้ให้บ้างเวลานางเผลอก็ตาม) ชีวิตที่เรียบง่ายนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะยามที่ข้ากับอีธานได้นั่งฟังเสียงคลื่นเบา ๆ ริมระเบียง มือของเขาอุ่นเสมอ เวลาวางลงบนมือนาง และหัวใจของก็เต้นแปลก ๆ เสมอ เวลาที่เขามองตานางแล้วเงียบไป แต่ท้องทะเล…ไม่มีวันสงบนานนัก เย็นวันหนึ่ง ฟ้าเปลี่ยนสีเร็วกว่าทุกวัน ลมแรงพัดฝุ่นคลุ้ง เด็ก ๆ หายตัวจากลานเล่น เหลือเพียงเสียงแม่ค้าลากผ้าคลุมแผงกันลม จากขอบฟ้า เรือใบสีดำลำหนึ่งโผล่ขึ้น "เรือธงดำ! โจรสลัดมา!!" เสียงตาเฟร็ดหัวแหลมร้องลั่น ทุกคนวิ่งวุ่น ซ่อนของ ซ่อนตัว แต่ไม่ทัน...โจรสลัดกว่า 10 คนกระโดดขึ้นฝั่ง พวกมันลากของ ขูดทอง จับคนตะโกนใส่กันระงม อีธานคว้าดาบสนิมๆ ข้างฝาไว้ “เจ้าหนีไปนีร่า!” “ไม่! ข้า—” “ไป!!!” เขาพุ่งเข้าใส่ชายตัวโตที่ดูเป็นหัวหน้า แต่เพียงไม่นาน ดาบของศัตรูก็ฟาดลงกลางแผ่นหลังของเขาอย่างแรง เลือดพุ่งกระเซ็น “อีธาน!!!” นีร่ากรีดร้องสุดเสียง ร่างเขาล้มลง ขยับไม่ได้อีก นางวิ่งไปหา แต่โดนกระชากหัวกลับ มือของโจรสลัดตะครุบเธอไว้ พร้อมหัวเราะเสียงต่ำ “หญิงสาวแบบเจ้านี่ ข้าจะเอาไปขายดีมั้ยน้า…” นางร้องไห้ หันไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งของอีธาน หัวใจเหมือนจะฉีกขาด “อย่าตายนะ...ข้า ขอร้อง...อีธาน...” ภาพสุดท้ายที่นางเห็น คือแม่บาร์บรา วิ่งฝ่าฝูงคนเข้ามากับช่างไม้บีลาร์ และลุงโทบี้ พวกเขาช่วยกันไล่พวกโจรออกไป และลากตัวอีธานเข้าไปในบ้านแม่เฒ่ามาร์ธา ก่อนที่โจรสลัดจะพานางขึ้นเรือลอยหายออกทะเลไป… นางถูกจับโยนใส่ห้องเก่า ๆ ใต้ท้องเรือ แสงไฟสลัวลอดผ่านช่องไม้ผุ น้ำหยดติ๋ง ๆ จากเพดาน นางกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น แม้เพียงเสื้อผ้าธรรมดาที่ใส่ติดตัวมา ก็ยังรู้สึกเย็นเฉียบจนแทบสั่น หัวใจนางเหมือนจะหยุดเต้น เมื่อนึกถึงร่างของอีธานที่นอนแน่นิ่งในกองเลือด “เจ้า...อย่าเป็นอะไรเลยนะ...” นางพึมพำเบา ๆ เสียงแหบพร่า เจ้าน้ำตาไหลอาบแก้ม ขณะนางซุกหน้ากับเข่าตนเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูไม้ถูกเปิดออก พร้อมเงาใหญ่ของชายคนหนึ่ง “เจ้าชื่ออะไร” เขาถามเสียงเข้ม “...ข้าไม่จำเป็นต้องบอกกับโจรอย่างท่าน” นางเชิดหน้าตอบ แม้จะกลัวจนแทบขาสั่น เขาหัวเราะ “มีน้ำอดน้ำทนดีนัก ข้าชอบ...ไว้ขายให้พ่อค้ามหาเศรษฐีในเมืองคอร์เซียร์ก็ยังได้กำไร” เขาเดินจากไป ทิ้งให้นางนั่งท่ามกลางความชื้นและกลิ่นเค็มของน้ำทะเล คืนต่อมา ขณะเรือโคลงเคลงจากพายุฝน น้ำทะเลสาดเข้ามาทางช่องไม้ แฉะลงพื้นห้องขังของนางอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “ไม่...อย่า...” นางถอยหนีไปจนชิดมุม แต่ก็สายเกินไป หยดน้ำแรกสัมผัสปลายนิ้ว ผิวของนางเริ่มเรืองแสงสีมุกบาง ๆ เส้นผมพลิ้วสยาย กลายเป็นประกายสีทองอร่ามดุจเส้นไหมเปียกฝน ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นไหว ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นหางเงือกสีทองสว่างวาบ! แปร๊บ! เสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เมื่อหางนางฟาดลงบนพื้นเปียก ราวกับกระจกเงาที่แตกกระจาย เกล็ดบางแวววาวกระพริบแสงเป็นประกายใต้น้ำ นางหายใจหอบ ตัวสั่นเทิ้ม และเมื่อหันไปมองประตูไม้...นางก็พบว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพอดี! เป็นหนึ่งในโจรสลัด...และเขาเห็นทั้งหมด! “เจ้าคือ...เงือก?” เขากระซิบเบา ๆ ด้วยแววตาตกตะลึง นางนิ่ง สายตาแข็งกร้าว “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเล่า? จะลากข้าไปประมูลในตลาดรึ? หรือจะเอาเกล็ดของข้าไปต้มเป็นยา?” เขากลืนน้ำลาย ไม่พูดอะไร เพียงแค่ค่อย ๆ ถอยหลังออกไป…และปิดประตูลงอย่างช้า ๆ แต่สายตาคู่นั้นยังคงฝังอยู่ในหัวใจนาง เสียงตะโกนจากชายบนเรือดังขึ้นท่ามกลางหมอกควันหลังศึกปล้นหมู่บ้าน > “ข้าสาบานต่อชื่อแม่ข้า! นางเป็นเงือกจริง ๆ!” ชายหนุ่มชื่อ รัฟเฟอร์ ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตื่นขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ บอกเล่าแก่ กัปตันแบร็กซ์ตัน โจรสลัดเฒ่าที่ตาเป็นมันไม่ต่างจากงู > “เจ้าแน่ใจหรือไม่?” กัปตันหรี่ตา เสียงต่ำดังลอดไรฟันเหลือง > “ข้าเห็นกับตา! พอร่างนางเปียก...หางสีทองมันโผล่จากผ้าแถบที่พันไว้ นางกรีดร้องด้วย!” กัปตันหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ก่อนชักดาบเล่มเขื่องมาเกี่ยวสายรัดคอเสื้อรัฟเฟอร์ > “เช่นนั้น อย่าปล่อยให้หลุดมือ...นำข้าไปดูนางเดี๋ยวนี้!” --- ในห้องเก็บของใต้ท้องเรือที่ชื้นเย็น นีร่านั่งแน่นิ่งในมุมมืด เสื้อผ้าที่เคยแห้งตอนนี้เปียกโชกเพราะลมฝนสาดเข้าเรือ ร่างบางสั่นเทา หางเงือกสีทองอร่ามเผยชัดออกมาจากชายผ้าที่หลุดร่นลงขา เมื่อกัปตันแบร็กซ์ตันเดินมาถึง เขาเบิกตาโต มองนางจากศีรษะจรดปลายหาง > “โอ้ว...เจ้าเป็นของจริง…” เขาเดินวนรอบตัวนางราวกับนางเป็นสมบัติ ลูบเคราอย่างใช้ความคิด > “ข้าจะรวย! ละครสัตว์เมืองหลวงย่อมยอมจ่ายมหาศาลเพื่อครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาแบบเจ้า!” > “ท่านไม่มีสิทธิ์...” นีร่าเอ่ยเสียงแข็ง > “เจ้าถูกจับ! อยู่บนเรือข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น!” หลังจากที่โจรสลัดจับนางขึ้นมาจากทะเล เรือก็แล่นสู่เมืองท่าขนาดใหญ่ชื่อ คอร์เซียร์ เมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการค้าทุกสิ่ง แม้กระทั่ง "ชีวิต" ของสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด เมื่อถึงท่าเรือ บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวปลาและเหล้าราคาถูก ตะโกนโหวกเหวกของพ่อค้า แรงงาน และนักเลงท่าเรือทำเอานีร่าต้องก้มหน้าซ่อนตาไว้ใต้ผ้าเก่า ๆ ที่โจรสลัดคลุมให้ก่อนจะโยนตัวนางลงกรงบนเกวียน > “อย่าคิดหนีล่ะ เจ้านางปลา” หนึ่งในลูกเรือแสยะยิ้มเหี้ยม --- ค่ายละครสัตว์กลางเมือง นีร่าถูกส่งเข้าไปยังเขตโรงละครสัตว์ กลิ่นของม้าเปียก เหงื่อคน และเสียงแส้ดังฉับ ๆ ทำให้นางหายใจไม่ทั่วท้อง > “แปะป้ายไว้! ครึ่งมนุษย์ครึ่งเงือก! แสดงสัปดาห์หน้า!” > “ข้าไม่ใช่ของเจ้า...” นีร่าเอ่ยเสียงแผ่ว > “ที่นี่ ไม่มีใครมีสิทธิ์เลือก!” คืนแรกในกรงเหล็ก ท่ามกลางเสียงเห่าหอนและกลิ่นชื้น ชายอ้วนคนงานประจำโรงละครสัตว์โยนถาดไม้ใส่ขนมปังแข็ง ๆ ลงตรงหน้า เสียงเหล็กกระทบกันดังกริ๊ก ทว่าเขากลับหันหลังกลับไปทันทีโดยไม่ได้สังเกต... เขาลืมล็อกกรง! นีร่าชะงักไปชั่วครู่ หัวใจเต้นระรัวด้วยความไม่แน่ใจ นางเหลือบมองซ้ายขวา แล้วค่อย ๆ ขยับมือผลักบานกรงเบา ๆ แกร๊ก... เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพียงพอให้นางรู้ว่า...ข้า...มีโอกาสแล้ว! --- กลางเมืองคาร์เซียร์ นางไม่รู้ว่าเดินไปทางไหน ใจเต้นระรัว ท้องร้องจ๊อก ๆ ทุกคราวที่ได้กลิ่นขนมปังหรือปลาย่าง > "ข้าจะไม่ตาย...ที่นี่" นีร่ากระซิบกับตัวเอง ก่อนจะหยิบเศษปลาสลิดจากกองขยะยัดใส่ปาก มือสั่นเทา นางซ่อนตัวในตรอกแคบ ซ่อนหางใต้ผ้าขาด ๆ หลบพวกนักล่าที่ออกตามหา กระทั่งนางเดินผ่านสภานที่เเห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเรือนรื่นรมย์ เสียงหัวเราะคุ้นหูดังแว่วออกมาจากข้างใน > “ข้าสิ! ข้าน่ะ! เคยได้กับเจ้าหญิงทะเลนะเว้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” นีร่าหยุดฝีเท้า หันขวับทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้าง > “เรน...?” ภายในนั้น แสงไฟสลัวปรากฏภาพชายหนุ่มผมยาวรุงรัง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน มือกอดหญิงสาวสองนางไว้ข้างกาย ขณะที่อีกมือลูบไล้ขวดเหล้า > “เขา...คือ...เรนของข้า...” น้ำตาไหลอาบแก้มทันที นางยืนค้างอยู่ตรงนั้น...หัวใจแตกละเอียด ชายผู้ที่นางตามหามาทั้งชีวิต ผู้เคยบอกจะกลับมารับนางขึ้นฝั่ง บัดนี้กลับกลายเป็นคนแปลกหน้า หลงอยู่ในกลิ่นกายหญิงอื่นและเหล้าเน่าราคาถูก > “ข้าคิดถึงเจ้า...แต่นี่หรือคือคำตอบ?” นีร่าค่อย ๆ ถอยหลังออกจากที่นั่น มือยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านในเมืองบาป นางกลับรู้สึกว่างเปล่ากว่าเคยอุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส