ค่ำคืนก่อนการหลบหนี
เสียงโซ่ที่เคยตรึงสองหญิงสาวไว้แน่น ถูกไขออกอย่างเงียบงันจากกุญแจที่นีร่าขโมยมาได้ในคืนก่อนหน้า นีร่าและไอล่า หลบเร้นในเงามืด ลัดเลาะผ่านซากลังไม้ใต้โรงเก็บสัตว์ ก่อนเล็ดลอดออกสู่ท่อระบายน้ำที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นและเสียงน้ำไหลเฉอะแฉะ “อีกไม่ไกล...” นีร่ากระซิบ หอบเหนื่อยแต่แววตามุ่งมั่น “หากเราผ่านเขตท่าเรือได้ เราอาจหาทางขึ้นเรือพวกพ่อค้าได้” แต่แล้ว—เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากปลายทางท่อ “หยุดก่อน!” ร่างสูงปรากฏใต้แสงจันทร์ ใบหน้าคมคายสะท้อนประกายจันทร์บนเส้นผมสีทองที่พลิ้วไหว ราวทองคำต้องลม ชายหนุ่มผมทองในชุดหนังสีดำ เดินเข้ามาอย่างสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาเยียบเย็น ดวงตาสีฟ้าลึกดั่งผืนน้ำเวิ้งว้าง “...เรน?” นีร่าตาเบิกกว้าง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขายิ้มบาง ๆ “นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ” เรนยื่นมือออกมาเหมือนจะโอบเธอ แต่หญิงสาวก้าวถอยหลัง “ข้าไม่ไว้ใจเจ้าอีกต่อไปแล้ว ท่านทรยศข้า...” “ข้าไม่เคยตั้งใจทำร้ายเจ้า” เขาพูดเสียงนุ่มแต่แฝงความเย็นชา “ ข้าแค่...เห็นค่าของเจ้ามากกว่าเจ้ารู้เสียอีก” “ข้าไม่ใช่สิ่งของให้ใครครอบครอง!” ใบหน้าหล่อเหลาพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึง สีฟ้าในดวงตาแข็งกร้าวขึ้น “ถ้าเช่นนั้น...เจ้าก็ต้องพิสูจน์มันออกมา” ก่อนที่นีร่าจะเข้าใจความหมาย ร่างของไอล่าถูกชายอีกคนล็อกไว้แน่น “เจ้ารู้หรือไม่ นีร่า...น้ำตาของเจ้ามีค่ามากเพียงใด ข้าสมควรได้มัน” เสียงของเขาเย็นชา มือคว้าข้อมือเธอแน่นราวจะบีบกระดูกให้แหลก “เจ้าอยากให้ข้าทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่ ถึงจะร้องไห้ออกมา?” นีร่าตะโกน “ไอล่า!!” หญิงสาวผิวคล้ำดิ้นรน ก่อนกัดมือของชายที่จับไว้แล้วผลักเขาล้มลง “หนีไป นีร่า!! ไป!!” ไอล่าตะโกนสุดเสียง นีร่าเม้มปากแน่น ก่อนคว้ากระโปรงที่สวมใส่ยาวติดพื้น แล้ววิ่งออกจากท่อ น้ำตาแห่งความแค้นเอ่อขึ้น...แต่เธอกลั้นไว้ เสียงของเรนตะโกนตามหลัง “ข้าจะทำให้เจ้าหลั่งน้ำตาให้ข้าอีก...แม้ต้องแลกด้วยเลือดของข้าเอง!” เช้าวันเดียวกัน – เมืองคอร์เซียร์ เมืองคอร์เซียร์ — ดินแดนแห่งควันไฟ เหล้ารัม และกลิ่นอำมหิตของอำนาจ ทันทีที่เท้าอีธานเหยียบลงบนพื้นไม้ผุๆ ของท่าเรือ เสียงโวยวายจากเหล่ากะลาสีก็โถมใส่ประสาทสัมผัสของเขาเหมือนพายุเรือแตก กลิ่นคาวปลาเคล้ากับกลิ่นน้ำทะเลบูดเฉอะแฉะขึ้นจมูก ตามด้วยกลิ่นรมควันจากโรงกลั่นเหล้ารัมที่ตั้งเรียงรายอยู่ถัดจากท่าจอดเรือ ทุกย่างก้าวของเขาบนแผ่นดินแปลกหน้าถูกจับจ้องจากเหล่าคนแปลกหน้า — ชายฉกรรจ์ไร้ฟันในปาก สตรีผิวคล้ำแต่งตัวฉูดฉาด หรือแม้แต่เด็กชายที่วิ่งเล่นพลางล้วงกระเป๋านักเดินทาง เมืองคอร์เซียร์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมีระเบียบ บ้านแต่ละหลังเป็นเรือนไม้สามชั้นปลูกซ้อนๆ กันอย่างไม่สนแผนผัง ถนนส่วนใหญ่เป็นหินกรวดกับไม้เปียกชื้น บ้างก็พังทะลุเผยให้เห็นท่อน้ำเน่าด้านล่าง ธงโจรสลัดหลากสีแขวนระโยงระยางจากปลายอาคารหนึ่งไปยังอีกฝั่ง บ้างเป็นรูปหัวกะโหลก บ้างเป็นสัญลักษณ์สัตว์ทะเลปีศาจ ตรอกแคบๆ ส่งเสียงกระซิบของการต่อรองที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น อาวุธเถื่อน, น้ำยาหลอนประสาท, หรือแม้แต่ มนุษย์ ที่ถูกซื้อขายเหมือนของใช้ เสียงตะโกนของเจ้าของโรงเหล้าเรียกลูกค้า “รัมหนึ่งเหรียญ! หรือเจ้าจะแลกด้วยลูกปืนก็ได้!” ผู้คนพูดภาษาหลากหลาย มีทั้งภาษาอังกฤษสำเนียงลอนดอนจมูกบี้ เสียงภาษาสเปนแผดแหลม หรือภาษาฝรั่งเศสลื่นไหลเจือเสียงหัวเราะร้ายๆ อีธาน หยุดยืนหน้าตรอกหนึ่ง สายตาจับจ้องไปที่ นักแสดงเร่ สวมหน้ากากสีขาว กำลังพ่นไฟบนเวทีกลางตลาด สร้างความสนใจให้กับฝูงชนล้อมรอบ แต่เบื้องหลังแววตาของพวกเขา — เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง...ความมืด ความเสแสร้ง และความอันตรายที่แฝงอยู่ เขากระชับเสื้อคลุมตัวเอง และพึมพำ > “เจ้าเรียกที่นี่ว่าเมืองหรือ? ข้าว่า...มันคือรังปีศาจ” “ขอโทษนะ ท่านพ่อค้า เจ้าเคยเห็นหญิงสาวผมทอง ผิวซีดเหมือนไข่มุก เดินอยู่กับหญิงสาวอีกคนหรือไม่?” อีธานถามคนแถวนั้น แต่กลับได้เพียงส่ายหน้าหรือสายตาระแวงตอบกลับ เขาเริ่มเดินลึกเข้าตรอก เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง “ท่าน...นั่นใช่คนที่มากับเรือจากทางใต้หรือไม่?” เสียงชายกลางคนในชุดผ้าเนื้อหยาบดักหน้าเขาไว้ และอีกสองคนยืนประชิดจากด้านหลัง สวมเสื้อคลุมหนังลายสิงโตสลักตราโรงละคร อีธานยืนนิ่ง “ท่านมีธุระอะไรกับข้า?” ชายตรงหน้ายิ้มเย็น “ข้ามีธุระกับผู้หญิงที่ท่านพามาด้วย...แต่ดูเหมือนตอนนี้เจ้าจะมาคนเดียว” อีธานกำมือแน่น “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร” “อย่าทำเป็นไม่รู้ พวกเรารับเธอมาด้วยทองคำของเรา และตอนนี้...เธอหนีไป” ชายอีกคนกระชากปกเสื้ออีธาน “แล้วเจ้านี่แหละ...ต้องจ่ายค่าความเสียหาย” “เจ้าไม่มีสิทธิ์!” อีธานผลักมือออก “งั้นข้าคงต้องพาเจ้าไปพูดกับหัวหน้าเรา...หรือเจ้าอยากให้เราพูดกันตรงนี้?” เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นจากด้านในเสื้อคลุมของหนึ่งในพวกนั้น อีธานสบตาพวกเขาทีละคน แววตานิ่งสนิท “หากพวกเจ้าทำร้ายข้า เจ้าจะไม่ได้ทองสักชิ้น...แต่ถ้าปล่อยข้าไป ข้าอาจจะพาเจ้ากลับไปหาเธอได้” ทั้งสามสบตากัน แล้วชายคนกลางก็ผ่อนแรงลง “เจ้ามีเวลาจนสิ้นวัน พาข้าไปหานาง ถ้าไม่...ข้าจะขายไตเจ้าก็แล้วกัน”อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส