"ปีศาจ คำที่ใช้เรียกสิ่งท่าเกลียดน่ากลัว สิ่งที่ดูชั่วร้าย คำๆนี้มีใครหลายคนที่ใช้เรียกแทนผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เย็นชา ดุร้าย และดูน่ากลัว แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันเขากลับไม่เป็นอย่างที่ใครต่อใครเขาเรียกกันอีกต่อไป..." หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเขาก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นและมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่สนว่าฉันยืนอยู่ตรงนั้น แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ฉันจะปลอบใจเขาอย่างไรถึงจะคลายความเจ็บปวดนั้นได้ ความเจ็บปวดที่อัดอั้นมาตลอดหลายปีวันนี้มันถึงเวลาที่ได้ปลดปล่อยออกมาเสียที ฉันนั่งลงตรงหน้าเขาและโอบกอดเขาอย่างแผ่วเบา ฉันใช้มือคู่นี้ของฉันลูบหลังของเขาและบอกกับเขาว่า "ร้องออกมาค่ะ ร้องออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้ข้างๆคุณเองค่ะ" เมื่อฉันพูดจบเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เริ่มหยุดร้องไห้และบอกกับฉันว่า "ขอบใจนะ ขอบใจที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันโทษผู้หญิงคนนั้นมาตลอดว่าทิ้งฉันไปทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ และถึงแม้ว่าการที่ได้รู้ว่าเธอไม่อยู่บนโลกนี้มันจะทำให้ฉันยิ่งเจ็บปวดก็ตาม แต่ฉันก็ดีใจที่ได้รู้เรื่องราวของเธอคนนั้น ขอบใจนะมาริสา" เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "งั้นพรุ่งนี้เราไปหาพี่มีนากันนะคะ ฉันจะพาคุณไปเจอกับพี่มีนาเองค่ะ" เขาไม่ได้ตอบใดๆเพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น ฉันจึงแจ้งคุณเลขาว่าให้จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ให้เที่ยวที่เร็วที่สุด เช้าวันต่อมาเรารีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะรีบไปสนามบินเราใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เมื่อถึงที่เชียงใหม่บรรยากาศที่นั่นไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่มีฝนฟ้าคะนองและหมอกควันหนาทำให้ทัศนวิสัยในการเดินทางค่อนข้างลำบากเราสองคนจึงต้องไปพักที่รีสอร์ทของแม่ฉันหนึ่งคืน วันนั้นทั้งวันเราแทบไม่พูดจากันเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อวานจึงทำให้เราสองคนวางตัวไม่ถูก เช้าวันต่อมาฉันเตรียมดอกไม้ไว้หนึ่งช่อเพื่อที่จะไปเยี่ยมพี่มีนาฉันพาเขามาที่วัดแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ที่นี่เป็นที่เก็บอัฐิของพี่มีนาเมื่อมาถึงฉันก็เอาดอกไม้ไปวางไว้ข้างหน้าที่เก็บอัฐิพร้อมกับพูดทักทาย "พี่คะ วันนี้ฉันมาเยี่ยมพี่แล้วนะคะ พี่สบายดีมั้ย วันนี้ฉันพาคนๆนึงมาเจอพี่ด้วย พี่ต้องดีใจมากแน่ๆเลยที่ได้เจอเขา" ฉันพูดทักทายจบก็หันไปยิ้มให้เขาและเดินออกมาเพื่อให้เขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ฉันเดินไปที่ศาลาริมน้ำหลังหนึ่งในสระน้ำมีดอกบัวบานเต็มสระดูแล้วเพลินตาดีและมีสายลมที่พัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบายและฉันก็เผลอหลับไป ไม่รู้ว่าฉันหลับไปนานแค่ไหนพอรู้สึกตัวตื่นก็เหมือนว่าหัวของฉันพิงไหล่ใครสักคนอยู่แต่ฉันไม่กล้าลืมตาดูเพราะในใจตอนนั้นคิดว่าเขาไม่ใช่คน เพราะฉันนั่งอยู่ที่นี่คนเดียวและที่นี่ก็เป็นวัดเสียด้วยในขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่! ถ้าเธอตื่นแล้วก็รีบเอาหัวออกไปสักทีฉันเมื่อยจะตายอยู่แล้ว คนอะไรหัวหนักเป็นบ้า" มันเป็นเสียงที่ฉันคุ้นเคยดี ฉันรู้สึกโล่งใจที่เป็นเขาไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด ฉันรีบดีดตัวลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า "โถ่! คุณนั่นเอง! ฉันก็กลัวแทบแย่ ขอโทษนะคะที่หัวฉันมันหนัก ว่าแต่คุณคุยกับพี่มีนาเสร็จแล้วหรอคะ งั้นเรากลับกันเลยไหมคะ" เขาพยักหน้าแล้วตอบว่า "เสร็จแล้ว ขอบใจนะที่พาฉันมา เรากลับกันเถอะเดี๋ยวคุณแม่กับคุณยายจะรอนาน" และเราสองคนก็เดินทางกลับบ้านแต่ก่อนจะเข้าในบ้านฉันพาเขาไปหลังบ้านที่ๆฝังของพี่มีนาไว้ฉันตั้งใจว่าจะมอบของทุกอย่างให้กับเขา เมื่อมาถึงใต้ตนไม้ที่ฝังสิ่งของทุกอย่างไว้ฉันก็ลงมือขุดขึ้นมา ของทุกอย่างอยู่ในกล่องสแตนเลสห่อด้วยผ้าอย่างมิดชิดฉันยื่นให้เขาและพอเขาเปิดดูเขาก็มีน้ำตาไหลออกมาแล้วเขาก็พูดว่า "ฉันขอโทษที่เข้าใจเธอผิดคิดว่าเธอทิ้งฉันไปเพราะเงิน ฉันขอโทษที่ฉันมันโง่เอง ฉันขอโทษที่ไม่พยายามตามหาเธอให้มากกว่านี้ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง และก็ขอบคุณที่เธอยังเก็บทุกอย่างของเราไว้ ฉันดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไปก็ตาม ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะมีนา" เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาก็หลั่งไหลออกมาไม่หยุดฉันได้แต่ยืนดูเขาเพียงเท่านั้น
"เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก มันเป็นธรรมดาของโลกใบนี้" ...โปรดติดตามตอนต่อไป...ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จากคนที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมารักกันได้ ก็กลับกลายเป็นว่าได้มารักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากวันที่ฉันและคุณศรันย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสามีและภรรยาเรามีความสุขกันมาก คุณศรันย์เคยขอฉันแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้แต่งงานกันไปครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่าการแต่งงานในตอนนั้นมันจะเป็นงานแต่งงานหลอกๆก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันในตอนนี้มันคือของจริง ฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงวันครบรอบ 30 ปีที่ก่อตั้งบริษัท เดอะวันแล้ว ฉันและคุณศรันย์เรายุ่งกับการเตรียมงานกันอย่างมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนที่มางานได้รับความสุขกลับไป ธีมส์ของงานในครั้งนี้คือ "วันพิเศษ แด่คนที่พิเศษ" รายละเอียดของงานคืออยากให้คนที่มาร่วมงานได้บอกความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากอีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้น เรามีของรางวัลให้ไปเที่ยวพักรีสอร์ท 2วัน 1คืน (ซึ่งแน่นอนว่ารีสอร์ทนั้นเป็นของบ้านฉันเอง) ในขณะที่เรากำลังเตรียมง
ช่วงเวลาในตอนนี้มันช่างพิเศษเสียเหลือเกิน ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายที่ฉันไม่คิดว่าจะได้มารักกัน ใบหน้าของฉันแนบกับหน้าอกของเขาและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าหัวใจดวงนั้นจะระเบิดออกมาใส่หน้าฉันเสียให้ได้ เรายืนกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "ฉันว่าเรามาจบสัญญานี่กันดีกว่านะ" เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดและใจสั่น น้ำตาก็ไหลมาคลอๆที่เบ้าตา ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอตอบกลับเขาไปว่า "ที่คุณทำมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออยากจะจบสัญญานี่หรือคะ ได้ค่ะ! งั้นเรามาจบสัญญากันเถอะ!" ฉันพูดจบก็หันหลังเพื่อที่จะเดินหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของฉันในขณะที่ฉันกำลังหันหลังเพื่อก้าวเดินหนีไปนั้น เขาก็คว้าแขนของฉันแล้วดึงกลับไปกอดอีกครั้งแล้วพูดว่า "นี่! ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ! เธอจะรีบไปไหน ทำตัวเป็นนางเอกละครไปได้ ที่ฉันหมายถึงก็คือให้เรายุติสัญญาจอมปลอมนี่ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ต่างหาก ยัยบื้อเอ๊ย!" เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก โอ้ย!ทำไมฉันถึงได้ทำอะไรน่าอายแบบนั้นกันนะ! ยัยมาริสายัยโง่เอ๊ย! "ขอโทษนะคะ ที่ฉันด่ว
ในชีวิตฉันเคยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ แล้วในวันนั้นฉันคงจะมีความสุขมากๆ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นที่ฉันหวังเอาไว้จะมาถึง เพราะเขาคนนี้ทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง ความสุขที่คิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีกในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ฉันก็มีความสุขมากกับสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไรก็ตาม ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างฉันแบบนี้ก็พอ คำอธิฐานในวันเกิดปีนี้ที่ฉันอยากจะขอก็คือ ฉันอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดกาล และไม่อยากให้สัญญาจอมปลอมนั้นต้องจบลง เพราะตอนนี้ใจของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วฉันยืนหลับตาและอธิฐานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่เธอ! จะขออะไรหนักหนา เธอขอนานไปแล้วนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงให้เธอไม่ไหวหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงนั้นทำเอาฉันต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะกลัวว่าหากฉันหลับตานานกว่านี้เขาอาจจะพูดแซวฉันอีกก็เป็นได้ "ก็คุณเป็นคนบอกให้ฉันอธิฐานเองนี่คะ ฉันก็เลยขอเยอะหน่อย เผื่อว่าจะสมหวังกับเขาบ้าง" ฉันพูดตอบกลับเขา และเขาก็ถามฉันกลับมาว่า "แล้วเธอขออะไร
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด