Mag-log inจากตรงนี้ไปหาไร่รุ่งรวินท์ห่างกันไม่ไกล ถ้าขอความช่วยเหลือจากคนที่ไร่ น่าจะทันอยู่ พิชานันท์จำได้ว่าพ่อไปติดต่องานในเมือง แต่ยังมีหัวหน้าคนงานอยู่ติดไร่เสมอ เธอจึงกดมือถือโทรหาอีกฝ่ายทันที พอเขารับสายก็รัวบอกเลย “น้าชาติรีบออกมาหาขิงด่วนเลยค่ะ ตอนนี้ขิงอยู่ก่อนถึงไร่เราไม่มาก วายุมันพาคนมาดักรออยู่ ไม่รู้คิดจะทำอะไร รีบออกมาเลยค่ะ!”
(“อะไรนะครับ! คุณหนูไม่ต้องห่วง ผมจะรีบพาคนไปเดี๋ยวนี้!!”)
“เร็วๆ นะคะ” บอกแค่นั้นแล้วพิชานันท์ก็วางสายทันที หันมาพูดกับชญานินด้วยความไม่แน่ใจ “อีกเดี๋ยวคนที่ไร่จะมารับ เราต้องยื้อเวลาไว้ จะไหวไหมเนี่ย”
ไหวหรือเปล่าไม่รู้ แต่พอวายุเดินนำลูกน้องมาหา และส่งนักเลงคนนั้นมาบอกให้พวกเธอลงจากรถได้แล้ว พวกเธอก็ทำได้สูดหายใจเข้าลึกๆ สบตาให้กำลังใจกันแวบหนึ่ง ก่อนจะลงจากรถแบบนิ่งๆ
การออกมาเผชิญหน้ากับผู้ชายตัวใหญ่สี่ห้าคนกลางถนนโล่งๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี แต่อยู่ในรถก็ไม่ดีเช่นกัน ถ้าพวกมันเข้ามาทุบหรือขับรถชน แล้วลากไปทั้งรถทั้งคนก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉะนั้นลงมาคุยถ่วงเวลารอคนมาช่วยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เกิดอะไรขึ้นยังวิ่งหนีได้
...จะหนีรอดหรือเปล่าก็อีกเรื่องละนะ
เมื่อเดินอ้อมมายืนอยู่ด้วยกันตรงหน้ารถ พิชานันท์ถึงหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนเก๊กท่ารออยู่ด้วยสายตาเป็นอริ ชญานินเองก็แอบประเมินอยู่เงียบๆ อีกฝ่ายหน้าตาดีพอสมควร ท่าทางก็สุภาพดี แต่แววตาไม่น่าวางใจเลย...
“ขอโทษที่มารบกวนพวกคุณกลางถนนแบบนี้นะครับ” วายุเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟัง พิชานันท์กลับแค่นยิ้มเอ่ยเสียงหยัน
“นึกว่าวายุไหน ที่แท้ก็วายุนี้นี่เอง มีอะไรจะคุยกับฉันไม่ทราบ”
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ คุณจะไม่แนะนำให้ผมรู้จักสาวสวยที่มากับคุณสักหน่อยเหรอ”
“ไม่จำเป็นค่ะ มีธุระอะไรก็พูดมาเลย ฉันรีบ” พิชานันท์บอกปัดเสียงแข็งทันทีที่เห็นวายุดูจะสนใจชญานินมาก
ไม่ใช่แค่เมวินหรอก ที่หวงน้องสาวเข้าไส้
เธอก็หวงเพื่อนเข้าไส้เช่นกัน!
วายุหัวเราะเบาๆ บอก “จะรีบไปไหนล่ะ เรายังไม่ได้คุยธุระกันเลยนะ ส่วนเพื่อนคุณ เอาไว้เราค่อยทำความรู้จักกันทีหลังก็ได้”
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
“คุณคงรู้เรื่องที่พ่อผมเคยเข้าไปเจรจาเรื่องที่ดินท้ายไร่ของคุณมาบ้าง ไม่ทราบว่าพ่อคุณยังยืนยันเหมือนเดิมรึเปล่า ว่าจะไม่ขายมันให้กับเรา” วายุเริ่มเจรจาเรื่องที่ทำให้เขามาดักรออยู่ตรงนี้หลังรู้ว่าลูกสาวสินธรขับรถออกจากไร่มาคนเดียว
“แน่นอน! เรายังยืนยันคำเดิมว่าไม่ขาย ที่ดินตรงนั้นสามารถทำประโยชน์อื่นได้มากกว่าการขายให้พวกคุณ”
“เหรอครับ งั้นคงไม่รังเกียจ ถ้าผมจะเชิญพวกคุณไปด้วยกัน” วายุยังใช้น้ำเสียงสุภาพ แต่สีหน้าเย็นชาขึ้นไม่น้อย คนอย่างเขา ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา แต่ถ้าไม่ได้สักทางก็จับตัวลูกสาวไปขู่เลยแล้วกัน!
พิชานันท์กลับไม่หวั่นเลย เธอยิ้มเย็นบอก “รังเกียจค่ะ คุณกับฉันไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะไปไหนมาไหนด้วยนะ คุณวายุ”
“อ่า ผมไม่อยากใช้กำลังนะครับ”
“ฉันก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้เหมือนกัน!”
ชญานินลูบแขนเพื่อนให้ใจเย็น ก่อนจะพูดกับวายุเสียงเรียบ “ฉันว่าเราคุยกันดีๆ เถอะค่ะ ในเมื่อเพื่อนฉันยืนยันว่าไม่ขาย คุณก็ควรจะจบเท่านี้และกลับไปได้แล้วนะคะ”
“ผมเสียใจที่ต้องบอกว่าทำแบบนั้นไม่ได้ และขออภัยสำหรับเรื่องหลังจากนี้นะครับ” วายุยิ้มพูดกับชญานิน ก่อนส่งสายตาสั่งให้ลูกน้องสองคนเข้าไปจับพวกเธอ
ทรงไม่ดีแล้ว!
สองสาวใจกระตุก จะหนีไปทางไหนก็ถูกขวางทางไว้ จึงหันหลังชนกันซะ ในเมื่อหนีไม่ทัน คนมาช่วยยังมาไม่ถึง ก็ช่วยตัวเองไปก่อนละ!
พิชานันท์เปิดฉากถีบยอดอกคนเดินเข้ามาหาเธอก่อนเลย อีกฝ่ายไม่คิดว่าจะถูกถีบจังๆ เลยเสียหลักล้มลงกับพื้น ทำเอาเพื่อนอีกคนที่เดินไปหาชญานินส่งสายตาเยาะเย้ยใส่
ใครจะรู้
ไม่ถึงนาทีหลังจากนั้น ตอนที่เขายื่นมือไปหาหญิงสาวหน้าหวานก็ต้องร้องออกมาเสียงหลง เพราะเธอจับแขนเขาดึงเข้าหาตัวเองแล้วพลันหมุนตัวยกร่างใหญ่โตทุ่มลงพื้นถนนในเสี้ยวนาทีนั้นเอง!
วายุมองหน้าหวานๆ ของผู้หญิงที่ขยับไม่กี่ทีก็เล่นซะลูกน้องเขาลุกไม่ขึ้นอย่างคิดไม่ถึง พอได้สติ ก็โบกมือให้มือขวาเข้าไปแทน คมสันต์ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนสองคนนั้น ไม่มีทางพลาดท่าแน่ เขามองคนสนิทเดินเข้าไปหาชญานินอย่างมั่นใจ ไม่สนพิชานันท์ที่ถอยไปอยู่ห่างๆ
ทว่าคมสันต์ทำยังไงก็เข้าใกล้ชญานินไม่ได้เลย หญิงสาวสามารถปัดป้องได้ทุกครั้ง แถมยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะจับทุ่มลงพื้นอีกคนแล้ว แต่เสียงของวายุดังขัดขึ้นก่อน
“หยุด! ไม่งั้นยายนี่สมองเละแน่!”
ชญานินชะงักทันทีที่เห็นวายุใช้ปื้นจี้ศีรษะพิชานันท์ไว้ ยอมปล่อยคมสันต์อย่างว่าง่าย แต่พออีกฝ่ายจะจับแขนเธอรวบไว้ข้างหลัง ในขณะวายุชะล่าใจลดปืนลง เธอก็สับสันมือใส่ต้นคอมือขวาของเขาเต็มแรงจนคมสันต์ตัวอ่อนยวบลงไป วายุกะพริบตาอีกที ในมือเธอก็ยกปืนเล็งใส่เขาแล้ว “เอาละ คราวนี้ตาคุณปล่อยขิงหอมได้แล้ว”
“คุณไม่เร็วกว่าผมหรอก คนสวย” วายุกัดฟันบอก
“นิน...” พิชานันท์เรียกเสียงสั่นเครือ
ชญานินได้แต่มองเพื่อนอย่างปวดใจ ก่อนดวงตาคู่งามจะกวาดมองไปรอบตัว เมื่อสังเกตว่าลูกน้องอีกคนของวายุหายไป “ลูกน้องอีกคนของคุณอยู่ที่ไหน!” เธอตวาดถาม
“หึหึ รู้ตัวช้าไปแล้ว”
สิ้นเสียงนั้น ใครบางคนก็โผล่ออกมาทุบข้อมือเธอจากด้านหลังจนปืนตกพื้น แล้วจะเข้าจับตัวเธอ ไหนเลยชญานินจะยอม เธอเอี่ยวตัวหลบทันที วินาทีต่อมาก็ย่อตัวพุ่งกระแทกอีกฝ่ายเต็มแรงจนเซไปอีกทาง
“นังนี่!”
ปัง!
หมอนั่นโกรธจัด ทำท่าจะปรี่เข้าใส่อีก แต่ก็ต้องชะงักกับเสียงปืนที่ดังขึ้นกะทันหัน
“ขิง!” ชญานินรีบหันไปมองพิชานันท์ พอเห็นว่ายังโดนวายุจี้หัวอยู่เหมือนเดิมก็โล่งใจ
ดูเหมือนเสียงปืนจะไม่ได้มาจากวายุ
แล้วมันมาจากที่ไหน?
“มึง!”
เสียงวายุสบถออกมาในตอนนั้น ขณะสายตามองไปทางด้านหลังเธอ พอชญานินมองตามไป จึงเห็นชายหนุ่มหน้าเข้มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างรถกระบะสีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาเล็งปืนใส่วายุขณะก้าวมาทางนี้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
ทางวายุมีสีหน้าไม่พอใจ ทางพิชานันท์กลับทำตาเป็นประกายทันทีที่เห็นเขาคนนี้
“พ่อเลี้ยง!”
ผู้มาใหม่พยักหน้าให้พิชานันท์เล็กน้อย ก่อนมองพวกวายุด้วยสายตาคมกริบ “ใช้กำลังกับผู้หญิงแบบนี้ ไม่กระจอกไปหน่อยเหรอ วายุ”
เสียงเรียบๆ ของเขาช่างเข้ากับใบหน้าเรียบขรึมไร้อารมณ์นัก
“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่ามายุ่ง!” วายุบอกอย่างหัวเสีย เขากำลังจะได้ตัวผู้หญิงสองคนนี้อยู่แล้วเชียว
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่คนที่แกจี้อยู่เป็นคนรู้จักของฉันนี่”
“อ้อ” วายุพยักหน้าช้าๆ ก่อนปล่อยพิชานันท์ ดึงชญานินที่กำลังจะย่องไปหยิบปืนมาจี้ไว้แทน “ทีนี้ก็ไม่ใช่แล้วนะ เลิกเสือกซะ!”
เมื่อวายุตัดปัญหาด้วยการเปลี่ยนตัวประกันดื้อๆ แบบนี้ สองสาวก็ได้แต่มองตากันพูดไม่ออก ชญานินพยักหน้าให้พิชานันท์ถอยไปก่อนแล้วยืนนิ่งไม่ขยับ ป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
พิชานันท์มองเพื่อนอย่างเสียงใจ ก่อนจะเดินไปหลบอยู่หลังคนที่ยังเล็งปืนใส่วายุ เธอถลึงตาใส่วายุพลางขอให้คนมาใหม่ช่วยชญานินด้วย
ชายหนุ่มพยักพเยิดบอกวายุทันที “ปล่อยเธอซะ”
“ไม่...”
ปัง!
ทันทีที่วายุปฏิเสธออกมา กระสุนนัดที่สองพลันพุ่งเฉียดหูเขา ใกล้จนเขายืนตัวแข็งเป็นหิน หน้าซีดเป็นไก่ก้มไปเลย
ส่วนชญานินที่อยู่ข้างหน้าวายุสะดุ้งกรี๊ดออกมาอย่างตกใจ พอเห็นว่าตัวเองไม่เป็นไรก็ถลึงตาใส่คนยิงไม่บอกไม่กล่าว “คุณจะบ้าเหรอ! ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ”
“งั้นมานี่”
ว่าแล้วคนหน้าเข้มก็ดึงเธอออกจากเงื้อมมือวายุที่ยืนตัวแข็งอยู่ทันที มันเกิดขึ้นเร็วมาก ร่างบางถลาเสียหลักเข้าไปปะทะกับแผงอกกว้างเต็มๆ
“โอ๊ย!”
“เงียบ!”
หลังตวาดดุเธอเขาก็หันไปถามวายุเสียงเย็น
“ถ้าแกยังไม่ไปแบบดีๆ นัดต่อไปไม่ใช่หูแน่นอน”
“!!!”
เมื่อกลับมาถึงไร่ก็พอดีกับสินธร พ่อของพิชานันท์กลับจากทำงานในไร่ แม้เรื่องดักฉุดจะผ่านมาสองสามวันแล้ว แต่สินธรยังอดห่วงไม่ได้จริงๆ จึงเรียกสองสาวไปถามไถ่“ไปเที่ยวกันมาสนุกไหมลูก ไม่มีใครมาวุ่นวายด้วยอีกนะ”“ไม่มีเลยค่ะ” พิชานันท์ส่ายหน้าบอกทันที “พวกมันไม่ทำเรื่องเดิมๆ หรอก น่าจะคิดได้ ว่าถ้ามีอะไรขึ้นกับพวกเรา ตัวเองจะถูกสงสัยเป็นคนแรก”“ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว อีกไม่กี่วันพ่อต้องไปดูงานที่ต่างประเทศ ไม่รู้พวกมันจะฉวยโอกาสมาเล่นงานเราตอนนั้นไหม ถ้าไม่ใช่งานสำคัญจริงๆ พ่อคงเลื่อนออกไปแล้ว” พ่อเลี้ยงวัยกลางคนพูดอย่างกังวล แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ ไม่ง่ายเลยที่จะนัดเจรจากับคู่ค้าคนนี้ ถ้าเจรจาตกลงร่วมงานกันได้ ไร่รุ่งรวินท์จะได้ทั้งกำไรและช่องทางการตลาดเพิ่มขึ้น เขาเลยเลื่อนนัดออกไปไม่ได้จริงๆพิชานันท์ไม่อยากทำให้บิดาเป็นห่วง รีบบอกด้วยสีหน้าขึงขังเลยทีเดียว “พ่อไม่ต้องห่วง ขิงรับรองว่าช่วงที่พ่อไม่อยู่ ขิงจะไม่ดื้อไม่ซนเลย”“ให้มันจริงเถอะ เราน่ะตัวดี!” สินธรว่าอย่างรู้นิสัยกันดี “พ่อไปตั้งหลายวัน ไม่มีคนคุมแบบนี้ จะก่อเรื่องอะไรบ้างก็ไม่รู้”“โธ่! ขิงไม่ก่อเรื่องหรอกน่า”“สัญญากับพ่อก่อนว
เวลาดึกสงัดคืนนั้นณ เพิงเล็กๆ บนต้นไม้ในป่าท้ายไร่เศรษฐกรเตชทัตพาพวกตนุภัทรมาถึงไม่นาน เสียงผิวปากก็ดังมาจากข้างล่างสองครั้ง นี่เป็นสัญญานที่คนของเขาต้องส่งให้ก่อนจะขึ้นมา พอเขาผิวปากยาวๆ ตอบกลับไป ชายสี่คนก็ไต่บันไดขึ้นมาทันที ที่เพิงนี้ไม่มีไฟสว่าง อาศัยแสงจันทร์พอมองเห็นกันรางๆ คนมาใหม่หน้าตาดูธรรมดามาก แต่ฝีมือไม่ธรรมดาเลย รับหน้าที่จับตาดูเสี่ยวงศกรมาสักพักแล้วเมื่อมากันครบแล้ว เตชทัตจึงถามเข้าเรื่องอย่างไม่เสียเวลา “มีข่าวอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้พวกมันเคลื่อนไหวบ้างไหม”หนึ่งในสี่คนนั้นตอบทันที “ไม่มีเลยครับ เหมือนทางนั้นจะระวังตัวมากขึ้น อาจเริ่มสงสัยอะไร หรือไม่ก็กำลังจะทำงานใหญ่”“อย่าประมาท จับตาดูไว้ให้ดี มันนิ่งมานานแล้ว คงจะเคลื่อนไหวเร็วๆ นี้แน่นอน” เขาสั่งกำชับ พอนึกถึงเรื่องในวันนี้จึงเสริมไปอีก “บางทีมันอาจจะยุ่งเรื่องที่ดินท้ายไร่รุ่งรวินท์ บ่ายนี้เกิดเรื่องไม่ค่อยดีกับคนของไร่นั้นด้วย”คนบางคนได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคนของไร่รุ่งรวินท์ก็มุ่นคิ้วถามทันที“เกิดเรื่องไม่ดีกับคนของไร่รุ่งรวินท์? เรื่องอะไรวะ”เตชทัตปรายตามองน้องชายแวบหนึ่ง ก่อนบอก “ขิงหอมเกือบโดนวายุฉุ
‘ไร่เศรษฐกร’ เป็นไร่ชาเก่าแก่ของจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่บนเขาที่มีความสูงกว่า 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล พื้นที่ในไร่ส่วนใหญ่ปลูกต้นชาเป็นทิวแถว อีกส่วนหนึ่งยังมีสภาพเป็นป่าเขาเหมือนเดิม ด้วยมีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ชาของไร่นี้จึงมีคุณภาพดีมาก เป็นที่นิยมของผู้ชื่นชอบชาทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ ‘ชาเศรษฐกร’ หรือที่คนเก่าแก่ละแวกนี้เรียกกันว่า ‘ชาเศรษฐี’ นั่นละปัจจุบันไร่เศรษฐกรคือผู้ผลิตชาที่ดีที่สุดของเมืองไทย แต่ละปีทำยอดสั่งซื้อทั้งในและนอกประเทศได้หลายสิบล้านบาท โดยการบริหารจัดการของพ่อเลี้ยงเตชทัต เศรษฐกร ชายหนุ่มหน้าเข้มวัย 32 ปีหลังก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแทนบิดาอย่างเต็มตัว เตชทัตได้บุกเบิกการทำไร่ชาแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา ขยายพื้นที่นำชาสายพันธุ์ดีๆ มาลงปลูก แปรรูปส่งออกไปตีตลาดชาฝรั่ง สร้างชื่อเสียงและเม็ดเงินมาสู่ไร่แบบทวีคูณ เมื่อขยายตลาดชาประสบความสำเร็จแล้ว เขายังหันมาสนใจเรื่องการทำไร่หมุนเวียน แบ่งที่ดินส่วนหนึ่งทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชผัก ผลไม้ และไม้ดอกเมืองหนาวหมุนเวียนไปตามฤดูกาล แบ่งเอาผลผลิตส่วนหนึ่งมาใช้บริโภคภายในไร่เอง อีกส่วนส่งออกไปขาย สร้างรายได้อีกทาง ทุกวันน
เจอกระสุนเฉียดหูไป วายุรู้เลยว่าอยู่ต่อก็ไม่ได้อะไร เขาจึงถลึงตาตวาดบอกคนยิงใส่ว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” แล้วหมุนตัวเดินกลับมาขึ้นรถทันที ฝ่ายลูกน้องรีบพยุงกันเดินตาม แต่เดินยังไม่ถึงรถ เสียงเย็นชาก็ดังไล่หลังมา“อย่าฝากไว้นานนะ เดี๋ยวจะขึ้นสนิม”“...!”คล้อยหลังพวกวายุจากไป ชญานินพลันได้สติ รีบสะบัดตัวหนีออกจากอ้อมกอดของคนหน้าเข้มที่แล่นออกไปให้แน่ใจว่าจะไม่ย้อนมาอีก เขาก้มมองเธอเล็กน้อย ก่อนคลายแขนออกให้“ไม่อยากจะจับนักหรอก”ชญานินแค่นยิ้มลูบแขนตัวเองป้อยๆไม่อยากจับ?แต่จับซะแขนเธอเป็นจ้ำเลยนะ!ท่าทางของเธอทำให้พิชานันท์เข้ามาถามเสียงร้อนรน “เจ็บเหรอ!”“นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”พิชานันท์ยังคงกวาดตามองจนแน่ใจว่าเพื่อนไม่เป็นไรจริงๆ จึงหันไปพูดกับคนมาช่วยพวกตนเอาไว้ “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ถ้าพ่อเลี้ยงไม่ได้ผ่านมาช่วยไว้ พวกเราคงแย่แน่ๆ เลย”ชายหนุ่มพยักหน้าบอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”“เกือบเหมือนกันค่ะ” เธอยิ้มแห้ง ก่อนจะหันมาแนะนำให้เพื่อนรู้ว่าเขาเป็นใคร “นินสงสัยแย่แล้วใช่ไหม นี่คือพ่อเลี้ยงเตชทัต เจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดของไทยเลยนะ” ว่าแล้วก็หันไปเอ่ยกับพ่อเลี้ยงหนุ่ม “นี่เพื่อนของขิงเองค่
จากตรงนี้ไปหาไร่รุ่งรวินท์ห่างกันไม่ไกล ถ้าขอความช่วยเหลือจากคนที่ไร่ น่าจะทันอยู่ พิชานันท์จำได้ว่าพ่อไปติดต่องานในเมือง แต่ยังมีหัวหน้าคนงานอยู่ติดไร่เสมอ เธอจึงกดมือถือโทรหาอีกฝ่ายทันที พอเขารับสายก็รัวบอกเลย “น้าชาติรีบออกมาหาขิงด่วนเลยค่ะ ตอนนี้ขิงอยู่ก่อนถึงไร่เราไม่มาก วายุมันพาคนมาดักรออยู่ ไม่รู้คิดจะทำอะไร รีบออกมาเลยค่ะ!”(“อะไรนะครับ! คุณหนูไม่ต้องห่วง ผมจะรีบพาคนไปเดี๋ยวนี้!!”)“เร็วๆ นะคะ” บอกแค่นั้นแล้วพิชานันท์ก็วางสายทันที หันมาพูดกับชญานินด้วยความไม่แน่ใจ “อีกเดี๋ยวคนที่ไร่จะมารับ เราต้องยื้อเวลาไว้ จะไหวไหมเนี่ย”ไหวหรือเปล่าไม่รู้ แต่พอวายุเดินนำลูกน้องมาหา และส่งนักเลงคนนั้นมาบอกให้พวกเธอลงจากรถได้แล้ว พวกเธอก็ทำได้สูดหายใจเข้าลึกๆ สบตาให้กำลังใจกันแวบหนึ่ง ก่อนจะลงจากรถแบบนิ่งๆการออกมาเผชิญหน้ากับผู้ชายตัวใหญ่สี่ห้าคนกลางถนนโล่งๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี แต่อยู่ในรถก็ไม่ดีเช่นกัน ถ้าพวกมันเข้ามาทุบหรือขับรถชน แล้วลากไปทั้งรถทั้งคนก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉะนั้นลงมาคุยถ่วงเวลารอคนมาช่วยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เกิดอะไรขึ้นยังวิ่งหนีได้...จะหนีรอดหรือเปล่าก็อีก
“หมายความว่าไง ลาพักร้อนอย่างนั้นเหรอ!” เสียงลูกชายคนโตของบ้านกฤตพัฒน์ดังลั่น เมื่อได้ฟังน้องสาวคนเดียวบอกว่าต้องการลาไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่เชียงราย“พี่วินจะตะโกนเสียงดังทำไมคะ” ชญานินมองค้อนขวับใส่พี่ชายด้วยใบหน้าแสนงอน แค่เธอจะลาไปเที่ยวนี่มันเรื่องใหญ่ขนาดต้องตะโกนลั่นบ้านเลยหรือไงเมวินขึงตาบอก “ไม่ให้ลา!”“นินจะลา”“ชญานิน”“เอาน่า วินจะอะไรกับน้องนักหนา ปล่อยน้องไปบ้าง” คุณชลวิภาที่นั่งมองอยู่เอ่ยขัดด้วยสีหน้าอ่อนใจ ทำให้คุณอิทธิราชพยักหน้าว่าตามทันที“นั่นน่ะสิ แกก็ปล่อยๆ น้องไปบ้างเถอะ”เมวินทำตาโตมองพ่อ “แต่น้องจะไปเที่ยวถึงเชียงรายเลยนะครับ ไปคนเดียวด้วย จะไม่ให้เป็นห่วงได้ไง น้องเป็นผู้หญิงนะครับพ่อ!”“พ่อก็ห่วงน่า”“แม่ก็ห่วง แต่เราต้องให้น้องได้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง จะไปกำหนดชีวิตน้องไม่ได้นะลูก น้องมีชีวิตของน้อง วินเข้าใจที่แม่พูดหรือเปล่า” คุณชลวิภาไม่รู้ว่าทำไมลูกชายถึงหวงน้องหนักแบบนี้ หวงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนตอนนี้ชญานินโตเป็นสาวแล้วก็ยังหวง น้องสาวเลยโสดสนิท ทั้งที่หน้าตาฐานะก็ออกจะเพรียบพร้อม“...” พอไม่มีใครเข้าข้าง เมวินก็ได้แต่ทำหน้าบูด ไม่พูดไม่จาชญานิน







